บท
ตั้งค่า

13

13

“ทำไมไม่เรียก” สีหน้าเขาเข้มขึ้นราวกับไม่ชอบใจที่เห็นเธอเดินกะเผลกออกมาแบบนั้น

“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก เรารีบไปกันเถอะ ป่านนี้อีอีคงเตรียมมื้อเย็นไว้รอแล้ว” เธอบอกแล้วทำท่าจะก้าวขาเดินนำ แต่ก็ต้องร้องอุทานเสียงดัง

“ว้าย!” ตัวเธอลอยหวือขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนแกร่งอีกครั้ง

“ทำอะไรของท่านเนี่ย ปล่อย…ข้าเดินเองได้” แน่นอนว่าเธอไม่อยากให้คนใช้เห็นเธอออกไปในสภาพถูกอุ้มแบบนี้

“จะให้เจ้าเดินออกไปในสภาพคล้ายคนพิการเช่นนั้น ข้าคงทนดูมิได้ ถือซะว่าข้าช่วยเพื่อเอาบุญแล้วกัน”

“ข้าไม่ได้ขอให้ท่านช่วย อีกอย่างสภาพข้าก็ไม่ได้น่าเวทนาขนาดนั้นสักหน่อย เพราะฉะนั้นปล่อยข้าได้แล้ว” เธอกระซิบเสียงเขียวพร้อมกับพยายามดิ้นขลุกขลัก เพื่อหวังให้เขาปล่อย

“อย่าดิ้น ทางที่ดีเจ้าควรอยู่นิ่งๆ จะดีกว่า หากร่วงลงไปกับพื้นอีกครั้ง ข้าคงรับประกันไม่ได้ว่าขาเจ้าจะอยู่ในสภาพเดิมได้” ดูเหมือนคำขู่ของเขาจะได้ผลชะงัด เมื่อเธอชะงักตัวแข็งทื่อแทบไม่กล้าขยับ ทำเจ้าของอ้อมแขนถึงกับลอบยิ้มก่อนพาเธอเดินออกไป

ตกดึกในคืนเดียวกัน หลังจากอิ่มท้องเธอจึงออกมาเดินเล่นข้างริมธาร พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนคุยกันกระหนุงกระหนิง ทั้งโอบเอว เอาผมทัดหู ประหนึ่งกำลังพลอดรักกันอย่างหวานชื่น

“ใครมายืนพลอดรักกันดึกๆ ดื่นๆ เอ๊ะ! แต่นี่มันบ้านตระกูลฝูนี่ คนนอกจะกล้าเข้ามาได้ยังไง หรือว่า…” ความสงสัยทำให้เธอค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง แต่เพราะคนทั้งคู่ยืนหันหลังให้ จึงยากต่อการที่จะดูให้รู้ว่าคือผู้ใดกันแน่ ทางเดียวคือเธอต้องเข้าไปใกล้ขึ้นอีก กระทั่ง…

“……” เธอเผลอเหยียบกิ่งไม้ และเสียงนั่นก็ดังพอที่จะดึงความสนใจของคนที่กำลังพลอดรักกันให้หยุดชะงักนิ่ง กระทั่งชายคนดังกล่าวหันขวับมา

“กรี๊ด…” ลู่อวี๋ผวาตื่นด้วยความตกใจ แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือพบว่าหน้าของฝูฟาหยางอยู่ห่างจากหน้าเธอไม่ถึงคืบ

“ก็แค่ฝันร้าย ไม่มีอะไรหรอก” เขาบอกพร้อมกับใช้แขนเสื้อตัวเองซับเหงื่อที่ซึมอยู่ตามใบหน้าให้เธออย่างอ่อนโยน

“แล้วท่านเอ่อ…มาอยู่นี่ได้ยังไง”

“ข้ากลัวว่าเจ้าจะเจ็บขาจนจับไข้ ก็เลยเข้ามาดู ว่าแต่เจ้าเถอะ ฝันว่าอะไร ทำไมดูตกใจนัก” เขาถามกลับบ้าง

“ข้าฝันว่า…เอ่อช่างเถอะ ก็แค่ฝันร้ายธรรมดาไม่มีอะไรหรอก” หลังตอบไปแล้ว พลันภาพความฝันก่อนหน้าก็ฉายชัดขึ้นมาอีก ภาพที่ชายหญิงกำลังพลอดรัก และภาพที่ชายคนนั้นหันขวับมาด้วยใบหน้า…ที่ชุ่มไปด้วยเลือด ที่สำคัญชายคนนั้นดันเป็นคนเดียวกันกับชายที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้

“งั้นก็นอนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปพบคนผู้หนึ่ง” เขาบอกพลางดันตัวเธอให้เอนลงนอนด้วยความอ่อนโยน

“ใครเหรอ” เธอยอมเอนตัวลงอย่างว่าง่าย แต่ก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดี

“ไว้เจอเจ้าก็จะรู้เองนั่นเอง รีบนอนเถอะ” เขาบอกพลางห่มผ้าให้

“ท่านเชื่อไหมเพียงแค่วันเดียว แต่มีเรื่องมากมายเกิดขึ้น จนข้าแทบไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นความจริง หรือว่าข้ากำลังฝันไป” เธอดีดตัวลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ก่อนตบที่แก้มตัวเองเบาๆ

“ถ้ามันเป็นความฝัน ก็คงเป็นฝันที่ข้าไม่อยากตื่น” เขาพึมพำเสียงเศร้า และแน่นอนว่าเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“หืม…ท่านว่าไงนะ”

“ไม่มีอะไร นอนเถิด” เขาตัดบทด้วยการดันตัวเธอให้เอนลงนอนอย่างทะนุถนอม ก่อนห่มผ้าให้อีกครั้ง และยังไม่ทันจะได้ลุกออกจากเตียง เสียงคนขี้สงสัยก็รั้งให้เขาต้องนั่งอยู่ตรงนั้น

“แล้วท่านว่า…ทำไมต้องเป็นข้า ทำไมต้องเป็นท่าน ทำไมต้องเป็นที่นี่ แล้วทำไมต้องเป็นเราด้วย” หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นด้วยความสงสัยและสับสนของเธอ ทำให้เขาค่อยๆ เอื้อมมือไปสัมผัสแก้มเธอเบาๆ ก่อนกระซิบ

“นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องหาคำตอบ อยู่กับข้า อยู่เพื่อหาคำตอบด้วยกันได้หรือไม่” เสียงทุ้มๆ กับสัมผัสแผ่วๆ ที่ลูบไล้บนแก้มเนียนๆ ทำคนถูกถามถึงกับเลิ่กลั่กด้วยความประหม่า

“อื้อ…ง่วงจัง ท่านก็รีบไปนอนเถอะ มีอะไรเอาไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้เนอะ” คนไม่อยากตอบเลี่ยงด้วยการหลับตาเอาดื้อๆ ทำเอาคนถามได้แต่ยิ้มพลางส่ายหน้าน้อยๆ แล้วลุกเดินออกไป

“เฮ้อ!ถึงอยากกลับ ฉันก็ไม่รู้จะกลับยังไง ส่วนถ้าถามว่าอยากกลับไหม เฮ้อ!ฉันก็ยังบอกไม่ถูกอยู่ดี” เธอได้แต่ถอนหายใจหายใจซ้ำๆ ด้วยความสับสน ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด

“นี่เราจะไปไหนกันเจ้าคะ” เธอหันไปถามขณะนั่งอยู่บนหลังม้า แน่นอนว่าการมีเขานั่งคร่อมอยู่ด้านหลังมันทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนจนต้องรีบหันกลับ ครั้นจะให้นั่งคนเดียว เธอก็ดันขี่ม้าไม่เป็นนี่สิ

“เดี๋ยวถึงแล้ว เจ้าจะรู้เอง”

“ท่านว่า…” คำตอบที่ไม่ชัดเจนของเขา ทำให้เธอต้องหันขวับไปถามด้วยขุ่นเคือง แต่จากความขุ่นเคืองก็กลายเป็นความตกใจ เมื่อจมูกเธอชนเข้ากับแก้มเขาอย่างจัง

“ขะข้าไม่ผิดนะ ก็ท่านเอาหน้าเข้ามาใกล้เอง” นึกถึงที่เขาทำหน้าขึงขังตอนที่แก้มชนกันคราวก่อน เธอจึงรีบแก้ต่าง แต่เหมือนจะผิดคาด เพราะนอกจากเขาจะไม่ได้ว่าอะไรแล้ว ยังทำประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก

“จับให้แน่นๆ เราอาจต้องเร่งทำเวลา” สิ้นเสียงเขาก็กระตุกบังเหียนเร่งฝีเท้าให้ม้าวิ่งเร็วขึ้น

“ว้าย” เธอร้องลั่นด้วยความตกใจ และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ เธอดันหันไปกอดคนข้างหลัง ประหนึ่งว่ามันคือความปลอดภัยแรกที่นึกถึง ทำคนถูกกอดลอบยิ้มพร้อมกับเลื่อนมือข้างหนึ่งมากอดรอบเอวบางตอบด้วย

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีเสียงแผ่วๆ ดังอยู่ข้างหู

“ถึงแล้ว” คนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเพราะยังไม่ชินกับการขี่ม้าหันขวับไปหาคนด้านหลัง แล้วก็เป็นอีกครั้งที่หน้าพวกเขาชนกัน ไม่สิ! คราวนี้ไม่ใช่หน้า แต่เป็นริมฝีปากที่ประจวบเหมาะสัมผัสกันอย่างพอดิบพอดี ราวจงใจ

‘พระเจ้า คราวก่อนแค่ชนแก้มยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วนี่ถึงขั้นปากชนปาก หมอนี่ไม่บีบคอฉันเลยรึไง’ เธอเอามือปิดปากพลางคิดในใจด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง

สามารถโหลดฉบับเต็มที่มาพร้อมกับภาพประกอบได้ที่แอป meb ตามลิงค์นี้เลยค่ะ https://www.mebmarket.com/web/index.php? action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNzE5NDQwIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NjoiMjA3Nzg4Ijt9

แต่ถ้าชอบแบบติดเหรียญ สามารถเติมเหรียญและอ่านต่อจากที่นี่ได้เลยค่ะ กราบบบบบบ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel