บทที่ 1 ถิ่นอัศวิน (2)
ข้อเท้าเล็กถูกดึงรั้งก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะย่อตัวลงและจัดการปลดโซ่ออก มือหนารวบข้อมือเล็กไว้ด้วยมือข้างเดียว หลังจากนั้นก็จับกระชากให้ร่างบางลุกขึ้นและเดินตามออกไปด้านนอก
“ตามมานี่!”
มือหนาที่ไม่ต่างจากคีมเหล็กกำลังบีบรัดข้อมือเล็กจนเกิดรอยแดงเถือก ปลายฝนนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด หยาดน้ำตาเอ่อรอบดวงตาหวานทั้งสองข้าง แต่เธอก็ต้องกักเก็บเอาไว้เพราะไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมา
“ปล่อยฉัน! แกจะพาฉันไปที่ไหน ไอ้เลว ไอ้...อ๊ะ!”
ตุ้บ!
ร่างบางถูกผลักลงกับพื้นอย่างแรงภายในห้องทำงานส่วนตัวที่เธอเพิ่งย่างกรายเข้ามาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้ แววตาหวานสั่นระริก มองแฟ้มเอกสารในมือของคนตรงหน้าที่กำลังยกขึ้น แต่ทว่าไม่นานเขาก็โยนมันลงพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น
“ตระกูลของพวกไร่พันทิพย์มันเหมือนกันทั้งโคตรสินะ ขี้ขโมย ขี้แพ้!”
“นี่! อย่ามาว่าครอบครัวของฉันนะ!” ปลายฝนเดือดดาลเมื่อได้ยินคำพูดถากถางดูถูกที่ตอกหน้าจนด้านชา
“จะไม่ให้พูดแบบนั้นได้ยังไงก็นิสัยของครอบครัวเธอมันเป็นแบบนี้จริง ๆ ฮึ...จนตรอกจนต้องเข้ามาขโมยของเลยหรือไง!”
“ไอ้...!”
หมับ!
อัศวินตรงปรี่เข้าไปกระชากแขนเล็กขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้เขากำลังโกรธจัดชนิดที่ว่าต่อให้ใครเข้ามาขวางก็ไม่คิดสนใจทั้งนั้น
เขาตั้งใจจะสั่งสอนน้องสาวของศัตรูให้หลาบจำว่าคนที่มีเลือดชั่ว ๆ จากไร่พันทิพย์ไม่ควรเข้ามาเหยียบย่ำที่ไร่กมลแห่งนี้!
“คิดเหรอว่าการที่เธอเข้ามาขโมยข้อมูลสำคัญแล้วจะทำลายไร่ของฉันได้” ร่างสูงกดเสียงต่ำเช่นเดียวกับสายตาคมที่กดมองใบหน้าดื้อรั้นของคนตรงหน้า
หน้าหวาน ๆ ที่ตอนนี้กำลังเชิดชูคออย่างคนหยิ่งผยอง แถมปากอวบอิ่มที่สั่นระริกก็พยายามเม้มเป็นเส้นตรงเพื่อไม่ให้เปิดเผยความรู้สึกหวาดหวั่นออกมา
“ทำไมฉันจะทำไม่ได้!” ปลายฝนถามกลับอย่างถือดี เธอมั่นใจว่าไร่พันทิพย์ของเธอก็ไม่ได้มีดีไปน้อยกว่าไร่กมลเลยสักนิด ไร่ของเธอกว้างใหญ่และมีผักหลายชนิดให้เลือกซื้อ เพียงแค่ขาดเงินทุนในการบริหารพัฒนาเท่านั้น
“แล้วเธอคิดหรือไงว่าถ้าทำลายไร่ของฉันได้แล้วลูกค้าจะเลือกไร่ของเธอ ฮึ...ไร่กระจอก ๆ แบบนั้นน่ะ ต่อให้ลดราคาเหลือสิบเปอร์เซ็นต์ก็ไม่มีใครเอา จำใส่หัวซะ!”
“ไอ้...!”
“ฉันจะบอกอะไรให้เธอรู้นะ เธอจะได้ตาสว่างสักที ไร่พันทิพย์ของเธอน่ะมันจวนจะเจ๊งอยู่แล้ว ต่อให้ไปกู้ยืมเงินมาเป็นสิบล้านร้อยล้านมันก็ไม่มีวันฟื้นฟูวิกฤตขึ้นมาได้หรอก พ่อกับพี่ชายของเธอน่ะมันห่วย ห่วยแตก บริหารแย่! ไร่พันทิพย์ของเธอไม่มีทางขึ้นมาตีเทียบกับไร่ของฉันได้หรอก!”
“ไอ้สารเลว!”
เพียะ!
ฝ่ามือเล็กฟาดลงบนใบหน้าของคนสูงใหญ่ด้วยความเดือดดาลที่ปะทุจนลุกโชนราวกับเปลวเพลิง ถึงไร่ของเธอจะย่ำแย่วิกฤตเพียงใด แต่เขาก็ไม่สมควรที่จะมาดูถูกพ่อกับพี่ชายของเธอแบบนี้
ทว่า...ใบหน้าคมคร้ามที่หันไปตามแรงตบกลับเหยียดยิ้มและแค่นหัวเราะออกมา สายตาคมตวัดมองด้วยความเรียบนิ่ง มือสองข้างก็ทวีคูณแรงบีบที่ต้นแขนเล็กจนมันที่จะเหลวแหลกคามือให้รู้แล้วรู้รอด
“อึก! จะ...เจ็บนะ ไอ้ชั่ว!”
“กล้ามากนะที่ตบฉัน” น้ำเสียงเย็นที่เปล่งออกมาทำให้คนตัวเล็กขนลุกซู่ เธอเห็นแววตาคมกริบของเขาที่จ้องมองมา มันไม่ต่างจากมีดแหลมคมที่เสียดแทงให้เจ็บปวด
“ฉะ...ฉัน อึก ปะ...ปล่อยนะ!” ปลายฝนเชิดคอตั้งและข่มความกลัวเปล่งเสียงออกไป เธอกลัวเขาจนตัวสั่น แต่ในเมื่อเธอไม่มีทางเลือกก็ต้องทำใจกล้าท้าทายในอำนาจมืดของเขา
“คนที่มันกล้าตบฉันต้องเจ็บกว่าฉันหลายร้อยเท่า มานี่!”
“อึก...ฉันเจ็บ อ๊ะ...” เสียงเล็กสั่นเครือเมื่อถูกบีบจนแทบแหลกสลาย
“นายครับ นายอัศครับ!”
อัศวินปล่อยมือออกจากข้อมือเล็กและเดินเข้าไปหาชายวัยกลางคนที่เขาได้กำชับสั่งการว่าให้เฝ้ารอดูเหตุการณ์อยู่ด้านนอก
“มีอะไร”
“ไอ้ขุนเขามันมาแล้วครับนาย มันมาพร้อมกับคนงานในไร่ของมันด้วยครับ”
ปลายฝนเบิกตากว้างและรีบหยัดกายวิ่งตรงออกไปเพื่อหาทางหนี อย่างน้อย ๆ พี่ชายของเธอก็อยู่ในที่แห่งนี้แล้ว หากเธอหนีรอดไปได้ก็คงไม่ยากที่จะรอดพ้นเงื้อมมือของคนสารเลวคนนี้
แต่ทว่า...
หมับ!
ช้ากว่าความคิด...ร่างสูงตรงเข้ามาคว้าหมับที่ข้อมือของปลายฝนได้ทัน มือหนาบีบรัดจนเกิดรอยแดง เขาไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงแต่ส่งสายตาคมจดจ้องลงมาที่มันไม่ต่างจากคำสั่งประกาศิตเลยสักนิด
“ไปบอกคนอื่น ๆ ว่าถ้าไอ้พวกนั้นมันตุกติกก็ยิงทิ้งได้เลย”
“ครับนาย!”
