บทที่ 1 หญิงอ้วนที่มีแต่คนเกลียด
ณ หมู่บ้านสกุลลู่ที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงกว่าพันลี้
‘ฮึก!! นี่วิญญาณออกจากร่างแล้วหรือ’
‘เอ๋? ...ไม่นะยังรู้สึกเจ็บอยู่’
‘โอ๊ย! ...ปวดหัวทั้งเวียนหัวแทบจะระเบิดนี่มันอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นกับฉัน?
‘เสียง… มีเสียง...เสียงคนมากมาย ทำไม? อะไร? มันเกิดอะไรขึ้น’
จ้าวอิงรำพึงรำพันอยู่ในใจ พยายามที่จะเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง ที่เหมือนไม่ใช่ร่างกายนางเองขึ้นมาอย่างยากลำบาก สิ่งแรกที่เห็นคือใบหน้าของเด็กชายคนหนึ่ง เขากำลังร่ำไห้สะอึกสะอื้นดวงตาแดงก่ำ มือปัดป่ายเอาน้ำมูกน้ำตาออกเป็นพัลวัน
ความรู้สึกแรกเมื่อเห็นใบหน้านี้คือความปวดใจ ความเจ็บที่เหมือนถูกเสียดแทงหัวใจ แต่ความเจ็บนี้มาและหายไปอย่างรวดเร็ว
‘นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกของฉัน ฉันไม่รู้จักเด็กคนนี้’
หลังจากได้หายใจเข้าออกลึก ๆ ให้อากาศเข้าเต็มปอดสองสามครั้ง ในที่สุดจ้าวอิงก็ได้พบสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกและร่างกายของตัวเอง เมื่อมีวิญญาณหญิงร่างอ้วนฉุใบหน้าที่มีแต่สิวและรอยแดงทั่วใบหน้า กำลังพยายามที่จะยื่นมือมาจับร่างของนางแต่ไม่สามารถสัมผัสได้ พร้อมกับร่ำไห้ไปด้วยอยู่ทางซ้ายมือของนางตอนนี้ จ้าวอิงรู้ได้ทันทีว่าวิญญาณนี้คือ ‘จ้าวอิงอิง’ นั่นเอง
ที่นางรู้จักหญิงอ้วนนางนี้หาใช่เพราะจิตหยั่งรู้แต่อย่างใด แต่มาจากความทรงจำที่กำลังหลอมรวมอยู่ในหัวสมองน้อย ๆ ของนางตอนนี้ และสัญชาตญาณของตัวเอง ใช่แล้วจ้าวอิงสามารถมองเห็นสิ่งลี้ลับได้
เป็นความสามารถแต่เดิมที่ติดตามนางมาพร้อมจิตวิญญาณมายังโลกใหม่นี้ด้วย
“ท่านแม่ ฮือ ๆ ๆ ๆ” เสียงเด็กน้อยเรียกนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือก็เขย่าตัวนางไปด้วย
จากแรงเขย่าอันน้อยนิดของเขา ทำให้นางที่กำลังปวดหัวเวียนหัว ก็สำลักเอาน้ำที่ยังคั่งค้างในลำคอและกระเพาะออกมา
“แค่ก ๆ” หลังจากสำลักเอาน้ำออกมาแล้ว จ้าวอิงฝืนใช้แรงเฮือกสุดท้ายเปิดปากพูดออกมาได้ในที่สุด
“เสี่ยวเป่า พะ... พาแม่กลับไปบ้านก่อน” นางพยายามพูดออกมาแต่ละคำได้อย่างยากลำบากยิ่ง
นางอยากจะสลบไปจริง ๆ จากอาการเวียนหัวโลกหมุนไม่หยุดจนแทบอ้วก มันมาพร้อม ๆ กับความปวดหัว และไหนจะมีภาพความทรงจำที่ยังไหลเวียนมาไม่สิ้นสุดนี่อีก แต่นางรู้ดีว่าหากหมดสติตรงนี้คงจะเป็นเรื่องที่แย่มากกว่าดีแน่นอน
ระหว่างที่จ้าวอิงกำลังพยายามดิ้นรนอยู่นี้ ก็มีชาวบ้านเริ่มมามุงดูมากยิ่งขึ้น แต่แทนที่พวกเขาจะเข้ามาช่วยเหลือนาง แต่จีนมุงทั้งหลายกลับมาพร้อม ๆ กับเสียงสาปแช่งและดูหมิ่นสารพัด แต่ถึงแม้พวกเขาจะไม่ช่วยเหลือนางจ้าวอิงหาได้สนใจไม่ ขอเพียงตอนนี้ให้นางได้กลับไปนอนสักตื่น ให้อาการปวดหัวระดับสิบนี้หายไปเสียก่อน
ความพยายามที่จะลุกขึ้นโดยมีเด็กน้อยลูกชายหมาด ๆ ของนาง พยายามช่วยอย่างทุลักทุเล เพราะเด็กชายก็ตัวเล็กนัก ส่วนตัวนางก็อ้วนฉุ โดยที่ไม่มีชาวบ้านแม้คนเดียวที่มุงดูอยู่จะเข้ามาช่วยเหลือ
ในที่สุดก็มีเสียงฝีเท้าของคนอีกกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา จ้าวอิงหรี่ตามองก็พบว่าเป็นปู่และย่าของสามีเจ้าของร่างนี้นั่นเอง
“ท่านปู่ทวดท่านย่าทวด ช่วยท่านแม่ข้าด้วยท่านแม่ตกน้ำ ฮือ ๆ ฮึก ๆ” เสี่ยวเป่ายังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาเปรอะเปื้อนจนแทบดูไม่ได้
เมื่อเขาเห็นปู่ทวดย่าทวดและบรรดาคนรู้จักเข้ามา ก็ส่งเสียงเรียกเพื่อขอความช่วยเหลือทันที แต่ไม่มีเสียงตอบกลับจากปู่ทวดย่าทวดของเสี่ยวเป่าแม้แต่น้อย กลับมีเสียงจีนมุงดังเป็นระรอก ๆ แทน จ้าวอิงสามารถจับใจความได้เป็นบางคำเท่านั้น
‘อ่าเสี่ยวเป่าช่างเป็นเด็กดีแท้ ๆ น่าเสียดายมีแม่เยี่ยงนี้’
‘เวรกรรมแท้ ๆ มีแม่แบบนี้ไม่มีดีกว่า’
“…”
จ้าวอิงเงยหน้าขึ้นมองหน้าปู่และย่าของสามีของจ้าวอิงอิง เห็นเพียงความเฉยชาและความเสียดายจากแววตาท่าทางของพวกเขา
นางหัวเราะเยาะตัวเอง นั่นสินะพวกเขาคงเสียดายที่นางไม่ตาย ๆ ไปเสีย ที่มาเพียงเพราะอยากมาดูว่านางตายหรือยังเท่านั้น จากความทรงจำที่แล่นเข้ามาไม่หยุด ร่างเดิมร้ายกาจขนาดนั้น
ไม่แปลกที่จะมีแต่คนรังเกียจ แต่คนที่ทุกคนรังเกียจบัดนี้นางกลายเป็นวิญญาณไปแล้ว นางต่างหากเล่าที่ต้องตามแก้ไขชะตากรรมแทน
คิดแล้วก็อดที่จะหันไปมองผีจ้าวอิงอิง ที่ยังเดินตามนางตอนนี้อย่างโกรธเคืองไม่ได้ แม้กระทั่งขณะนี้จ้าวอิงอิงยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นหมดเวรหมดกรรมจากชาตินี้กลายเป็นสัมภเวสีไปแล้ว จ้าวอิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามฝืนสู้กับอาการเวียนหัว แทบอาเจียน พร้อมกับหันไปหาเสี่ยวเป่าลูกชายในนามของนาง และกล่าวออกมาอย่างอ่อนแรง
“ไปกันเถิดกลับบ้านเราก่อน แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว”
เสี่ยวเป่าที่ยังจับแขนของนางไว้อยู่ เงยหน้าขึ้นมามองนางด้วยสายตาที่แปลกออกไปเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าให้จ้าวอิง
เอาเถิดตอนนี้หวังให้ใครช่วยคงไม่ได้ ยังต้องพึ่งพาตัวเองก่อน นางเดินโซเซจูงมือเด็กน้อยกลับบ้าน ด้วยเส้นทางที่อยู่ในความทรงจำ โดยมิได้หันไปมองปู่และย่าของสามีอีก แต่พฤติกรรมนี้กลับสร้างความไม่พอใจแก่เหอซื่อผู้เป็นย่าของสามีจ้าวอิงอิงเป็นอย่างมาก จนไม่อาจระงับความเกลียดชังได้อีกต่อไป เหอซื่อกล่าวไล่หลังสองแม่ลูกออกมาเสียงดัง
“เสี่ยวเป่าเอ๊ย! ไปอยู่กับย่าทวดเถิด รอบิดาเจ้ากลับมาย่าทวดจะให้เขาหย่านางเสีย เสี่ยวเป่าของย่าจะได้ไม่ต้องทนทรมานเพราะนางมารร้ายนี่อีก” เหอซื่อพูดพร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าของจ้าวอิงอิงด้วย
หลังจากเหอซื่อกล่าวประโยคนี้ออกไป ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์จากชาวบ้านดังระงมขึ้นมาทันที
จ้าวอิงก็ชะงักฝีเท้าเช่นกัน แต่ตอนนี้นางไม่มีแรงจะกล่าวอันใดอีกเพราะร่างกายนี้ช่างมีน้ำหนักเยอะเหลือเกิน และยังเพิ่งผ่านเหตุการณ์จมน้ำมา อาการปวดหัวจากการหลอมรวมความทรงจำ ก็ยิ่งทำให้นางไม่มีแรงจะสู้รบกับใครในยามนี้จริง ๆ นางจึงกล่าวด้วยเสียงแหบแห้งว่า
“ไว้รอสามีข้ากลับมาก่อนเถอะ หากเขาต้องการหย่าข้าก็จะไม่ขัดขืน” จากนั้นจ้าวอิงก็หันไปหาลูกชายอีกครั้ง “ไปเถิดเสี่ยวเป่ากลับบ้านกัน”
เสี่ยวเป่ามองตานางพลันรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะท่านแม่ไม่เคยเรียกชื่อเขาอย่างอ่อนโยนแบบนี้มาก่อน เขากระชับมือแน่นแล้วเดินตามจ้าวอิงไป แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหันไปบอกปู่ทวดและย่าทวดของเขาว่า
“ท่านย่าทวดข้าจะไปกับท่านแม่ ลาก่อนขอรับ”
แล้วพวกเขาสองแม่ลูกก็เดินออกไป โดยไม่หันมามองกลุ่มคนด้านหลังอีก
หลังจากที่สองแม่ลูกเดินออกไป เสียงนินทาว่าร้ายก็ยังไม่สิ้นสุด
“สมควรแล้วนางน่าไม่อายขนาดนี้ คิดยั่วยวนอาของสามีเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ไม่จับนางถ่วงน้ำก็ถือว่าเมตตานางแล้ว” เสียงของหญิงสูงอายุคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มดังขึ้น
“ป้าฮวาอย่าพูดส่งเดช อยากให้จ้าวอิงอิงมาแหกปากท่านหรือไร ไม่มีหลักฐานมีเพียงคำพูดเดียวจากลู่เกาก็เท่านั้น” หญิงที่พูดกับป้าฮวาคืออวี้ซื่อภรรยาลู่เจียง นางเป็นลูกสะใภ้คนโตของผู้ใหญ่บ้าน
ส่วนป้าฮวาเมื่อได้ยินดังนั้น แม้นางจะไม่ชอบจ้าวอิงอิง แต่ก็ไม่มีความกล้ามากขนาดจะโต้เถียงกับลูกสะใภ้ของบ้านผู้ใหญ่บ้าน และเมื่อนึกถึงหญิงอ้วนอย่างจ้าวอิงอิง รู้สึกขลาดกลัวทันใดเพราะหญิงบ้าจ้าวอิงอิงนางนี้ นางรูปร่างอวบอ้วนมีพละกำลังมาก ตัวป้าฮวาไม่มีทางสู้แรงนางได้เลย แต่ป้าฮวาก็ยังทำใจดีสู้เสือ เพราะนางจะเสียหน้าต่อหน้าชาวบ้านมากมายเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด
“เหอะ! เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่า มีไฟย่อมมีควัน มีควันย่อมมีไฟ อย่าลืมว่านางทำอย่างไรถึงได้แต่งเป็นภรรยาลู่เหวินเหยา”
เหอซื่อที่ยังไม่ไปไหนได้ยินดังนั้น สีหน้าที่แต่เดิมก็บิดเบี้ยวอยู่แล้ว ก็ยิ่งบึ้งตึงมากขึ้นไปอีก นางตวาดใส่ป้าฮวาทันที
“หุบปากไม่รู้อะไรอย่าพูดส่งเดช มิเช่นนั้นข้าเองนี่แหละจะแหกปากเจ้า”
พูดจบเหอซื่อก็เดินสะบัดหน้ากลับไปยังบ้านของนาง ไม่สนใจกลุ่มชาวบ้านและจ้าวอิงอิงอีก แม้แต่เหลนชายนางก็ไม่ไปตามกลับมาเช่นกัน
แต่ลู่ฮ้ายหรือปู่สาม ที่ชาวหมู่บ้านตระกูลลู่แห่งนี้เรียกขาน เขาเดินตามสองแม่ลูกไปทิศทางของบ้านลูกชายคนที่สามของเขา แต่ไม่เข้าใกล้สองแม่ลูกนั้น ไม่พูดจาเพียงเดินตามห่าง ๆ ในใจเขาถึงแม้จะไม่ชอบหลานสะใภ้คนนี้ แต่เมื่อนางให้กำเนิดบุตรชายให้ตระกูลลู่ของเขา และไม่ได้ทำผิดร้ายแรงเขาก็ไม่สนับสนุนให้หย่านางแน่นอน เพียงแต่จะสงสารครอบครัวลูกคนที่สามเท่านั้น เพราะเหอซื่อภรรยาเขานั้นลำเอียงรักลูกคนเล็กและคนโตมากกว่า ทำให้เจ้าสามไม่ได้รับความยุติธรรมเสมอมา
แม้เกิดเรื่องที่หลานชายเขาแต่งสะใภ้ที่ร้ายกาจ เช่นจ้าวอิงอิงเข้ามาด้วยเหตุไม่คาดฝัน รวมกับตอนนั้นเจ้าสามบาดเจ็บจากการล่าสัตว์ทำให้ต้องพักรักษาตัว และหากจะให้ขาของเขาหายดีก็ต้องใช้เงินรักษาหลายสิบตำลึง แต่เหอซื่อนั้นไม่ยอมจ่ายเงินให้เป็นค่ารักษาแก่เขา อ้างว่าลู่เภาลูกชายคนเล็กต้องเล่าเรียน
หากให้เงินไปรักษาลูกคนที่สามที่บาดเจ็บ ก็จะเป็นการดับอนาคตของน้องชายได้ จนเรื่องราวบานปลายใหญ่โต ในที่สุดลูกสามคงทนไม่ไหวอีกต่อไปเสนอขอแยกบ้านออกไป
เขาจึงสนับสนุนทันทีและยังแบ่งเงินให้ไปสิบตำลึงเงิน ยกบ้านเก่าท้ายหมู่บ้านที่ติดชายป่า ห่างไกลจากบ้านของชาวบ้านคนอื่นไกลพอสมควร พร้อมที่ดินสองสามหมู่ที่อยู่ติดบ้านให้ไปทันที โดยไม่รอให้ภรรยาของเขาคัดค้าน
เพราะต้องการให้ลูกสามของเขาหลุดพ้นจากการเป็นทาสแรงงานในบ้านเสียที หวังว่าลูกชายเขาจะเข้าใจความหวังดี ไม่ใช่การขับไล่ไสส่งในยามที่เขาเดือดร้อน และหลังเหตุการณ์แยกบ้านครั้งนั้นเขาไม่เคยไปเยี่ยมเยือนลูกชายอีกเลย นี่คงเป็นครั้งแรกในรอบปีที่เขาเดินมาไกลถึงท้ายหมู่บ้านนี้ ...