บท
ตั้งค่า

6

“ไหนๆ มากันแล้วเหรอ...” เสียงซุบซิบฮือฮาภายในห้องพักครูเริ่มดังกระหึ่มขึ้น จนคนที่เตรียมแผนการสอนในคาบวิชาต่อไป ถึงกับต้องชะงัก แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากมายขนาดนั้น

การอยู่ในสนามรบจนดึกดื่นทำให้เช้านี้เธอค่อนข้างที่จะเพลียมากโข โชคดีที่วันนี้เธอมีสอนแค่ภาคเช้า ช่วงบ่ายนักเรียนชั้น ป.6 มีกิจกรรมแนะแนว ก็เลยน่าจะได้มีช่วงที่พักอยู่บ้าง

ห้องพักครูของที่นี่จะพักรวม ไม่ใช่พักกันเป็นภาคฝ่าย เพื่อให้คุณครูได้มีปฏิสัมพันธ์กัน แต่วันนี้เธอก็ยังไม่เห็นคุณครูประจำวิชาภาษาอังกฤษอย่างกชกร

‘รายนั้นเขาได้เป็นฝ่ายต้อนรับเวลาที่มีประชุมด้วยน่ะ เส้นเขาใหญ่’ เมื่อวาน กฤษณาได้เอ่ยปากให้ฟังมาบ้าง แต่คนที่ไม่ได้สนใจเรื่องของคนอื่นสักเท่าไหร่ เลือกที่จะไม่ได้จดจำ

แต่ที่นึกถึงขึ้นมานี้ เธอยังมีเรื่องที่ติดใจในใจน่ะสิ ทำไมถึงเอาเรื่องผลไม้มาคอยแซะเรา?

พรรณวดีไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ แม้จะยังนึกไม่ออกก็เถอะ

“โอ้โห มาครั้งนี้ท่านเอาของมาฝากพวกเราเยอะแน่เลย” แต่เสียงฮือฮาก็ยังคงดังมาไม่ขาดสาย พรรณวดีไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการประชุมครั้งนี้ มีเพียงหัวหน้าฝ่ายและกฤษณาที่ได้ไปเป็นฝ่ายต้อนรับ

ไม่ว่าภาคเอกชนหรือรัฐบาล ก็มักจะมีคนใหญ่คนโตเสมอ เธอไม่เคยชอบความรู้สึกพวกนี้...ที่จะต้องไปพินอบพิเทาใคร นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ตัดสินใจลาออกจากระบบข้าราชการ

แต่ก็นั่นแหละ การอยู่ที่นี่ เธอพยายามจะทำตัวเองให้เล็กที่สุดและโดดเด่นน้อยที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปคอยต้อนรับใคร

“ท่านน่ะใจดีเสมอ ดูแลคุณครูทุกคนดี...ขนาดได้ดิบได้ดีไปได้ผัวรวย ก็ยังไม่วายรักในจิตวิญญาณของตัวเอง”

“นี่แหละที่เป็นปัญหา บอร์ดบริหารเครียดกันเรื่องนี้ ที่ท่านจะไม่ยอมให้โรงเรียนเป็นระบบธุรกิจเต็มร้อย”

“ก็อย่างว่าแหละเนอะก็เข้าใจท่านอยู่ แต่ถ้าไม่ทำธุรกิจเลยโรงเรียนก็จะอยู่ไม่ได้”

แม้ว่าพยายามจะไม่สนใจแค่ไหน เสียงเล็ดลอดก็ยังคงดังมาเป็นระยะ ‘ท่าน’ ที่ถูกพูดถึง คงจะเป็น CEO รุ่นบุกเบิกที่เป็นผู้หญิงอายุเยอะมากแล้ว ที่คงจะเป๊ะไปทุกกระเบียดนิ้ว

แค่นึกถึงพรรณวดีก็ไม่อยากจะข้องเกี่ยว เธอไม่อยากจะต้องไปนั่งปั้นหน้าอึดอัด แค่คิดก็ขนลุกขนพองไปหมด

“หูยนั่นหลานชายท่านรึเปล่าน่ะ ที่ควงแขนกันไปน่ะ”

“น่าจะใช่นะ ไม่เคยเห็นมานานมากแล้ว หูว...แค่มองไกลๆ ยังออร่าขนาดนี้ ใกล้ๆ จะขนาดไหน” พอได้ยินการพูดถึงความหล่อของผู้ชาย คนที่เหมือนจะไม่ได้สนใจก็แทบจะหูตั้งขึ้นมา

พรรณวดีรีบหยิบกองเอกสารการสอน เพื่อที่จะได้ทำเนียนเดินไปสอนนักเรียนที่อยู่อีกอาคารหนึ่ง เพื่อที่จะได้เห็นหนุ่มหน้าตาดีที่รุ่นพี่พากันพูดถึง

“ให้มันน้อยๆ หน่อยนะพวกหล่อน ความเป็นกุลสตรีน่ะมีบ้าง” คุณครูรุ่นพี่ผู้สอนวิชาสังคมและศาสนา เอ่ยเตือนขึ้นด้วยเสียงนิ่งๆ จนเหล่าครูสาวรุ่นน้องพากันหลบกันไปเป็นแถบๆ

ยกเว้นคนที่เนียนเหมือนไม่ได้สนใจ เดินฉับๆ ออกจากห้องพักครูไป ด้วยคอที่ชูเต็มที่...

โห ไม่ทันซะงั้น เสียดายจัง

เธอแทบอยากจะถอดรองเท้าวิ่งลงตามไปดู แต่เห็นเพียงแค่แผ่นหลังของกลุ่มคนที่ผลุบหายเข้าไปในตัวอาคารสูง

เป็นเรื่องธรรมดาของพวกผู้หญิงเรานี่นะ ที่จะต้องชอบผู้ชายหน้าตาดี ก็เหมือนกับที่ผู้ชายชอบผู้หญิงสวยๆ นั่นแหละ เพราะฉะนั้นแล้ว จะมาหาว่าเธอ ดึกใน ไปไม่ได้!

“ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีเสน่ห์...มีความหมายลึกซึ้ง และเสน่ห์สูงสุดของภาษาไทยก็คือการเล่นคำ เล่นคำที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกตามไปด้วยได้ อย่างเช่น...ที่พวกนักเขียนเขาชอบทำกัน” เด็กนักเรียนหญิงชายชูคอตั้งใจฟังในสิ่งที่คุณครูผู้ใจดีกำลังตั้งใจสอน

“ก่อนที่จะเล่นคำได้ เราต้องรู้ความหมายของคำแต่ละคำก่อน หลังจากนั้นเราถึงจะค่อยสื่อถึงความรู้สึกในคำตามลงไป...” แม้จะเป็นการสอนนักเรียน ป. 6 แต่สำหรับพรรณวดีแล้ว การลงในรายละเอียดจริงๆ แบบนี้ มันจะทำให้การอ่านดูน่าสนุกมากยิ่งขึ้น

หัวใจสำคัญของภาษาไทยคือการ ‘รักการอ่าน’

ถ้ารักการอ่านแล้ว อย่างอื่นก็จะเริ่มตามมา ไม่ใช่แค่วิชาภาษาไทย รวมไปถึงวิชาอื่นๆ ด้วย

ถึงเธอจะดูเป็นคนที่มีจิตใจฝักใฝ่ในเรื่องผู้ชายแบบหลบซ่อนมากหน่อยก็เหอะ แต่เรื่องงานเธอก็เต็มที่และมีความสามารถแบบสามารถจริงๆ ไม่ใช่ความสามารถที่เสแสร้ง

เรื่องเสแสร้งเดียวในชีวิตของเธอก็คือ ทำตัวเหมือนไม่แรด ทั้งที่จริงแรด...แค่นั้นจริงๆ!

“การเรียนการสอนของเราก็จะเป็นประมาณนี้ค่ะ...” เสียงของหัวหน้าภาควิชาภาษาไทย ทำเอาคนที่กำลังถือปากกาไวท์บอร์ดในการยกตัวอย่างความหมายของคำให้แก่เด็กนักเรียน เกร็งตัวขึ้นอัตโนมัติ

ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองกลุ่มคนที่เดินผ่านหน้าห้อง ไม่ต้องเดาก็พอจะทราบว่า...ท่าน CEO คนนั้น คงจะขอเดินสำรวจบรรยากาศการสอนเป็นแน่

ไม่เห็นมีใครบอกเรื่องนี้มาก่อนเลย

“อือ ฉันชอบ” เสียงทุ้มนุ่มเนิบ เชิงเย็นและทรงพลังอำนาจดูติดไปทางแหบ หากแต่นั่นยิ่งทำให้เธอไม่กล้าแม้แต่จะหันไป แม้จะอยากเห็นว่าหลานชายท่านจะหน้าตาดีแค่ไหนก็เถอะ

เสียงฝีเท้าของผู้คนได้เดินผ่านไปแล้วนั่นแหละ เธอถึงหันหน้าไปมองได้ และก็ส่งสายตาให้นักเรียนแอบวิ่งไปยังประตูเพื่อมองตามหลัง

แต่ก็เห็นเพียงแผ่นหลังของกลุ่มคนที่เดินเลี้ยวโค้งไปตามมุมของภายในตึกอยู่ดี...แต่แผ่นหลังกว้างของคนที่ดูจะสูงที่สุดในนั้นกลับสะดุดตา สะดุดใจจนเธอรู้สึกสั่นขึ้นมาดื้อๆ

หือ...ไม่ใช่หรอกมั้ง

“ฉันว่าไม่น่าใช่นะ...แกมัวแต่คิดถึงผู้ของแกมาก จนเห็นใครก็เป็นเขาไปหมดรึเปล่า” อรวรรณผู้ที่โทรชวนให้เธอมาร้านกาแฟของปทุมพร เพื่อถ่ายแบบสินค้าล็อตใหม่ของตัวเอง ให้ความเห็นในสิ่งที่เพื่อนกังวลและเล่าให้ฟังตั้งแต่นั่งรถมา จนถึงร้านแล้ว ก็ยังไม่ยอมคลายลง

“อะไรกันสองคนนี้ ตั้งแต่มาถึงหน้านิ่วเชียว” เจ้าของร้านสาวผู้ที่กำลังวุ่นกับการต้อนรับลูกค้า แวะมาทักทายสองเพื่อนรักด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“แกรีบไปดูแลลูกค้าเถอะ เดี๋ยวฉันคุยกับมันเอง”

“ก็เรื่องมันน่าสนใจนี่หว่า”

“หยุดเผือกก่อนที่จะเสียลูกค้าไปย่ะ” อรวรรณทำทีเป็นผลักเพื่อนอีกคนให้รีบไป ก่อนหันมามองหน้าคนที่ดูมีความคิดมากมายเต็มหัวไปหมด

“ถ้าสงสัยมาก ก็ทำไมไม่ถามผู้เขาไปตรงๆ เลยล่ะ” พรรณวดีถอนหายใจพรืดใหญ่

“แกก็รู้ ว่าถามไม่ได้ ถามได้จะมานั่งวุ่นวายอยู่อย่างนี้เหรอ”

“เออก็พูดไปงั้นแหละ รู้เหมือนกันว่าความสัมพันธ์ประเภทนี้ ไอ้เรา...มันไม่มีสิทธิ์อะไรหรอก” แล้วก็ถอนหายใจตามเพื่อนไปติดๆ ก่อนยกชาเขียวนมปั่นขึ้นมาสูดคลายอารมณ์

“ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องของตัวเอง...เอาเรื่องฉันก่อน”

“เออรู้แล้ว! แล้วแกจะเอายังไงล่ะ ทำอะไรก็ไม่ได้ แล้วจะมานั่งปวดประสาทเพื่อ”

“คือตอนนี้ฉันกำลังประติดประต่อเรื่องราวว่ะ แกจำคุณครูสาวดาว ตต.ได้ป่ะ”

“อาฮะ” พยักหน้ารัวๆ เพราะจำได้ดีและเห็นหล่อนบนหน้า Feeds platform บ่อยๆ

“คือชอบมาแซะฉันเรื่องที่ฉันชอบกินผลไม้เว้ย ก่อนหน้าฉันก็นึกไม่ออก ว่าแซะแล้วจะได้อะไร แซะเพื่ออะไร...แต่พอฉันได้มาเห็นแผ่นหลังหลานชายของ CEO มันทำให้ฉันนึกได้ว่า ฉันกับผู้เคยไปซื้อผลไม้ที่ห้างหนึ่งด้วยกัน คือปกติเราจะไปซื้อตลาดผลไม้ไม่ใช่ในห้าง แต่มีครั้งหนึ่งที่ไปที่ห้าง...” อรวรรณคิดตามที่เพื่อนสาวเล่าพร้อมเริ่มพยักหน้า

“ฉันคิดว่า ยัยนั่นอาจจะไปเห็นเข้าน่ะ...”

“เออว่ะ ถ้าสมมติยัยนั่นเห็นแกไปกับผู้ชายแล้วถ้าผู้แกเป็นแค่ผู้ชายทั่วไป ยัยนั่นก็คงจะไม่ให้ความสนใจมาก แต่ที่มาสนใจขนาดนี้...”

“ใช่ ฉันก็เลยคิดว่า ยัยนั่นอาจจะรู้จักกับผู้ของฉัน และมีทางเดียวที่จะรู้ก็คือ...ผู้ของฉันคือหลานของ CEO เพราะยัยนั่นเป็นฝ่ายต้อนรับของโรงเรียน ได้เจอหน้าเขาเต็มๆ อยู่แล้ว อาจจะหลายครั้งมาแล้วด้วย” ความเป็นไปได้ทั้งหมดทำให้สองสาวเริ่มเห็นทิศทางไปในทางเดียวกัน

แก๊งร่วมชาติรู้รายละเอียดความสัมพันธ์ของเพื่อนทุกคนมาตลอด แต่กฎก็คือจะไม่เปิดเผยรูปภาพผู้ชายหรือชื่อให้กันรับรู้ ก็เลยเรียกแทนผู้ชายพวกนั้นว่า ‘ผู้’ เพียงเท่านั้น

แต่ก็ถือว่าเป็นอันรู้กันถ้วนหน้า

“แล้วแกจะเอายังไงต่อไปวะ จะบอกผู้แกรึเปล่า”

“ก่อนอื่น ฉันมีความคิดในหัวพึบพั่บไปหมดเลย...มันไม่รู้จะอธิบายยังไง ไม่รู้จะเครียดตรงไหนก่อนดี”

“โอเคฉันเข้าใจ ค่อยๆ เรียบเรียงมา”

“เฮ้ย อย่าเพิ่งดิ เล่าใหม่ก่อน...ฉันยังไม่รู้เรื่องเลยนะ!” คนที่รีบวิ่งกลับมายังโต๊ะโซน VIP ที่กันไว้ให้กันและกันเสมอของแก๊ง ทำหน้าเสียดายหนักเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเพื่อนเริ่มคลี่คลาย ราวกับหาคำตอบของสิ่งที่ค้นกันอยู่เจอแล้ว

พรรณวดีตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ปทุมพรฟังอีกครั้ง เพราะทั้งกลุ่มจะไม่มีวันปิดบังเรื่องใดต่อกันแน่

“โอ้โห ทำไมโลกมันถึงกลมขนาดนั้นวะ”

“ไม่ได้กลมธรรมดานะเว้ย กลมกริบ...จิ้มแทงให้เจ็บได้เลยด้วย” อรวรรณเสริมขึ้น พร้อมดูดชาเขียวจนแทบจะหมดแก้ว

“แกจะเอาไงต่อวะ คนอื่นมารู้เรื่องแบบนี้ ไม่ดีต่อความสัมพันธ์แน่ๆ นะเว้ย” ปทุมพรไม่ใช่คนขี้เผือกธรรมดา แต่เธอยังมีความห่วงใยจริงแท้ให้กับเรื่องที่รู้มาอีกด้วย

“ข้อนั้นมันก็ใช่ แต่ที่ใช่กว่านั้น...ก่อนที่ฉันจะเลือกสมัครงานที่นี่ พี่เขาก็รู้ทุกอย่าง แต่ทำไมเขาถึงปล่อยให้ฉันไปสมัครอยู่วะ” ประโยคนี้ทำเอาโต๊ะทั้งโต๊ะเงียบกริบ สัญญาณอันตรายดังมา

ความสัมพันธ์ประเภทนี้เป็นความสัมพันธ์ที่แปลกมากก็จริง แต่สิ่งเดียวที่ทำให้คนที่อยู่รู้สึกปลอดภัยคือทั้งสองฝ่ายต่างแคร์กันและกัน

แคร์ในที่นี่หมายถึง...ในทุกๆ เรื่อง ที่จะทำให้ความสัมพันธ์ปลอดภัย พรรณวดีไม่รู้หรอกว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเขาจะต้องจบลงเมื่อไหร่ แต่ในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิง

คนที่รู้จักเธอ จะต้องไม่รู้...ว่าเธอเคยอยู่ในความสัมพันธ์หนึ่งๆ กับเขา

ใช่...ในความยอมให้เขาเหนือกว่า เธอก็มีเงื่อนไขเป็นของเธอเช่นกัน เขาไม่แคร์คนอื่นแต่เธอต้องแคร์ เพราะเธอคือผู้หญิง

แน่ล่ะ เธอมั่นใจว่า...ผู้หญิงไม่มีวันเท่าเทียมผู้ชายตราบใดที่สังคมยังคงตีตรา และเธอก็ไม่คิดที่จะไปฝืนกฎของสังคมหรือเรียกร้องให้สังคมมายอมรับ เธอแค่ต้องการแสดงความต้องการของตัวเองในพื้นที่ที่ปลอดภัย และสังคมก็ยังมองเธอในแบบที่เธออยากให้มองด้วย!

“ความเป็นไปได้ที่น่าฟังก็คือ ผู้ของแกเขาอาจจะมี แพลนจริงจังในความสัมพันธ์กับแกขึ้นมาแล้วก็ได้นะเว้ย” สาวที่มองโลกในแง่บวกเสมออย่างเจ้าของร้านคาเฟ่ พูดสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดออกมา

“กฎของการอยู่ในความสัมพันธ์นี้คือ พวกเราห้ามคาดหวังแกก็รู้ไม่ใช่เหรอวะไอ้นิ่ม ทำไมพูดพล่อยๆ ออกมาได้วะ”

“ไอ้ต่าย ความสัมพันธ์ของไอ้ดีมันไม่เหมือนแกนะเว้ย มันคบมาตั้งปีแล้ว ไม่ใช่แค่แอบแซ่บเป็นครั้งคราว”

“พูดมาซะจี๊ดเลยนะ เออ หุบปากก็ได้วะ” ว่าแล้วก็เดินไปสั่งชาเขียวจากบาริสต้าอย่างแก้เก้อแทน

“แต่ที่ไอ้ต่ายมันพูดก็มีเหตุผลนะเว้ย ความสัมพันธ์ประเภทนี้...ฉันไม่กล้าคาดหวังหรอก” ใบหน้าใสหม่นหมองชัดขึ้นมา เอาจริงๆ ต่อให้เราจะมีความตั้งใจหรือปกป้องหัวใจตัวเองได้ดีแค่ไหน

มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกที่เราจะไม่รู้สึกเจ็บเลย...

“แล้วแกจะเอายังไงต่อไปวะ”

“ไม่รู้เลยว่ะ ตื้อไปหมด” หันไปย่นริมฝีปากใส่เพื่อนเหมือนเด็กฟ้องแม่

“โอเค ฉันเข้าใจนะเว้ย ว่าเราไม่ควรคาดหวัง...แต่ถ้าสมมติๆ ว่าจะมีความสัมพันธ์กันแบบจริงจังขึ้นมา แกแคร์ความต่างระหว่างฐานะรึเปล่าวะ”

“หื้อ ฉันไม่ใช่นางเอกผู้ต่ำต้อย มองว่าตัวเองด้อยกว่าใครซะหน่อย มันไม่มีอะไรสำคัญทั้งนั้นแหละ ถ้ารักและอยากจะอยู่ด้วยกันจริงๆ อ่ะ” แล้วลำคอก็แห้งผากขึ้นมาดื้อๆ เธอกล้าพูดคำว่า ‘รัก’ ออกมา

ทั้งๆ ที่รู้ว่า...ชาตินี้คงจะไม่มีวันได้สัมผัส

“แสดงว่าแกจะไม่แคร์ว่าใครจะมองยังไง หรือจะไม่ได้รับการยอมรับหรือไม่ ใช่มะ...”

“เออดิ ฉันก็ไม่ใช่ขี้ไก่ขี้กานะ ฉันทั้งสวยและมากความสามารถ เป็นครูมีเกียรติมีศักดิ์ศรีคนหนึ่งเหมือนกันแหละ” ปทุมพรหัวเราะออกมาได้ เธอชอบที่เพื่อนรักเป็นคนแบบนี้ เห็นคุณค่าในตัวเองและไม่เคยมานั่งตัดพ้อ แถมยังมีความรักเปี่ยมล้นในหัวใจให้กับตัวเองและซื่อสัตย์กับความรักที่มีต่อคนอื่น

“งั้นทำไมแกไม่ลองเดินหน้าคุยกับผู้ของแกตรงๆ ล่ะ ไหนๆ ก็ไม่ใช่ไก่กาแล้วอ่ะ ลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองสักครั้งกันมะ”

“เหมือนแกน่ะเหรอ เป็นไงล่ะ...”

“เออ ช่างเรื่องของฉันเถอะ แกอาจจะไม่ลงเอยเหมือนฉันก็ได้” รีบตัดบทเพราะไม่อยากจะพูดถึงเรื่องของตัวเองอีก คนที่เข้าใจว่าเพื่อนคงจะยังเป็นแผลสดอยู่ เลือกที่จะไม่พูดต่อเช่นกัน

“ฉันว่าจะพูดอยู่ คำตอบของพี่เขา...จะมีผลต่อการตัดสินใจของฉันแน่ๆ”

“ฉันไม่แคร์อะไรเลยนะเว้ย ว่าใครจะรู้หรือไม่รู้ แต่ตอนนี้สิ่งที่ฉันแคร์ที่สุดก็คือ เขาไม่ได้แคร์ความรู้สึกของฉันจริงๆ เหรอ ทั้งๆ ที่ฉันก็บอกเขาไปหมดแล้วขนาดนั้น...” พอมาถึงตรงนี้ น้ำตาก็แทบจะพานไหล

มือเรียวยาวยื่นมาบีบไว้เชิงให้กำลังใจ แต่ก็เหมือนบีบสั่งให้น้ำตาหลั่ง

“โอ้โห ไปแปบเดียว ดราม่ากันซะแล้ว...อือมาๆ มากอดแน่นๆ กันเร็ว” ไม่ต้องถามอะไรให้มากความ อรวรรณร่วมสมทบน้ำตาคลอกับเพื่อนๆ ไปด้วยกัน

ในความไม่แคร์ มันก็ต้องแคร์นั่นแหละ แต่จะทำยังไงได้ ออกมาไม่ได้กันเองนี่นา!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel