บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

หลังจากที่ได้โคจรลมปราณตามแนวทางของเคล็ดวิชาบ่มเพราะลมปราณเทพเต่าดำแล้ว ความหิวกระหาย ความเหนื่อยล้า ก็เริ่มรับรู้ได้ถึงสิ่งเหล่านั้นในทันที หลังผ่านไปกว่า 100 ปี ที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยปราณจากธรรมชาติในก้อนน้ำแข็งไร้รสสัมผัสใดๆ

บัดนี้เมื่อการสำรวจลมปราณในร่างของตนเองเสร็จ ก็ทำให้ตัวเป่าฮู่ตกอกตกใจ จู่ๆระดับของตนเองก็ยกระดับไปสูงมาก ด้วยเดิมทีระดับของเป่าฮู่ก่อนที่จะหลับใหล มีเพียงระดับปราชญ์ลมปราณเท่านั้น

แต่ตอนนี้หลังจากที่สำรวจตนเองจนถี่ถ้วน ระดับลมปราณกลับยกระดับมาอยู่ที่ระดับราชา พร้อมความสามารถในการครอบครองวงแหวนสีม่วงได้เป็นผลสำเร็จ สีของวงแหวนจะพัฒนาไปตามระดับของผู้ใช้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับอายุของอสูรลมปราณที่ครอบครองอยู่จะแยกกันอย่างสิ้นเชิงกับวงแหวนสัตว์อสูร

แต่สำหรับเป่าฮู่ ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ยากนักที่จะแสดงความโดดเด่นออกมาขณะที่เบื้องหน้าคือ ศัตรูที่ไม่รู้จัก

“ท่านเทพเต่าที่ยิ่งใหญ่ ท่านพอมีวิธีที่จะทำให้ข้าสามารถอำพรางสีของหวงแหวนให้เป็นสีฟ้าดั่งเดิมได้หรือไม่?”

เต่าอักขระที่ได้ฟังก็คิดว่า

(ไอ้มนุษย์คนนี้ร้ายนัก คิดใช้ทักษะหนึ่งของมันอำพรางวงแหวนของตัวมันเองที่เป็นสีม่วง)

“ได้ ข้าจะสอนเจ้า แต่ว่าเจ้าต้องแลกกับอาหารชั้นดี ที่ข้าได้ยินได้ฟังมาจากเหล่าสัตว์อสูรที่ได้กินมันจากพวกมนุษย์”

เพียงเท่านั้นเป่าฮู่ก็สบายใจและตอบตกลง แต่ขณะที่กำลังกล่าวพูดคุยสิ่งอื่นใดก็ได้ยินเสียงของกลุ่มคนที่เดินเข้ามาด้านในถ้ำและทำเหมือนกำลังค้นหาบางสิ่ง

เป่าฮู่ได้เห็นร่างของหญิงสาวนางนั้น ก็มองไปที่มือของนางก่อนจะเก็บจดหมายเลือดนั้นขึ้นมา พร้อมพุ่งกายหลบเข้าไปด้านในที่มีฉะง่อนผาหินสูงอยู่ พร้อมกับบอกให้เต่าอักขระกลับเข้าไปด้านในวงแหวนก่อน

เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน กลุ่มคนเหล่านั้นก็เข้ามาด้านในถ้ำแห่งนี้ พร้อมกับพูดคุยกันบางเรื่อง จนเป่าฮู่ที่ใช้ทักษะอำพรางของเต่าอักขระ ลบเลือนตัวตนออกไปในระดับหนึ่ง แต่หากเป็นชนชั้นราชันหรือจักรพรรดิ ลมปราณ ก็ยากที่จะซ่อนพรางตัวของตนเองได้

เพียงการสนทนาที่ดังแว่วมา พร้อมกลุ่มศิษย์กลุ่มเดิมที่เป็นคนนำร่างของนางมาโยนไว้ด้านในถ้ำ

“นั่นไง ศิษย์พี่ นาง เป็นนางจริงๆ เหมยฮวา นางช่างน่ารังเกียจนัก แอบขโมยเคล็ดวิชาลับของสำนัก และหนีมาฝึกตนด้านในนี้จนในที่สุดคงลมปราณแตกซ่าน เรารีบนำร่างของนางไปพบท่านเจ้าสำนักเถอะศิษย์พี่”

แต่ในขณะที่กลุ่มคนกำลังพากันจากไป เป่าฮู่ได้เห็นศิษย์หญิงสองคนที่ยังคงอยู่ กล่าวบางอย่างต่อกัน

“นี่ศิษย์น้องหนิว ศิษย์พี่ลู่ฝากบอกว่า ขอบคุณเจ้ามากที่ทำงานได้ดีมาก....ฉวับ!”

การสังหารเพื่อกำจัดพยานผู้รู้เห็น ทำให้เป่าฮู่ได้เห็นว่ายุคสมัยนี้โหดร้ายมากพอๆกับยุคสมัยของตนเช่นกัน

(คงเป็นเช่นนี้ทุกยุคทุกสมัย เข่นฆ่ากันเพื่อของมีค่า และเข่นฆ่ากันเพื่อปกปิดความจริง)

ดังนั้นหลังจากที่คนเหล่านั้นจากไป เป่าฮู่ใช้ความสามารถของตนเองก้าวทะยานออกไปจากถ้ำ โดยสิ่งที่ได้จากร่างของศิษย์ 2 คนที่ตกตายตรงหน้า เพียงเสื้อผ้าอิสตรีและเงินทองเล็กน้อย

(เขตนอกเมืองซื่อหม่า)

เพียงเป่าฮู่ได้ออกเดินทางจากส่วนลึกของภูเขาหิมะ เพื่อหาสถานที่อื่นที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ และในที่สุดก็พบเจอเหล่าคนที่ตั้งหมู่บ้านอยู่รอบนอกได้พูดคุยเพื่อเจรจาของซื้อเสื้อผ้าสักชุด

อันเวลาผ่านไปกว่า 100 ปี ภาษาของแดนเสวียนอู่ก็ยังคงเป็นภาษาเดิม เป่าฮู่เดินออกมาจนพ้นเขตเมืองหาสถานที่เงียบๆที่จะนั่งกินอาหารที่ได้มาจากร้านค้าในหมู่บ้าน

ถนนทุกสายก้อนกรวดทุกก้อน ต้นไม้ทุกต้น ใบหญ้าทุกใบ ยังคงเป็นเช่นเดิม เสมือนวันวานที่เคยดอมดม สายลมที่อบอุ่นจากธรรมชาติ แม้เป็นเขตหนาวแต่ก็ยังรับรู้ถึงไออุ่นจากธรรมชาติได้

ไก่ย่างสมุนไพร พร้อมสุราหนึ่งขวด เพียงเท่านี้เป่าฮู่ก็สุขใจ แต่เมื่อการพักผ่อนได้มาถึง การทิ้งกายลงนอนกับพื้น สิ่งแรกที่ทำคือแกะห่อผ้าออกมาพร้อมตะบันยัดไก่ย่างเข้าไป กรอกตามด้วยสุราที่ร้อนแรง ภาพที่ใครๆได้เห็นดั่งคนที่อดอยากมากว่า 100 ปี

(แต่มันก็จริงที่ตัวเป่าฮู่ไม่ได้กินอะไรมากว่า 100 ปีจริงๆ)

เมื่อไก่ตัวแรกหมดลง ตัวที่สองก็ตามมา จนเวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ไก่ที่มีเริ่มทำให้กระเพาะของเป่าฮู่หยุดการขยายตัว ด้วยไก่ย่างที่หอมกรุ่น ผิวหนังได้เห็นชั้นไขมันที่ไหม้เกรียม ส่งกลิ่นหอมออกมานั่นจึงทำให้ชายหนุ่มอดที่จะตะบันไปหลายๆตัวไม่ได้

“เอาหละเพียงเท่านี้ก็อิ่มเสียที”

ภาพต่อมาก็คือการอ่านจดหมายเลือดที่ถูกจารึกโดยหญิงสาวผู้นั้น พร้อมทั้งกลุ่มสำนักที่มีชื่อว่า เจ้าเมืองซื่อหม่า นั่นได้มีกลุ่มศิษย์สังหารกันอย่างง่ายดายโดยเจ้าสำนักไม่สนใจใยดี

“ไหนแม่นาง ดูสิว่าข้าจะช่วยสิ่งใดเจ้าได้บ้าง แม้ข้าจะไม่เสี่ยงใช้วิชาอัญเชิญวิญญาณกับเจ้า แต่บุญคุณเจ้าข้าจะไม่มีวันลืม เมื่อใดข้าทำตามที่ตั้งใจไว้สำเร็จ ข้าจะตอบแทนตระกูลของเจ้า อย่างดีเป็นการตอบแทน”

คำกล่าวที่มีทำให้ตัวของเป่าฮู่ได้อ่านเนื้อหาที่มีในจดหมายเลือด ก่อนที่ความอัดอั้นที่ไร้ทางระบายจะเอ่อล้นออกมา

(ข้าแด่ทวยเทพอันศักดิ์สิทธิ์ ข้าเหม่ยฮวา ศิษย์สำนักเจ้าเมืองซื่อหม่า ขอความเป็นธรรม ข้าถูก คนแซ่ ลู่ และคนแซ่หนิว ทำร้ายจนตกมาในสภาพเช่นนี้หากชาติหน้ามีจริงข้าจะกลับมาแก้แค้น)

วาจาที่กล่าวมาในเนื้อความเหล่านั้นคือ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชะตาของตนเอง และความโกรธแค้นที่ตนเองได้รับ เป่าฮู่จึงกล่าวออกไปว่า

“แม่นางเหมยฮวา ข้าจะช่วยท่านแก้แค้นเอง หากไม่ได้ท่านระบายพลังหยางจากพิษร้ายในกายท่านกับแผ่นน้ำแข็งนั้น ข้าคงไม่อาจหลุดออกมาได้”

เป่าฮู่ได้รับรู้จากเต่าอักขระถึงสิ่งที่เกิดขึ้นคร่าวๆ แต่หลังจากได้เห็นจดหมายเลือดนี้ ก็ทำให้เป่าฮู่ต้องการที่จะไปเยือนตระกูลเหมย เพื่อแจ้งข่าวของหญิงสาวนางนี้ให้ทำพิธีทางความเชื่อแก่นางซะ

(ตระกูลเหมย)

หลังจากข่าวการหายตัวไปของบุตรตรีผู้ที่มากพรสวรรค์คนหนึ่งของตระกูล ผู้นำตระกูลเหมยชายผู้เป็นพ่อค้าผ้ารายใหญ่ในดินแดนเสวียนอู่แห่งนี้ ตระกูลเหมยตั้งอยู่ใน เมืองลำดับที่ 3 เมืองหู่ จากที่เป่าฮู่ได้ฟังชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆเล่าถึงแซ่ของหญิงคนนี้

แต่เหตุการณ์ของตระกูลกลับเปลี่ยนไป เมื่อ เหมยฮวาเป็นบุตรคนโต จากภรรยาเก่าที่ถูกส่งไปในดินแดนแสนไกลเช่นสำนัก เจ้าเมืองซื่อหม่า แท้จริงแล้วตัวนางสามารถเข้าศึกษาที่สำนักเจ้าเมืองหู่ก็ได้ แต่แม่เลี้ยงที่จิตใจโหดเหี้ยม อยากจะกำจัดนางออกไป

บัดนี้เมื่อเป่าฮู่ได้รับรู้ มีเป่าหมายในการท่องยุทธ์เพื่อจัดการปัญหาของคนแซ่เหมยนี้เสร็จก็จะเดินทางไปแดนศักดิ์สิทธิ์สืบหาต้นตอที่ทำให้นิกายเสวียนอู่ต้องพินาศ

“เอาหละ ได้เวลาแล้ว พวกชาวยุทธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าเป่าฮู่ผู้นี้ฟื้นจากความตาย หนี้แค้นและความอัปยศของพี่น้องกว่า 10000 ชีวิต ข้าเป่าฮู่ผู้นี้จะล้างแค้นพวกเจ้าทุกตัวคน”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel