บทที่ 3 ตามไปค่ายทหาร
สามวันต่อมา กงเหล่ยก็นำทัพออกเดินทางเพื่อไปทำศึกกับแคว้นเว่ย
ก่อนหน้านี้หลังจากยึดเมืองด่านหน้าของแคว้นเว่ยได้แล้ว เขาได้ให้คนส่งจดหมายไปเจรจากับเว่ยอ๋อง ยื่นข้อเสนอว่าหากเว่ยอ๋องยินยอมสวามิภักดิ์ เขาเองก็ไม่คิดจะบุกทำลายเมือง แต่เว่ยอ๋องกลับตอบกลับมาเพียงว่าเขาคงไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ยามนี้เกาฮ่องเต้มีพระราชโองการว่าแคว้นใดยอมสวามิภักดิ์หรือเข้าร่วมกับแคว้นเซี่ยถือว่าเป็นกบฏ อีกอย่างพี่สาวของเขาก็เป็นถึงฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ เขาไม่มีทางทรยศพี่เขยและพี่สาวของตนแน่นอน เว่ยอ๋องจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะขอสู้กับกงเหล่ยจนตัวตายเสียดีกว่า
กงเหล่ยส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ตระกูลเกายามนี้มีอำนาจที่สุดในแผ่นดิน อีกทั้งยังต้องการสังหารเขา และแคว้นต่างๆก็ตกเป็นเมืองใต้อาณัติของตระกูลเกาทั้งหมด การที่เว่ยอ๋องจะหวาดกลัวตระกูลเกาก็ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อันใด
เขายังจำได้ไม่ลืม ว่าการตายของท่านพ่อในครั้งนั้นท่านอ๋องต่างแคว้นล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องและขึ้นตรงต่อตระกูลเกา น่าเจ็บใจนัก ทั้งที่ท่านพ่อของเขาและเกาฮ่องเต้เคยเป็นสหายรัก แต่ทว่าสุดท้ายแล้ว เกาฮ่องเต้กลับหักหลังท่านพ่อของเขาได้อย่างอำมหิต
ท่านพ่อไม่ได้รบจนตัวตายแต่กลับถูกลอบสังหาร อีกทั้งยังหาศพไม่พบ เขาใช้เวลาหลายปีจนสืบทราบถึงการตายของท่านพ่อ และซ่องสุมกำลังทำตัวเป็นเต่าหดหัวมานานหลายปีก็เพื่อรอคอยวันนี้
เขาคิดผิดจริงๆที่ไปเจรจากับคนชั่วช้าพวกนั้น พวกคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์มาเป็นอันดับแรก รวมหัวกันทำร้ายท่านพ่อของเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่ากล่าวโทษว่าเขาโหดเหี้ยมก็แล้วกัน
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดมาผะแผ่ว อากาศในยามนี้ค่อนข้างเย็นสบายอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าไต้ฝูหรงกลับเหงื่อแตกพลั่กเพราะชุดที่นางสวมใส่อยู่ตอนนี้
หลังจากคิดทบทวนมาทั้งคืนแล้ว นางจึงตัดสินใจว่าจะติดตามเซี่ยอ๋องไปที่สนามรบด้วย
นางไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเหลืออีกแล้ว อีกทั้งเขายังเป็นผู้มีพระคุณของนาง ในค่ายทหารย่อมไม่สะดวกสบายเท่าใดนัก อีกทั้งเขาก็ยังไม่มีสาวใช้เอาไว้คอยติดตามใช้งาน แต่หากนางบอกเขาไปตามความจริงว่านางอยากติดตามเขาไปในสนามรบ เขาย่อมไม่เห็นด้วยเป็นแน่ นางจึงลอบหาชุดทหารมาสวมใส่และเดินเท้าไปพร้อมกับเหล่าทหาร ตามกงเหล่ยเข้าสู่สนามรบ
เพราะต้องเร่งเดินทาง ทำให้กงเหล่ยไม่มีเวลาไปสนใจไต้ฝูหรงเท่าใดนัก ตอนนี้ในหัวเขามีเพียงการโจมตีแคว้นเว่ยให้ราบเป็นหน้ากองโดยเร็วเท่านั้น
เส้นทางจากเมืองด่านหน้าไปยังเมืองหลวงแคว้นเว่ยไม่ได้ห่างกันมากเท่าใดนัก ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามก็ถึงแล้ว เขาสั่งให้ทหารตั้งกระโจมอยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองหลวงแคว้นเว่ย
เว่ยอ๋องที่ได้ยินว่าตอนนี้กองทัพแคว้นเซี่ยตั้งค่ายทหารอยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองหลวงแคว้นเว่ย ใจของเขาก็เต้นระส่ำระสายจนแทบนั่งไม่ติดที่ ก่อนหน้านี้เขาได้ส่งจดหมายไปขอความช่วยเหลือจากเกาฮ่องเต้แล้ว คาดว่าอีกไม่นานกองกำลังเสริมจะต้องมาสมทบในอีกไม่ช้า
เว่ยอ๋องเริ่มจะอายุมากแล้ว อีกทั้งยังไม่มีทายาทสืบสกุลเนื่องจากเขาเป็นหมันไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ เดิมทีเขามีหลานชายคนหนึ่งคิดว่าจะให้สืบทอดตำแหน่งต่อจากตน แต่เจ้าเด็กโง่นั่นกลับเป็นคนไม่เอาไหน ทำตัวเสเพลไปวันๆ คนที่จะคอยเป็นมือเป็นเท้าให้ก็ไม่ได้เรื่องสักคน
ในเมื่อไร้ทางออก คงทำได้เพียงต่อสู้จนตัวตายแล้ว หากว่าสู้ไม่ไหว เช่นนั้นก็หาทางเอาตัวรอดหนีไปแคว้นเกา ส่วนราษฎรจะเป็นตายอย่างไรก็ช่างเถิด
ด้านกงเหล่ยนั้นหลังจากปักหลักสร้างค่ายทหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มานั่งอ่านรายงานทางการทหาร เสื้อผ้าของชายหนุ่มค่อนข้างเลอะเทอะเพราะไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนชุดเนื่องจากความเร่งรีบ การอยู่แต่ในสนามรบแน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีเวลามานั่งดูแลตนเองเท่าใดนัก
รายงานทางทหารไม่มีอันใดน่าห่วงมากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องราวของสงครามต่างแคว้นทั้งสิ้น
กองทัพตระกูลกงมีแม่ทัพใหญ่อยู่ใต้อาณัติการสั่งการของกงเหล่ยถึงสามคน คนแรกมีนามว่าเฉิงซาน เป็นหลานชายของท่านเฉิงซุน ส่วนอีกสองคนมีนามว่า เซียวเย่ และหลัวเยี่ย สามคนนี้ล้วนเป็นสหายสนิทของเขาทั้งสิ้น แต่เซียวเย่นั้นมีอายุน้อยกว่าพวกเขาอยู่หลายปี นับว่าเป็นน้องเล็กที่สุดในกลุ่ม
"ท่านอ๋อง หลัวเยี่ยส่งจดหมายมาให้ท่าน อีกทั้งยังฝากคำมาบอกว่าสามารถยึดเมืองเล็กๆโดยรอบแคว้นเว่ยได้แล้วขอรับ ส่วนราษฎรก็ยินยอมสวามิภักดิ์ต่อท่านแล้ว เอ่อ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ท่านอ๋องเชิญอ่านเนื้อหาในจดหมายดูเถอะขอรับ"
กงเหล่ยละสายตาจากรายงานทางการทหาร ก่อนจะเงยหน้ามามองเฉิงซุนและยิ้มเล็กน้อย พลางรับจดหมายไปเปิดอ่าน ก่อนที่เขาจะส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง
หลัวเยี่ยบอกว่าเหล่าราษฎรแทบจะกู่่ร้องที่รู้ว่าแคว้นเว่ยเกิดภัย เพราะเว่ยอ๋องตัวดีนั้นไม่สามารถซื้อใจประชาชนได้
ประชาชนที่ตกยากบอกว่าตั้งแต่เกิดสงครามพวกเขาก็อดยากยิ่งนัก เมื่อไปขอความช่วยเหลือจากทางการกลับถูกทุบตี อีกทั้งเว่ยอ๋องยังขูดรีดภาษีอย่างหน้าเลือด ไม่มีความเมตตาต่อราษฎร ตนเองอยู่ดีสุขสบายแต่ราษฎรกลับแร้นแค้นอดอยากจนตกตายด้วยความหิวโหยไปไม่น้อย ชาวบ้านต่างบ่มเพาะความเกลียดชังเอาไว้ในใจมานานหลายปีแล้ว เมื่อแคว้นเว่ยมีภัย แม้ใจหนึ่งจะไม่ชอบใจที่แว่นแคว้นถูกรุกราน แต่ถ้าหากสามารถเปลี่ยนนายคนใหม่ที่ดีกว่าเว่ยอ๋องคนปัจจุบันได้ พวกเขาคงจะกราบไหว้ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาแล้ว
กงเหล่ยไม่เอ่ยสิ่งใด เดิมทีคิดว่าเรื่องซื้อใจราษฎรต่างแคว้นนับว่าเป็นเรื่องยาก เขาไม่คิดจะทำร้ายคนบริสุทธิ์อยู่แล้ว อย่างไรเรื่องนี้ก็ยังสร้างความหนักใจให้กับเขาอยู่ไม่น้อย
แต่เมื่อได้อ่านจดหมายที่หลัวเยี่ยเขียนส่งมา เขาก็พอจะวางใจลงได้ จึงเขียนจดหมายตอบกลับไป ให้หลัวเยี่ยดูแลชาวบ้านเหล่านั้นให้ดี
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังสนทนากับเฉิงซุนอยู่นั้น ก็รับรู้ได้ว่าภายในกระโจมมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง เขาหันไปสบตากับกุนซือของตน ก่อนจะมองไปโดยรอบกระโจมด้วยแววตาที่เย็นชา
แต่ไหนแต่ไรเหล่าทหารต่างไม่กล้าเข้ามาในกระโจมของเขาโดยพละการหากยังไม่ได้รับอนุญาต
ผ้าม่านริมหน้าต่างสั่นไหวเล็กน้อย กงเหล่ยคล้ายมองเห็นบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว เขาค่อยๆเดินเข้าไปใกล้พลางกระชับดาบยาวที่ข้างเอวเอาไว้แน่น
ผู้ใดมันกล้าบุกรุกกระโจมของเขา!
"ออกมา ไม่อย่างนั้นข้าจะสังหารเจ้าเสีย!"
กงเหล่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ คล้ายว่าคนที่หลบซ่อนอยู่ด้านหลังผ้าม่านจะหวาดกลัวไม่น้อย จึงค่อยๆโผล่ใบหน้าออกมาจากที่ซ่อน ก่อนจะส่งยิ้มให้เขาด้วยความหวาดหวั่น
"ไต้ฝูหรง!"
เฉิงซุนที่เห็นว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่คือไต้ฝูหรงก็ขมวดคิ้วมุ่นคราหนึ่ง เมื่อมองให้ดีก็พบว่าหญิงสาวมีสภาพทุลักทุเลอยู่ไม่น้อย รองเท้าที่สวมใส่ก็ขาด ใบหน้าเลอะเทอะมอมแมม อีกทั้งนางยังแต่งกายคล้ายทหารอีกด้วย
"ท่านกุนซือ ท่านออกไปก่อน"
"แต่ว่า.."
"ออกไปเถิด"
เมื่อได้ยินเจ้านายออกคำสั่ง เฉิงซุนจึงไม่รั้งอยู่ต่ออีก แต่อย่างไรเขาก็ยังไม่วางใจในตัวไต้ฝูหรงจึงยืนรออยู่ด้านนอกกระโจมไม่ยอมจากไปไหน
เมื่ออยู่กันตามลำพัง กงเหล่ยจึงจ้องมองไต้ฝูหรงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จนคนถูกมองเริ่มประหม่าหวาดหวั่น
"เจ้ามาที่นี่ได้เช่นไร แล้วเหตุใดจึงสวมชุดทหารเช่นนี้?"
ไต้ฝูหรงลนลานแล้ว ดวงตาคู่งามสอดส่องไปทั่วกระโจม ก่อนที่นางจะวิ่งไปที่โต๊ะเขียนอักษรของกงเหล่ย พลางมองเขาด้วยแววตาอ้อนวอน กงเหล่ยเพียงพยักหน้าเล็กน้อย เขารู้ว่านางพูดไม่ได้จำต้องเขียนอักษรแทน อีกทั้งบนโต๊ะของเขายามนี้ก็ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอันใด เขาจึงอนุญาตให้นางเขียนอักษรบนโต๊ะได้
ไต้ฝูหรงจับพู่กันมาเขียนบางอย่างลงบนกระดาษก่อนจะส่งให้เขาอ่าน
ข้าอยากติดตามมาดูแลท่าน ท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้าจะต้องตอบแทนท่านให้ได้ ท่านอยู่ในค่ายทหารเกรงว่าจะไม่สะดวกสบายเพราะไม่มีคนคอยดูแล ข้าไม่เอาเงินก็ได้ ขอแค่อาหารสักมื้อก็พอ ข้าทำเป็นทุกอย่าง ไม่ว่าจะซักผ้า เย็บผ้า ทำอาหาร ท่านอ๋อง ท่านอย่าไล่ข้ากลับไปเลยนะเจ้าคะ!
กงเหล่ยที่อ่านข้อความบนกระดาษจนจบก็ถึงกับชะงักไปชั่วขณะ เขาไม่ได้ต้องการให้นางมองเขาเป็นผู้มีพระคุณเลยแม้แต่น้อย และเขาก็ไม่ต้องการให้นางมาตอบแทนอันใด แต่ดูเหมือนไต้ฝูหรงดึงดันจะตอบแทนเขาให้ได้เสียแล้ว และเขาเชื่อว่าถึงเขาจะออกปากไล่นางก็คงไม่ยอมไป
แต่อย่างไรค่ายทหารก็ไม่ใช่ที่เที่ยวเล่น เขาคงไม่อาจให้นางอยู่ต่อได้
แต่เมื่อหันไปมองนางอีกครา วาจาที่คิดจะเอื้อนเอ่ยกลับไม่สามารถเอ่ยออกมาได้
ยามนี้ไต้ฝูหรงกำลังมองเขาด้วยแววตาที่อ้อนวอน ดวงตากลมโตมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอคล้ายเด็กน้อยที่กำลังร้องขอของเล่นจากบิดาอย่างไรอย่างนั้น
กงเหล่ยรีบเบือนหน้าหนี ก่อนจะเอ่ยโดยที่ไม่ยอมมองหน้านาง
"เอาเถอะ ในเมื่อเจ้ามาแล้ว อีกทั้งหนทางก็ยาวไกล หากเดินทางกลับเมืองเกาผิงเกรงว่าอาจจะล้มป่วยระหว่างทางเอาได้ เช่นนั้นก็อยู่ที่นี่ไปก่อน แต่จำไว้ว่าอย่าก่อเรื่องและอย่าได้เดินไปที่ใดส่งเดช เข้าใจหรือไม่!"
อยู่ๆชายหนุ่มก็รู้สึกว่ามีมือน้อยๆกำลังดึงชายแขนเสื้อของเขาเบาๆ เมื่อกงเหล่ยหันไปมองก็พบว่าตอนนี้ไต้ฝูหรงกำลังส่งยิ้มหวานและพยักหน้าให้กับเขา พลางจับชายแขนเสื้อเขาเขย่าเล็กน้อย แววตาของนางยามที่มองเขานั้นเป็นประกายเจิดจ้า กงเหล่ยรู้สึกว่าตนเองเริ่มประหม่าขึ้นมาเสียแล้ว
"เจ้าออกไปเถอะ ข้าจะสั่งให้ท่านเฉิงซุนหาที่พักให้เจ้าแล้วก็หาเสื้อผ้าใหม่ให้เจ้า"
ไต้ฝูหรงพยักหน้าก่อนจะทำความเคารพเขาและเดินออกมาจากกระโจม ระหว่างนั้นหญิงสาวก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆเอื้อนเอ่ยบางคำออกมา
"กง...กง...เหล่ย"
วาจาที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางค่อนข้างยากลำบากเหลือเกิน นางต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะพูดมันออกมา
นี่คือชื่อของเซี่ยอ๋องผู้มีพระคุณของนาง นางได้ยินชื่อเสียงของเขามานานแล้ว ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะจับพลัดจับพลูมาเกี่ยวข้องกันเช่นนี้
เฉิงซุนหรี่ตามองสตรีน้อยที่เอาแต่ท่องชื่อของเจ้านายตนด้วยแววตาล้ำลึกคราหนึ่ง
ดูเหมือนนางจะไม่ได้เป็นใบ้แต่กำเนิดใช่หรือไม่?
เฉิงซุนเก็บความสงสัยนี้เอาไว้ในใจ ก่อนจะบอกให้นางตามเขาไปยังที่พัก
เมื่อคนจากไปแล้วกงเหล่ยก็ทิ้งกายลงนั่งบนเก้าอี้ ไม่นานนักเซียวเย่หนึ่งในแม่ทัพใหญ่ของเขาก็เดินเข้ามาในกระโจม
"ศิษย์พี่กง เมื่อครู่ข้าเห็นทหารผู้หนึ่งเดินออกมาจากกระโจมของท่านพร้อมกับท่านลุงเฉิงซุน ทหารผู้นั้นพึมพำชื่อของท่านไปตลอดทางเลย อีกทั้งยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เสียด้วย ช่างแปลกประหลาดจริงๆ"
กงเหล่ยเมื่อได้ยินก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูกคราหนึ่ง
อันใดกัน นางเป็นใบ้ไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงเอ่ยเรียกชื่อเขาได้เล่า?
