บทที่ 14
“เอาละ” ลิซ่าตอบอย่างใจเย็น “ถ้าคุณไม่ให้ฉันกลับไปที่เต็นท์ แล้วคุณจะให้ฉันไปอยู่ที่ไหนล่ะ หรือว่าคุณกำลังจะบอกฉันว่า ขณะนี้คุณกำลังหาทางที่จะส่งตัวฉันกลับบ้านอยู่” เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นในใจ สีหน้าของ
ลิซ่าก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยมีโอกาสที่จะพูดกับแซมเรื่องที่จะขอร้องให้เขาช่วยส่งตัวเธอกลับบ้านเลยและเมื่อปรารภกับไรเล่ย์ เขาก็พยายามพูดให้เธอได้เข้าใจว่า มันเป็นโชคร้ายของตัวเธอเอง ที่ต้องมาอยู่ในจุดที่มันอันตรายจากการสู้รบเกิดขึ้นอยู่ แต่บางทีเมื่อมาถึงวันนี้ แซมอาจจะเปลี่ยนความคิดแล้วก็ได้
“ผมกำลังบอก...ไม่ใช่ให้คำแนะนำกับคุณ...ว่าคุณจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” หางเสียงของเขาห้วนห้าว ด้วยความไม่พอใจที่เริ่มก่อตัวขึ้น
“คุณหมายความว่ายังไง ที่ว่าฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” เธอถามงงๆ “และอย่างน้อยคุณก็คงจะต้องรู้ว่าฉันไม่ต้องการจะอยู่ในเต็นท์นี้กับคุณ
“อย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงปนหัวเราะหยันๆ ให้เธออยากจะฟาดหน้าเข้าให้สักเปรี้ยงจริงๆ
“ไม่มีทางหรอก” ลิซ่าตอบอย่างทระนง
“แต่ผมบอกแล้วไงล่ะว่า คุณจะต้องทำตามคำสั่งของผม” เขาจับตามองท่าทางของเธออยู่ ราวกับสนุกสนานเสียเหลือเกิน...แต่ทว่ามันก็มีความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“ถ้าคุณคิดว่าฉันจะต้องยอมย้ายเข้ามาอยู่ร่วมเต็นท์กับคุณ เพื่อที่จะสนองตัณหาของคุณแล้วละก้อ ฉันว่าคุณคิดใหม่ดีกว่า”
“โอ้โฮ...คุณนี่ใช้คำพูดได้เฉียบขาดมาก” เขาส่ายศีรษะไปมาอย่างเยาะหยัน แต่เมื่อเห็นเธอจ้องหน้าราวจะกินเลือดกินเนื้ออยู่ รอยยิ้มก็จางหายไปจากใบหน้า
“ผมคิดว่าคุณท่าจะมองข้ามความสำคัญประการหนึ่งไปแล้วละนะ”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่ว่า ผมคือผู้ที่มีอำนาจเต็มในที่นี่ ไม่ใช่คุณไงล่ะ”
คำตอบของเขา เร่งให้เพลิงโทสะโหมกระพือขึ้น นี่เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกันแน่ที่จะมาออกคำสั่งกับเธอราวกับเธอคือลูกจ้างหรือผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาเช่นนี้ เขาอาจจะเป็นผู้ชายคนหนึ่ง อาจจะมีร่างกายใหญ่โต แข็งแรงกว่าเธอหลายเท่านัก และเขาอาจจะมีอำนาจในสถานที่แห่งนี้ จะเป็นการถาวรหรือว่าชั่วคราวก็ตาม แต่โดยความเป็นจริงแล้ว เขาก็มิได้เป็นอะไรมากกว่าทหารคนหนึ่งที่รับจ้างฆ่าคนเพื่อเงินเพียงตัวเดียวเท่านั้น ในขณะที่เธอคือหลานรักของมหาเศรษฐีที่มีความมั่งคั่งที่สุดในรัฐแมรี่แลนด์ก็ว่าได้ และอาจจะรวยที่สุดในสหรัฐอเมริกาเสียด้วยซ้ำ มันถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องพูดจาให้เป็นที่เข้าใจกันเสียที
ฟังนะ...คุณ...และขอให้ตั้งใจฟังให้ดีด้วย” เธอกัดฟันพูด ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์เมื่อจ้องหน้าเขาอยู่
“ฉัน...จะไม่มีวันรับคำสั่งคุณอย่างเด็ดขาด ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะคิดว่าตัวเองเป็นใคร มีความสำคัญหรือยิ่งใหญ่ขนาดไหน ฉันไม่แคร์เลยสักนิด แต่ฉันคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องพูดจากันให้รู้เรื่องเสียที” เธอมองหน้าเขาอยู่เป็นครู่ก่อนที่จะพูดต่อว่า
“เอาละ ฉันจะเล่าให้คุณฟังก็ได้ว่า ก่อนหน้าที่ฉันจะแต่งงานนั้นน่ะ ฉันมีชื่อเต็มว่าลิซ่า เบนเนท คุณพอจะนึกอะไรออกมาบ้างหรือเปล่าละ เพราะว่าถ้าไม่แล้วละก้อ ฉันก็จะให้ความสว่างกับคุณต่อไป คุณปู่ของฉันคือ เอ.เฮอร์มัน เบนเนท...ช่าย...ท่านชื่อ เอ. เฮอร์มัน เบนเนท และถ้าคุณยังไม่รู้จักฉันอีก ฉันก็อยากจะบอกให้คุณรู้เสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลยว่า ท่านเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐอเมริกาก็ว่าได้ และขณะนี้ท่านอาจจะให้กองทัพบกสหรัฐฯ ทั้งกองทัพกำลังติดตามหาตัวฉันอยู่แล้วก็เป็นได้ และฉันรับรองได้เลยว่า ถ้าทุกคนรู้ว่าฉันต้องมาอยู่ที่นี่ในสภาพเช่นนี้ และถ้าฉันเล่าให้พวกเขาฟังว่าคุณปฏิบัติต่อฉันยังไง เขาจะต้องฆ่าคุณทิ้งทันที”
เมื่อพูดจบเธอก็หอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยมองหน้าเขาอย่างสะใจอยู่ โดยความเป็นจริงแล้วเธอไม่เคยคิดที่จะเอาอำนาจหรืออิทธิพลของปู่มาใช้เป็นเครื่องขู่บังคับใคร แต่ในยามนี้ มันจำเป็นที่เธอจะต้องทำให้เขารู้จักที่จะให้ความเคารพนับถือในตัวเธอเสียบ้าง
แต่ดูเหมือนแซมจะมิได้หวั่นไหวต่อความรู้ใหม่ที่เขาเพิ่งจะได้รับเลย เขายังคงยืนนิ่งเฉยอยู่ในท่าเดิม ดวงตามิได้ปรากฏแววแห่งความเดือดร้อนใจเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าเช่นนั้นคุณก็เป็นลูกหลานเศรษฐีที่เสียเด็กเพราะถูกตามใจมากเกินไปสินะ” น้ำเสียงที่ถามนั้นราบเรียบมิได้บอกความสนใจอะไรเป็นพิเศษเลย “อันที่จริงผมเองก็พอจะเดาได้อยู่แล้วละ เพราะไม่มีผู้หญิงที่สติดีๆ คนไหนเขาจะระบายความโมโหโกรธาแบบเด็กๆ อายุ 10 ขวบอย่างคุณหรอก ผมว่า ที่ถูกแล้ว ปู่ของคุณควรจะใช้ไม้เรียวฟาดคุณเสียบ้างจะได้ไม่เสียเด็กถึงขนาดนี้ แต่เอาเถอะ เมื่อเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำมาตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้น เมื่อคุณกลับถึงบ้านแล้ว ก็ช่วยแสดงความสงสารและเห็นใจในตัวเขาแทนผมด้วยแล้วกัน แต่จะอย่างไรก็ตาม ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่เอาโชควาสนาของตัวเองมาเสี่ยงอย่างที่คุณกำลังทำอยู่ในเวลานี้หรอก”
ลิซ่าโมโหเขาแทบคลั่ง รู้สึกเหมือนสมองจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ พูดอะไรไม่ออกเพราะดูเหมือนจะไม่มีคำพูดใดที่จะเหมาะสมพอจะนำมาใช้กับความร้ายกาจของผู้ชายคนนี้เลย
เธอจ้องมองหน้าเขาอยู่เป็นเวลานาน และเขาก็มองตอบเธออยู่อย่างไม่ครั่นคร้าม ขณะเดียวกันก็บังเกิดความคิดขึ้นมาว่า บางทีมันอาจจะยังมีวิธีอื่นที่สามารถจะใช้ได้ผลดีกว่าวิธีนี้ อีกประการหนึ่งเธอก็รู้แล้วว่า การที่เขาเดินทางมาอยู่ในโรดิเซียนี่ก็เพราะว่าได้รับการว่าจ้างมา บางที เธออาจจะจ่ายเงินให้เขาสักก้อนหนึ่ง เพื่อที่จะให้เขาพาเธอออกไปเสียจากที่นี่ก็ได้
“เอาละ ก็เห็นแล้วว่า คุณเองก็ไม่สนใจหรอกว่าปู่ของฉันจะเป็นใคร” เธอเอ่ยขึ้นภายหลังจากที่ได้พิจารณาคำพูดของเขาอยู่เป็นครู่ “แต่อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่คุณจะต้องไม่ลืมก็คือ ปู่ฉันเป็นคนที่รวยมาก และท่านก็รักฉันมากด้วย คุณจะว่ายังไงถ้าฉันจะบอกกับคุณว่า เขายินดีที่จะจ่ายเงินให้คุณตามคำเรียกร้อง ไม่ว่าจะเป็นสามแสนหรือสี่แสนเหรียญ คุณบอกมาได้เลย ขอแต่เพียงให้พาฉันกลับไปส่งบ้านโดยปลอดภัยเท่านั้น”
เธอกำลังเอาหัวแครอทล่ออยู่ตรงหน้าเขาด้วยความหวังว่าเขาจะงับทันที
“ผมก็เห็นจะต้องตอบว่าไม่... ขอบใจนะ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงชาเย็น และลิซ่าก็ได้แต่จ้องมองหน้าเขาอยู่อย่างแปลกใจเต็มที่
“อ้าว...ทำไมล่ะ” เธอถามอย่างคาดคั้น “คุณเองก็ไม่ต้องการที่จะให้ฉันอยู่ที่นี่ ฉันเองก็ไม่ต้องการจะอยู่ คุณต้องการเงิน ฉันก็มีเงินพร้อมที่จะให้คุณ แล้วคุณจะเอายังไงอีก”
“ก็เพราะว่าผมไม่ต้องการจะเอายังไงน่ะสิ” น้ำเสียงของเขาเหมือนคนที่ใกล้จะหมดความอดทนเต็มที
“เอาละ คุณไม่จำเป็นจะต้องไปส่งฉันด้วยตัวเองก็ได้นี่ ถ้าไม่ต้องการจะทำอย่างนั้น” ลิซ่าเอ่ยต่อ มองเห็นโอกาสอันงามที่เธอจะได้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย “คุณอาจจะมอบหมายให้ใครสักคนหนึ่ง อาจจะเป็นไรเล่ย์ก็ได้ พาฉันไปส่งที่สนามบินที่ใกล้ที่สุด ฉันจะจัดการเรื่องเงินที่จะต้องจ่ายให้คุณเอง ฉันสาบานได้นะ และฉันจะไม่เปิดเผยเรื่องของคุณด้วย”
“ไม่” เขาตอบอย่างเด็ดเดี่ยวและดุร้าย พร้อมกับผลุดลุกขึ้นยืน เป็นการบอกให้รู้ว่าการเจรจาครั้งนี้ยุติลงแต่เพียงเท่านี้
“ถึงยังไงฉันก็ไม่ยอมอยู่ที่นี่กับคุณอย่างเด็ดขาด” ลิซ่าตวาดใส่หน้าเขา แต่แซมกลับมิได้ตอบโต้อะไรออกมาเลย เขาทำท่าเหมือนไม่ได้ยินด้วยซ้ำ
“คุณจะมาบังคับฉันอย่างนี้ไม่ได้ด้วย”
เมื่อเขาหันกลับมามองหน้าเธออีกครั้งหนึ่งนั้น ความรู้สึกที่ปรากฏอยู่ในสีหน้าไม่ดีเท่าไรนัก
“อา...ถึงยังไงผมก็บังคับคุณได้อยู่แล้วนะ” เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “เพียงแต่ผมจะไม่ทำอย่างนั้นเท่านั้นแต่ผมก็ยังมีทางเลือกให้คุณอยู่ คือ คุณจะหุบปากเสียทีแล้วทำตามคำสั่งของผม หรือว่าคุณจะไปให้พ้นเสียจากแค้มป์แห่งนี้ จากนั้นก็ดูแลตัวเองก็แล้วกัน นี่คือทางเลือกของคุณซึ่งคุณอยากจะเลือกแบบไหนก็ตามใจ”
