2
แสงสว่างจากหลอดไฟโซลาเซลล์หลายดวงอยู่บริเวณสวนดอกไม้ของบ้าน แต่ไกลออกไปคือภูเขาที่ถูกโอบรอบด้วยความมืดมิดของยามวิกาล ดุจฝันจับหัวซึ่งรู้สึกปวดตุ๊บๆ ปวดแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ หญิงสาวเดินมานั่งยังโซฟาใกล้ระเบียง เมื่อไหร่อาการพวกนี้จะหายเสียที น้ำตาที่ไหลอยู่ไหลรินไม่หยุด
วันนั้นที่ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล หมอบอกว่าเธอความจำเสื่อม สาเหตุจากอุบัติเหตุ แม่เลี้ยงและใครๆ ไม่ได้บอกว่าเธอโดนรถชนที่ไหน คู่กรณีคือใคร แม่เลี้ยงบอกให้เธอทำใจให้สบาย ไม่นานความจำจะกลับมา
แต่หลังจากออกมาอยู่บ้านหลังใหญ่กลางสวน เธอแปลกใจ คนที่บอกว่าเป็นผู้ปกครองจะให้เธอแต่งงานกับลูกชายท่าน พ่อเลี้ยงรวีพงษ์ เขาเสมือนคนแปลกหน้า ไม่เคยพูดคุยกับเธอแม้เพียงสักคำ ไม่เคยชายตามามองกัน แต่เขากลับไม่ปฏิเสธการแต่งงาน
“ทำไมเราไม่คิดว่าเคยรักกับลูกชายแม่เลี้ยงมาก่อน ”
ตอนนั้นพยายามคิดเรื่องราวในอดีตแต่มีแต่ความมืดมิดปกคลุมหนทางที่ค้นหา ทำได้คือเลิกคิดเพราะรังจะทำให้ปวดหัว
งานแต่งงานแบบเรียบง่ายถูกจัดขึ้น มีเพียงคนในบ้านที่รับรู้ มีใบทะเบียนสมรสอย่างถูกต้อง เจ้าบ่าวยังไม่ยิ้มแย้มเช่นเคย งานแต่งงานเกิดขึ้นราวกับความฝัน เขาและเธอเสมือนคนแปลกหน้า ว่าที่สามีทำทุกอย่างให้มันจบเร็วไว หญิงสาวจดจ้องใบหน้าเคร่งขรึมและจดจำไม่เคยลืม เขาทำให้เธอหายใจไม่ออกในวันที่ควรจะมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ จนตอนนี้ผ่านมาครึ่งปี อยู่กับสามี หาความสุขยากยิ่ง มีแต่ความอึดอัดและสงสัย ต้องเสียน้ำตาเพราะคำพูดซึ่งทำร้ายหัวใจเธอมากขึ้นทุกๆ วัน
แม่เลี้ยงและใครต่อใครมีความลับกับเธอ ต้องรู้ให้ได้ว่า ทำไมเขาต้องมาแต่งงานกัน คนรักกันที่ไหนจะเมินเฉยกันได้ถึงเพียงนี้ อยู่กันเหมือนคนแปลกหน้า
ดุจฝันหยิบหมอนอิงมาปิดหน้าซ่อนน้ำตา ความเจ็บปวดจากสายลมท้องฟ้ากว้าง พยายามหยุดคิดเรื่องซ้ำซากนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะตั้งแต่แต่งงานวันแรก สามีใช้สิทธิ์บนร่างกายเธออย่างเอาแต่ใจ เพราะความเมามาย แม้เขาจะมอบความสุขให้เธอเช่นกัน ทำให้เธอลิ้มรสความสุขคละเคล้าความเจ็บปวด หากยังไม่ลืมความเจ็บปวดเพราะต้องการให้สามีทะนุถนอม รักใคร่
เจ้าสาวทุกคนต่างต้องการความรัก ความเอาใจใส่จากสามี แม้ความจำวันวานหายไปแทบหมดสิ้นสมองก็ตาม ทว่าความทรงจำกลับบั่นทอนหัวใจ
ชุดเจ้าสาวสีขาวที่สวยงามฉีกขาด เหมือนมันเป็นแค่เศษผ้าขี้ริ้ว เช้าอีกวันหลังจากโดนสามีตักตวงความสุขจากเรือนร่าง เธอกอดชุดเจ้าสาวด้วยน้ำตาที่นองหน้า
อันที่จริงเธอรู้เรื่องนี้มานาน หลอกตนเองมาสักพักว่าอะไรคงดีขึ้น แต่ตอนนี้ต้องเปลี่ยนความคิด ยอมรับความจริงและอยู่ให้ได้
แต่ถ้ารู้ความจริง สามียอมหย่าเธอจะไปอยู่กับใคร ที่ไหน ทำงานอะไรเพื่อเลี้ยงสมองทึบๆ
ไม่มีที่ไปก็เริ่มสับสนที่อ้อนวอน ตื้อขอความจริงเขา
ช่างอ่อนแอสิ้นดีหัวใจ น้ำตาไหลหยดบนหมอน กลั้นสะอื้นไว้เช่นเคย
“ไม่นอนฉันจะปิดไฟ หรือถ้ายังไงเธอก็ไปนอนห้องเดิมสิ คืนนี้ไม่ต้องรอฉันเอาเธอหรอกนะ ฉันไม่มีอารมณ์ เห็นน้ำตาเธอก็เบื่อ”
ดุจฝันยังเอาหมอนปิดหน้า เธอไม่อยากอยู่ที่นี่แต่ออกไปนอกห้องแม่เลี้ยงจะซักถาม เด็กในบ้านจะนำเรื่องนี้ไปถึงหูแม่เลี้ยง เธอไม่อยากโดนซักโน่นนี่ แต่สามีกลับคิดอกุศลว่าเธอรอให้เขาทำเรื่องอย่างว่า
“ฉันจะไม่ไปไหนหรอกนะที่นี่เป็นห้องฉัน”
“ปิดไฟได้เลยค่ะ ฉันจะนอนเงียบๆ ไม่รบกวน คิดว่าฝันไม่อยู่ในห้องเหมือนทุกคืนสิคะ ส่วนเรื่องอื่นฝันไม่ได้ต้องการมันสักหน่อย”
“อย่างเธอหรือไม่ต้องการ วันทั้งวันคงแต่งตัวสวยนั่งรอฉันกลับบ้าน”
“ปิดไฟเถอะค่ะ”
รวีพงษ์หรือพ่อเลี้ยงตะวันหายใจพรืด “ฉันปิดแน่ ตามใจอยากนอนมองดาวบนฟ้าก็ตามใจ แต่อย่าร้องไห้ให้ฉันได้ยินเชียว เลิกสำออยเสียที”
ดุจฝันรับรู้ถึงความมืดที่โอบล้อมรอบตัว หยิบหมอนออกจากใบหน้า ในห้องมืดสนิท เวลาที่หมุนช้าๆ นับจากนี้จะมีเพียงเธอนั่งถางตาเพราะนอนไม่หลับ รุ่งสางหลายคืนแล้วที่เธอไม่ได้พักผ่อนยามค่ำคืน
คืนนี้อีกสักคืนคงไม่ใช่เรื่องแปลก!
