บทที่ 3 อาณาจักรทมิฬ 50%
ร่วมสามชั่วโมงที่พายุทะเลทรายพัดผ่านดินแดนที่ว่างเปล่า สำหรับความเสียหายคงไม่มีเพราะในเขตนี้แทบไม่มีบ้านเรือนของคนอาศัยอยู่เลย ถัดจากเนินทรายสูงพื้นที่เป็นคลื่นนูนจากพื้นเรียบๆ กำลังขยับตัวคล้ายกับมันมีชีวิต กองทรายล่วงหล่นลงจากร่างกายของใครบางคน สิรินดาพยายามยันตัวเองให้ลุกจากการถูกทรายถมทับ
“โอ๊ย อืมปวดตัวจัง” โชคดีที่เธอยังรอดชีวิตถ้าไม่ใช่เพราะหลุมทรายที่เธอล้มลงไปป่านนี้ลมพายุคงพัดเธอลอยไปไกลกว่านี้แล้ว หญิงสาวพยายามปัดทรายที่ติดร่างกายออก เธอขยับตัวอย่างยากลำบากเพราะกล้ามเนื้อบางส่วนบอบช้ำ เธอแอบคิดว่ากระดูกซี่โครงส่วนไหนหักไปบ้างหรือเปล่า มันเจ็บจนไม่อยากจะขยับตัว
สิรินดาหันมองไปรอบทิศทางไม่รู้ว่าตอนนี้เธอที่ไหนและลูกทีมจะยังคงรอเธอหรือเปล่า ร่างบางค่อยๆ ยันตัวขึ้นแต่เมื่อเธอทรงตัวให้ยืนได้ก็พบว่ารอบข้างมีชายแปลกหน้าห้าคนยืนล้อมตัวเธอไว้พร้อมอาวุธปืนกระบอกยาวและสั้น
“จะทำอะไรฉัน” สิรินดาถามเสียงสั่น ชายคนหนึ่งพูดกับเธอด้วยภาษาที่ฟังไม่เข้าใจ น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมราวกับจะเข่นฆ่าเธอ
“พูดอะไรฉันไม่เข้าใจ...อย่าทำอะไรฉันนะ” หญิงสาวยืนตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก เธอคิดไปต่างๆ ว่าคนพวกอาจจะเป็นโจรทะเลทรายที่มาดักรอเพื่อปล้นสวาท
“พวกแกเป็นใคร ปล่อยฉันนะ” สิรินดาพยายามขัดขืนเมื่อหนึ่งในห้ารวบแขนของเธอไพล่หลังแล้วมัดด้วยเชือกป่านที่เนื้อคมจนบาดข้อมือเล็กไปหลายแผล
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย” หญิงสาวพยายามร้องให้คนช่วยแต่เธอก็ต้องเงียบกริบเมื่อปืนพกขนาดเล็กจ่อกลางหน้าผากพร้อมคำขู่ที่ฟังไม่รู้เรื่อง หญิงสาวเดาไม่ยากฟังจากน้ำเสียงแล้วชายทั้งห้าต้องการพาเธอไปที่ไหนซักแห่ง
“ไอ้พวกบ้าคุยอะไรกันฉันกลัวนะเว้ย” หญิงสาวอึดอัดเต็มทนที่ไม่สามารถสื่อสารกับคนเหล่านั้น เธอจึงตะโกนโวยวายเพราะรู้ว่ายังไงก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ชายที่อยู่ข้างหน้าเธอก็หันมาทำท่าใช้มือกรีดที่ลำคอเป็นสัญลักษณ์ของการทำให้เสียชีวิต ดวงตากลมเบิกกว้างเหมือนมีน้ำใสๆ ไหลคลอจนร้อนผ่าว ถึงจะพยายามทำสายตาให้น่าสงสารเพียงใดคนแปลกหน้าก็ไม่มีวี่แววจะยอมปล่อยเธอง่ายๆ
สิรินดาถูกจับโยนขึ้นท้ายรถฮัมเมอร์อย่างไม่ปราณีแถมยังหันมายิ้มเยาะเย้ยเธออีก ร่างบางทั้งเจ็บและเหน็ดเหนื่อยจนไม่มีแรงจะต่อสู้ใดๆ หญิงสาวนั่งนิ่งมองเส้นทางที่คนไม่หวังดีจะพาไป มันขดเคี้ยวและไกลเหลือเกินหากปล่อยให้เธอเดินมาคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามวันเป็นแน่ ตลอดเส้นทางทั้งคนคุยกันอย่างออกรสออกชาติแถมยังชำเลืองมองทรวดทรงของหญิงสาวไม่เกรงใจหากไม่ถูกมัดไว้มือของเธอคงจะทิ่มตาเขาเป็นแน่
รถเลี้ยวเข้าเส้นทางที่มีการพัฒนาก่อสร้างเป็นถนนมากกว่าพื้นทรายโล่งๆ สิรินดาเห็นหมู่บ้านอยู่ตรงหน้าประชาชนต่างออกมายืนมองรถคันที่เธอนั่งและพูดคุยกัน บ้านแต่ละหลังสร้างแบบเรียบง่ายจากอิฐ หินเรียงต่อกันเป็นตัวบ้าน หรือเป็นกระโจมผ้าเก่าๆ ที่ปะหลายรอย บางหลังน่าจะมีฐานะขึ้นมาหน่อยเป็นปูนออกแบบรูปทรงเหมือนในเมืองหลวง การแต่งกายของประชาชนนั้นเทียบแล้วไม่ต่างจากคนที่เธอพบเจอให้ตรอกดำ ทุกอย่างไม่น่าสนใจเท่าตอนนี้เธอกำลังถูกลากรุนแรงให้เดินเข้าไปในตึกขนาดใหญ่ มันคือคฤหาสน์ที่สวยงาม สิรินดารู้สึกคุ้นตากับที่นี่มาก
สิรินดาตลึงกับภาพเบื้องหน้าอาคารใหญ่โตที่ตั้งตระหง่านอยู่นี่ไม่ผิดเพี้ยนกับในความฝันของเธอเลย รอบคฤหาสน์หญิงสาวหน้าตาคมคายเดินถือถาดอาหาร ผลไม้เข้าไปข้างในยิ่งทำให้เธอนึกถึงงูยักษ์ ขาเรียวหยุดชะงักไม่กล้าเข้าไป แต่ชายที่อยู่ด้านหลังกลับผลักเธอจนล้มลงตรงหน้าประตูบานหนา
“โอ๊ย ไอ้บ้าเอ๊ย” สิรินดาสบถเป็นภาษาไทย
รองเท้าหนังชั้นดีสีน้ำตาลอยู่ตรงหน้าเธอแค่ไม่กี่คืบ หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองคนที่มายืนโดยไม่คิดจะช่วยเหลือ ใบหน้าของเขาชวนให้หญิงสาวหลงใหล ความคมเข้มทั้งดวงตาและโครงหน้า คิ้วดกหนา จมูกโด่งรั้นบ่งบอกถึงความดื้อรั้น เรียวปากรูปกระจับหนาแดงระเรื่อจนน่าอิจฉา ดวงตาคู่สีดำสนิทก้มมองร่างบางที่กองอยู่กับพื้นก่อนจะหันไปพูดคุยกับชายฉกรรจ์ทั้งห้าคนด้วยภาษาอารบิค
“เธอเป็นใคร”
“หญิงคนนี้เป็นล่วงล้ำเข้ามาในเขตของเราก่อนได้รับอนุญาตครับท่านชีค”
“ที่ไหน”
“ชายแดนติดต่อกับเมืองหลวง...กระผมคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนของไอ้ฝรั่ง คงเข้ามาหาข้อมูลแล้วส่งให้นายของเธอ เธอพูดภาษาอังกฤษได้เป็นไฟเลยครับ”
“ฮึ...คิดจะล้วงความลับงั้นเหรอนังตัวดี”
“ท่านชีคจะให้ทำอย่างไรต่อครับ...ฆ่ามันเลยดีมั้ย” สายตาคู่คมปราดมองหญิงสาวอย่างชิงชัง เนื้อตัวที่สกปรกมอมแมมราวกับไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อมาเป็นเดือน ใบหน้าทีเปื้อนจนมองไม่ออกว่าเธอหน้าตาเป็นยังไงทำให้ชีคหนุ่มแสยะยิ้ม คนถูกมองไม่รู้ความนัยของสายตานั้นแต่ก็พอจะเดาได้ว่าไม่เป็นมิตรแน่นอน เธอจึงมองโต้ตอบไม่กลัวเกรง
“เอาไปขังไว้ก่อน...เรือนรับรองหลังคฤหาสน์ให้คนเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เราจะสอบสวนด้วยตัวเอง” ชีคหนุ่มหันมาสั่งอารีฟองครักษ์ประจำตัว
“ครับท่านชีค” สิรินดามองคนนั้นทีคนนี้ทีเธอต้องการคำอธิบาย อารีฟฉุดแขนให้เธอลุกขึ้น หญิงสาวดื้อดึงไม่ยอมให้เขาถูกเนื้อต้องตัว แรงสะบัดทำเอาคนมองหงุดหงิดเล็กน้อย
“เดี๋ยวก่อนอารีฟ” ชีคคามิสเฉยปลายคางของหญิงสาวขึ้น เขามองใบหน้าสวยที่เปรอะเปื้อนอย่างคนอาฆาตแค้น
“เธอเป็นคนร้าย ฉันต้องขังเธอเอาไว้ ฮึ”
“จะบ้าเหรอฉันไม่ใช่คนร้าย...ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดซักนิด” ชีคหนุ่มสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษให้หญิงสาวเข้าใจว่าสถานการณ์ของเธอไม่เอื้อต่อการที่จะดิ้นรนต่อสู้
“อย่าขัดขืนไปเลย ทหารของฉันก็ไม่มีวันปล่อยให้เธอออกไปง่ายๆ หรอก”
“เอาตัวไป” อารีฟรีบดึงแขนบางๆ หญิงสาวสะบัดเบี่ยงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปจ้องสายตาของคนข่มขู่ เขาดุดันจนหญิงสาวไม่แน่ใจว่าตัวเองนั้นเคยทำร้ายเขาหรือยังไง
อารีฟองครักษ์หนุ่มใช้ฝ่ามือบีบต้นแขนเล็กเบาๆ ขณะที่เดินอยู่ด้านข้าง เส้นทางที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้พุ่มเตี้ยๆ ให้หญิงสาวมองเห็นที่พักหลายหลังเรียงรายใกล้คฤหาสน์ พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้วบรรยากาศดูโรแมนติกเหมือนในหนังฝรั่งหญิงสาวอดชื่นชมคนออกแบบที่นี่ไม่ได้ ไม่กี่อึดใจสิรินดาก็มาหยุดหน้าเรือนรับรองหลังเล็กๆ อารีฟเปิดประตูแล้วผลักเธอเข้าไปในนั้นทันที
“คุณต้องอยู่ที่นี่”
“คุณพูดภาษาอังกฤษได้หรือคะ...ที่นี่ที่ไหน แล้วจับฉันมาทำไม”
“ผมตอบคุณไม่ได้เป็นคำสั่งของท่านชีค”
“ท่านชีค ไอ้หมอนั่นเนี่ยนะ”
“สุภาพกับท่านชีคด้วยครับ ราตรีสวัสดิ์” พูดจบประตูก็ปิดอย่างรวดเร็วจนคนที่กำลังจะเอ่ยเรียกต้องอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้น
“เฮ้ยจะรีบไปไหนของเค้านะ” หญิงสาวเพิ่งรู้ตัวว่าเชือกที่มัดมือเอาไว้ยังไม่ได้ปลดออกแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะอารีฟปิดประตูล็อคอย่างแน่นหนา หญิงสาวได้ถอนหายใจ
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ ไอ้บ้า ไอ้คนป่าเถื่อน”
“แล้วจะนอนยังไงเนี่ยไอ้บ้าเอ๊ย ชีคโรคจิต” เท้าเล็กเตะประตูอย่างหงุดหงิด
“โอ๊ย...เจ็บๆ ฮือ” สิรินดาต้องทรุดตัวลงนั่งทันทีเพราะประตูนั้นแข็งแรงเกินกว่าที่เท้าของเธอจะทำอะไรมันได้
