ดิลรักมาเฟียร้าย

77.0K · จบแล้ว
เฮียกังฟู
34
บท
419
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

"เธอเกลียดความเจ้าชู้... แต่หลงใหลในความอันตราย" เจณิสา ศัลยแพทย์สาวผู้เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ เธอทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังเมื่อถูกแฟนหนุ่มหักหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า และครั้งนี้เธอตั้งใจประชดแฟนหนุ่มด้วยการยั่ว เฟลิกซ์ มาเฟียที่เรียกว่าอันตรายสุดขั้วเป็นเครื่องมือประชดรักและแก้แค้นแฟนหนุ่มที่นอกใจเธอ แต่เรื่องราวกลับพลิกผัน เมื่อแผนยั่วยวนกลับกลายเป็นการต้องหนีเอาชีวิตรอด ทั้งสองอยู่ในเหตุการที่น่าตื่นเต้นระหว่างที่เฟลิกซ์ถูกศัตรูไล่ล่า และเธอก็พาเขาหนีไปรักษาบาดแผลที่คอนโด เจณิสากลายเป็นหมอผู้ช่วยชีวิตและให้ที่พักพิงสำหรับเฟลิกซ์ในการหลบซ่อนตัว! เสน่ห์ที่แสนเย้ายวนของเฟลิกซ์ทำให้กำแพงป้องกันของหมอสาวพังทลายลง ในใจของเจณิสาเต็มไปด้วยความสับสน และความรู้สึกผิดที่เริ่มกัดกินใจ เธอไม่น่าพลาดไปใช้เขาเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นเลย และตอนนี้เธอได้พาตัวเองเข้ามาอยู่ในเกมที่ไม่มีกติกาและเธอก็ไม่มีทางชนะ และเธอ...จะต้องจ่ายค่าเดิมพันนี้....ด้วยหัวใจของเธอเอง! “เจนนี่!!!...ผมขอเถอะ” เฟลิกซ์กระซิบเสียงแหบพร่า ริมฝีปากของเขาเคลียคลออยู่บนผิวเนื้ออ่อนนุ่ม “ไม่ค่ะ เฟลิกซ์” เจณิสารีบตอบเสียงสั่น “คุณต้องรู้จักหักห้ามใจ..รู้มั้ย การเคลื่อนไหวแบบนั้น จะทำให้แผลคุณอักเสบ!”

นิยายรักโรแมนติกความอยากเป็นเจ้าของนักฆ่ามาเฟียโรแมนติกฟินๆ

1 ไม่ถึงตาย

Jennisah Clinic

คลินิกเสริมความงามครบวงจร ตึกสองคูหาอยู่ใจกลางย่านธุรกิจ ด้วยดีไซน์สไตล์ Quiet Luxury ที่ดูหรูหราตั้งแต่แรกเห็น ผนังด้านหน้าเป็นกระจกสูงจรดเพดาน กรอบสี Rose Gold สะท้อนแสงไฟนีออนยามพลบค่ำ ภายในคืออาณาจักรแห่งความงามที่ตกแต่งด้วยโทนสีขาว ตัดกับสีทองอ่อนๆ

คลินิกเสริมความงามแห่งนี้บริหารงานโดยศัลยแพทย์สาวสวยผู้เก่งกาจตามชื่อของคลินิก ดังสโลแกนที่ว่า คิดจะร้อยไหมไว้ใจหมอเจน ทุกตารางนิ้วสื่อถึงความน่าเชื่อถือและความประณีต

“พี่เจนขา คืนนี้หนูขอกลับก่อนเวลานะคะ พอดีนัดแฟนทานข้าวไว้” แพทย์ผู้ช่วยรุ่นน้องยิ้มแป้นอย่างมีเลศนัย ก่อนจะรีบโบกมือลา

“ตายสบายเลยจ้า! วันนี้ไม่มีคนไข้แล้ว พี่ก็ว่าจะปิดคลินิกไปแอบเซอร์ไพรส์พี่ณัฐเค้าเหมือนกัน” คุณหมอสาวตอบกลับด้วยรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดี ขณะที่ดวงตาคู่สวยเหลือบมองนาฬิกาบนผนังสีขาวภายในห้องหัตถการ วันนี้เธอตั้งใจจะไปเซอร์ไพรส์แฟนหนุ่มที่เพิ่งเดินกลับจากยุโรป

บรรยากาศทั้งภายนอกและภายในคลินิกเงียบสงัดลงทันทีที่เสียงประตูกระจกใสบานใหญ่ถูกล็อกเป็นสัญญาณสิ้นสุดภารกิจของวันที่ยาวนาน เจณิสาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะยื่นมือไปหยิบตะขอเหล็กเพื่อเกี่ยวประตูบานหนาลงมาปิดตาย... แต่ทันใดนั้น!

จังหวะที่ประตูเหล็กบานใหญ่กำลังจะเลื่อนลงมาแตะพื้น ก็มีมือหนาของใครบางคนยื่นมาขวางเอาไว้อย่างจงใจ และสิ่งที่ตามมาก็คือน้ำเสียงเข้ม ๆ ที่เฉียบขาดราวคมมีด

“อย่าเพิ่งปิด! คุณหมอ!”

เจณิสารีบหันขวับไปทันที ภาพชายหนุ่มชาวต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ด้านหลังทำให้เธอตกใจจนแทบล้มทั้งยืน! หัวใจเต้นรัวเหมือนกลองศึก แต่สัญชาตญาณความเป็นแพทย์ก็ทำให้เธอต้องเพ่งมอง... เสื้อสูทสีดำสนิทของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีคล้ำ!

ความหวาดกลัวถูกแทนที่ด้วยความห่วงใยทางการแพทย์อย่างรวดเร็ว

“ว้าย! นี่คุณไปโดนอะไรมาคะ! เลือดคุณไหลเยอะมาก! ฉันว่า...คุณต้องไปโรงพยาบาลด่วนเลย ฉันจะเรียกรถพยาบาลให้คุณเดี๋ยวนี้!” เธอพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน และรีบล้วงกระเป๋าเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพร้อมจะกดเบอร์เรียกรถพยาบาล

“รีบเปิดประตูซะ...คุณหมอ แล้วรักษาแผลให้ผม!” เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ถูกข่มเอาไว้ภายใต้สำเนียงยุโรป แต่สิ่งที่ทำให้เจณิสายอมจำนนและไม่กล้าแม้แต่จะอ้าปากโต้แย้ง คือโลหะสีดำสนิทที่เขาใช้มันสัมผัสเบา ๆ ไปบนแผ่นหลังเนียนของเธอ

สิ้นคำสั่งเฉียบขาด ประตูเหล็กบานใหญ่ก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของผู้บุกรุกจะเดินเข้ามาในห้องรับรองที่มืดสลัว

“ปิดมันลงซะ!” น้ำเสียงแหบพร่าสั่งอย่างเด็ดขาด เจณิสากลืนน้ำลายลงคอ เธอรู้ดีว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว จึงจำต้องดึงประตูเหล็กให้ปิดลงอย่างแนบสนิท มือยังคงสั่นเทาขณะที่เดินนำเขาขึ้นไปยังห้องหัตถการบริเวณชั้นสอง

ใต้แสงไฟสว่างจ้า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายของชายแปลกหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดพราย เขาถอดเสื้อสูทสีดำที่หนักอึ้งออกอย่างไม่ไยดี เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในที่ถูกย้อมเป็นสีแดงเข้ม... เขาปลดกระดุมอย่างรวดเร็ว และสิ่งที่ทำให้เจณิสาถึงกับยืนตัวแข็ง ไม่ใช่บาดแผลฉกรรจ์ แต่เป็นปืนพกสีดำอีกหนึ่งกระบอกที่เหน็บเอาไว้ข้างเอว ส่วนมืออีกข้างก็ถือปืนอีกกระบอกที่ใช้ขู่เธอในตอนแรกไว้ ราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย!

“แผลคุณใหญ่ขนาดนี้! มันอันตรายนะคะ! คุณควรไปโรงพยาบาลที่พร้อมกว่านี้ แต่นี่มันแค่คลินิกเสริมความงาม!” คุณหมอสาวพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น

“ผมรู้!” เขาพูดเสียงต่ำ แล้วทรุดตัวลงนอนบนเตียงตรวจอย่างระมัดระวัง ปืนพกที่เหน็บเอวถูกดึงออกไปวางบนเตียง แต่ในมือยังคงเล็งปืนอีกกระบอกมาที่เธออย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็สามารถสร้างแรงกดดันได้คุณหมอสาวได้อย่างมหาศาล!

“ผมต้องการให้คุณ...ผ่ากระสุนออก! และทำแผลให้ผม! เดี๋ยวนี้!!!”

เจณิสาสูดหายใจลึก พยายามรวบรวมสติที่แตกกระเจิง

“แต่แผลคุณลึกมากนะคะ ถ้าคุณต้องการรักษา ฉันจะโทรเรียกรถพยาบาลให้! และแจ้งตำรวจให้คุณด้วยก็ได้” คุณหมอสาวต่อรองเพราะเป็นห่วงบาดแผลของเขา

“ก็บอกว่าไม่ต้องไง!!!” เขาตวาดเสียงดัง ดวงตาคมกริบเหลือบมองไปรอบห้องอย่างระแวดระวัง ราวกับกลัวว่าจะมีใครเห็น

“คุณไปเตรียมเครื่องมือซะ...ห้ามชักช้า!!!”

สิ้นคำขู่ เจณิสาก็รีบเอายาชาที่มีมาฉีดบริเวณบาดแผลให้กับเขา

“รีบผ่า! จะรออะไรอีก!”

“ใจเย็น ๆ สิคะ! ฉันขอเวลาอย่างน้อยห้านาที เพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์ก่อน ไม่อย่างนั้นคุณจะเจ็บมาก!”

“ผมไม่มีเวลามากขนาดนั้น!!!” เขาตอบกลับอย่างไม่ลดละ

เจณิสารีบเปิดตู้เครื่องมืออย่างรวดเร็ว เสียงกระทบกันของโลหะที่บรรจุในชุดผ่าตัดเล็ก ๆ ดังขึ้นเป็นจังหวะเร่งเร้า มือของเธอที่เคยสั่นเริ่มกลับมานิ่งสนิทเมื่อสัมผัสกับเครื่องมือที่คุ้นเคย

เธอไม่ได้สนใจชุดผ่าตัดทั่วไป แต่พุ่งตรงไปยังชุดสำหรับงานศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าของเธอโดยเฉพาะ คุณหมอสาวดึงด้ามมีดผ่าตัดออกมาอย่างรวดเร็ว ขนาดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการกรีดที่แม่นยำและควบคุมได้

คีมจับเส้นเลือดนับสิบอัน ถูกวางเรียงกันเพื่อเตรียมหนีบเส้นเลือดที่ฉีกขาดและห้ามเลือดอย่างเร่งด่วน คู่กับปากคีบที่ใช้จับเนื้อเยื่อที่บอบบาง

เครื่องมือสุดท้ายที่เจณิสาหยิบออกมาเป็นกรรไกรปลายโค้งขนาดเล็กสำหรับแยกเนื้อเยื่อรอบ ๆ วัตถุแปลกปลอมออกจากกันอย่างประณีต

ชุดเครื่องมือที่ดูละเอียดอ่อนสำหรับการเสริมจมูกและงานศัลยกรรมความงาม ถูกจัดเตรียมอย่างเร่งรีบเพื่อรับมือกับบาดแผลกระสุนปืนขนาดใหญ่

“เสร็จหรือยัง!!!”

“รอให้ยาชาออกฤทธิ์สักครู่ค่ะ” เจณิสารีบบอกเสียงสั่นและพยายามใจเย็นที่สุด ก่อนจะขยับเข้าใกล้ร่างที่บาดเจ็บของเขา เธอมุ่งมั่นที่จะใช้ทุกทักษะและความรู้ที่มีเพื่อต่อสู้กับนาทีแห่งความเป็นความตาย

“ไม่ต้อง!” เขาปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง

“เอาผ้าขนหนูตรงนั้นมาให้ผม” เขาชี้ปลายกระบอกปืนไปยังผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ สีขาว

เจณิสาหยิบผ้าขนหนูที่ใช้สำหรับเช็ดเครื่องมือยื่นให้เขาด้วยมือที่สั่นเทา ชายหนุ่มรับมันไป แล้วยัดเข้าปากกัดไว้จนแน่น...พร้อมรับมือกับความเจ็บปวดที่กำลังจะมาถึง

“คุณต้องเป็นคนบ้าไปแล้วแน่ ๆ!” เจณิสาพึมพำกับตัวเอง เธอไม่อาจยอมเสียเวลามากกว่านี้แล้ว จึงรีบเทน้ำยาฆ่าเชื้อสีเหลืองลงบนบาดแผลทันที เป็นสัญญาณเริ่มต้นของการรักษาที่ทารุณที่สุดเท่าที่เธอเคยทำมา!

“ตำแหน่งกระสุนน่าจะอยู่ไม่ลึกมาก แต่ที่นี่ไม่มีเครื่องเอ็กซ์เรย์มานำทาง...” เธอบอกเขา

“ยังไงก็ได้ รีบๆ ทำเถอะ” เมื่อทุกอย่างพร้อม เจณิสาก็ยกด้ามมีดผ่าตัดขึ้นมา มือที่ถือมีดนิ่งราวกับปฏิมากร เธอเล็งไปที่รอยกรีดเดิมที่หัวกระสุนทิ้งไว้ แล้วตัดสินใจกรีดขยายบาดแผลอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพื่อเปิดทางให้กว้างพอสำหรับการมองเห็นและการเข้าถึง

อ๊ากกกก!!!!

ทันทีที่บาดแผลเปิดออกเสียงคำรามของเขาก็ดังลอดผ่านผ้าขนหนูที่กัดเอาไว้แน่น เลือดสีแดงเข้มซึมทะลักออกมาทันที

คุณหมอสาวรีบใช้คีมจับเส้นเลือดปลายเล็ก ๆ หนีบเส้นเลือดขนาดเล็กที่ฉีกขาดอย่างรวดเร็วหลายจุด เสียงของคีมที่ล็อคเข้าที่ดังถี่ ๆ เป็นจังหวะของการทำงานแข่งกับเวลา

เขามีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้ว่าเธอจะฉีดยาชาเฉพาะที่ไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่นี่ไม่ใช่การผ่าตัดที่ปราณีตอย่างการเสริมจมูก แต่เป็นการขุดคุ้ยในเนื้อเยื่อที่บอบช้ำ

เจณิสาใช้คีบยึดจับเนื้อเยื่อที่บอบบางเพื่อถ่างแผลออกเล็กน้อย และใช้กรรไกรอีกอันเพื่อตัดแยกเนื้อเยื่อที่ตายแล้วและที่ช้ำอย่างระมัดระวัง เพื่อเปิดช่องว่าง เธอพยายามหลีกเลี่ยงการทำลายเนื้อเยื่อดีโดยรอบ

“เสร็จหรือยังหมอ!!!!” เขาถามเสียงอู้อี้ด้วยความเจ็บปวด ขณะที่ปากยังคาบผ้าขนหนูเอาไว้

“ใจเย็น ๆ ฉันกำลังหาหัวกระสุนอยู่” เหงื่อเริ่มไหลซึมลงมาตามขมับของเจณิสา เธอเงยหน้าขึ้นหายใจลึก ๆ จากนั้นกดปลายปากคีบลงไปตามวิถีกระสุนอย่างช้า ๆ ความรู้สึกแข็งและสากใต้ปลายเครื่องมือส่งสัญญาณเตือน

“เจอแล้ว... มันฝังอยู่ในมัดกล้ามเนื้อของคุณ” เจณิสาทิ้งเครื่องมือทั้งหมดลง แล้วคว้าคีมจับเส้นเลือดที่แข็งแรงที่สุดออกมา ก่อนจะสอดปลายคีมลงไปตามบาดแผลอย่างใจเย็น จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงวัตถุโลหะที่แข็งทื่อ เจณิสาไม่รอช้ารีบออกแรงบีบแล้วดึงมันออกมา

“ออกแล้ว ๆ ...” เขาดึงผ้าขนออกจากปาก แล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ

หัวกระสุนสีเทาดำขนาดเล็กเปื้อนเลือดถูกวางลงบนถาดโลหะ เจณิสามองมันครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็หันกลับไปสนใจบาดแผลที่ยังต้องทำความสะอาดและซ่อมแซมต่อทันที การห้ามเลือดคือสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้

คุณหมอสาวรีบเอาไหมละลายมาเย็บบาดแผลให้กับเขา แหละนี่คือทักษะของศัลยแพทย์ที่ไม่ได้ใช้แค่เพื่อความงาม แต่เพื่อกอบกู้ชีวิตให้กับชายแปลกหน้าคนนี้