“...นะ”-1
สมองส่วนเหตุผลของเนตราร้องให้หนี สถานการณ์ระหว่างเธอกับชวินทร์แปลกเกินไปแล้ว ไม่มีเหตุผลเลยที่เธอกับเขาจะเป็นแฟนกันได้
ขณะสมองส่วนจินตนาการกระซิบฟุ้งฝัน ชวินทร์ชอบเธอ เขาเป็นของเธอ คนอย่างชวินทร์ไม่มาเสียเวลาโกหกเธอหรอก สีหน้าเขาบ่งบอกทุกอย่างเหมือนวันนั้นที่ตื่นมาเจอเธออยู่เตียงเดียวกัน
เนตราควรเป็นสุขในชีวิตที่เหมือนฝัน กับคนที่พึงใจมานานหลายปี ชวินทร์ทั้งรูปหล่อ ร่ำรวย ห่วงใย เอาใจเธอ แต่สมองส่วนเหตุผลยังค้านไม่เลิก
เธอล้ากับความคิดปัจจุบันของตัวเอง จนนั่งลงริมหาด รับลมทะเล ปล่อยใจคิดถึงอดีต ย้อนวันวานที่เคยมีร่วมกัน กระทั่งเขาตามมาพบ
ชวินทร์โกรธ แต่เธอรู้สึกได้ว่าไม่ใช่การโกรธแบบเช้าวันนั้น เขาพาเดินกลับบ้าน บอกให้ไปอาบน้ำ เตรียมตัวทานอาหารเย็น ระหว่างเลือกเสื้อผ้าใส่ ในสมองแวบภาพเหตุการณ์แบบนี้
“ไปอาบน้ำสิ เดี๋ยวพี่แกะข้าวเย็นไว้รอให้”
ใครบางคนเคยพูดกับเธอ เสียงทุ้ม อบอุ่นใจดี แต่ไม่ใช่ชวินทร์ ศีรษะปวดหนึบๆ หลังเนตราพิงประตูตู้เสื้อผ้าไม่ให้ล้ม สูดลมหายใจลึก
เตือนตัวเองให้ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งเร่งร้อนเอากับสมองนัก ค่อยเป็นค่อยไป หมอยังบอกเองเลยว่าสักพักความทรงจำทั้งหมดจะกลับมา
“ดาว”
ชวินทร์เคาะประตูหน้าห้อง ด้วยเห็นเธอหายไปนาน
“เป็นหรือเปล่า ข้าวเย็นเสร็จแล้วนะ”
“ได้ เดี๋ยวฉันออกไป นายไปรอข้างล่างเถอะ”
เธอนิ่งไปสักพักเพื่อเรียบเรียงสติ แล้วเลือกสวมเสื้อแขนกุดลายดอกไม้ กางเกงห้าส่วนสีเทา ปล่อยผมยาวเคลียบ่า
ชวินทร์ยังอยู่ในชุดเดิม บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยกุ้งหอยปูปลา ข้างกันเป็นถ้วยน้ำจิ้มสีสันจัดจ้าน รสชาติน่าจะแซ่บ
“ถือเป็นการฉลองที่ดาวหายป่วยไง”
โต๊ะใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเพียงเขากับเธอนั่งกันสองคน
“กินเยอะๆ นะ ดาวผอมไป”
ชวินทร์หยิบก้ามปูที่กะเทาะเปลือกบางส่วนมาให้ เขามองดูเธอจัดการอาหารไป พลางจิบไวน์
“ไว้อาการดีขึ้นกว่านี้ค่อยดื่มแอลกอฮอล์นะ” เขาเย้า
“ฉันไม่ได้อยากดื่มเหล้าสักหน่อย”
เนตราแค่มองเฉยๆ เธอเป็นประเภทคออ่อน ชวินทร์ก็รู้ ห้องกลับมาเงียบ มีเพียงเสียงช้อนกระทบจาน กลายเป็นว่าอาหารมื้อนี้เธอทานลำพัง ขณะเขาดื่มไวน์
“บ้านนี้เป็นบ้านพักตากอากาศของครอบครัวนายเหรอ”
เธอชวนคุย ทำลายบรรยากาศแปลกๆ ที่รู้สึกเหมือนเป็นหนูกำลังแอบกินชีสแล้วมีแมวตัวใหญ่จ้องตะปบ
“ฉันเห็นรูปถ่าย นั่นนายกับพ่อแม่หรือเปล่า”
เนตราพยักหน้าไปทางในห้องนั่งเล่น บนผนังมีรูปภาพล้อมกรอบหรูแขวนอยู่หลายภาพ
“เรียกกันซะห่างเหิน อยากให้ดาวเรียกชื่อผมว่าโน้ตมากกว่า”
เขากลับเฉคุยเรื่องอื่น
“ฉันไม่ชิน สมัยมหาวิทยาลัยก็เรียกอย่างนี้นี่”
“ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เราไม่ใช่แค่เพื่อน”
เพราะแสงดาวไล้ท์อ่อนละมุนหรือเปล่าก็ไม่รู้ คืนนี้ชวินทร์หล่อมาก เนตรารู้สึกตาพร่า โฟกัสอะไรยาก ราวกับเป็นคนเมาทั้งที่ไม่ได้ดื่มเหล้าสักหยด
“เรียกชื่อผมใหม่สิ...ดาว”
เขาวางแก้วไวน์ลง มือทั้งสองประสานใต้คาง ตาจ้องเธอฉ่ำเยิ้มระยิบยับ
“นาย...เมาแล้วมั้ง”
“อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ ผมขอแค่ให้เรียกชื่อ”
เนตราไม่คิดเลยว่าการเรียกชื่อใครสักคนจะทำให้อายได้ถึงขนาดนี้
“...นะ” เขาเร่งเร้า ค้อมตัวเข้าใกล้
“โน้ต”
ถ้าไม่เรียกสงสัยเขาจะพุ่งจากอีกฟากโต๊ะมาหาเธอแน่ ชวินทร์ยิ้มพึงใจ คลายมือออก หันไปหยิบแก้วไวน์มาจิบต่อ
“ต่อไปให้เรียกอย่างนี้”
“นายเอ๊ย! โน้ตที่เป็นแฟนประเภทช่างบังคับสินะ”
เธออิ่มของคาวแล้ว คนของเขาที่มาจากไหนไม่รู้ยกอาหารไป และแทนที่ด้วยจานผลไม้ตัดเป็นชิ้นพอคำ
“กล่าวหากันจัง เราเป็นแฟนที่เคารพการตัดสินใจของกันและกันอย่างเท่าเทียม”
“ไม่น่าเป็นไปได้”
“งั้นลองพิสูจน์ไหม” ชวินทร์ชวนเสียงกรุ้มกริ่ม
“ไม่ต้องหรอก ถ้าฉันคบกับโน้ต แสดงว่ายอมรับนิสัยทุกอย่างได้”
เนตราจิ้มแตงโมเข้าปาก
“การเข้าใจอะไรง่ายเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของดาวในสมัยมหาวิทยาลัยที่ผมชอบ”
“พูดเหมือนตอนนี้โน้ตไม่ชอบฉัน”
“ดาวคนในปัจจุบันนี่อ่านยากขึ้น จนบางครั้งผมก็ไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่”
ชวินทร์เล่าเหมือนเพ้อ มือยกแก้วคลึงเล่น ไวน์ในแก้วเคลื่อนเป็นระลอกคลื่นล้อแสงไฟ
“เราอยู่ในช่วงมีปัญหากันหรือเปล่า”
รสหวานของแตงโมดูทว่าจะเจือความขมเสียแล้ว
“เป็นสาเหตุที่ฉันล้มหัวแตกใช่ไหม”
เนตราซุ่มซ่ามอยู่หรอกนะ แต่ไม่คิดว่าขนาดจะหกล้มในบ้านตัวเอง”
“ไม่ใช่เลย ว่าคิดอะไรไร้สาระนะดาว เดี๋ยวก็ปวดหัวหรอก” เขาเอ็ดแกล้มหัวเราะ
“บ้านหลังนี้เป็นบ้านพักตากอากาศของครอบครัวผม”
“หือ” เธอทำหน้างง
“ก็เมื่อกี้ดาวถามไม่ใช่เหรอ”
ชวินทร์เปลี่ยนเรื่องอีกแล้ว
“รูปในห้องนั่งเล่นนั่นพ่อแม่นายเหรอ”
ดีเหมือนกัน เธอก็ไม่อยากคิดอะไรมากตอนนี้ กลัวยิ่งปวดหัว สู้ค่อยๆ เก็บข้อมูลของตัวเองในปัจจุบันดีกว่า
“ใช่ เห็นรูปผมตอนเด็กๆ หรือยัง น่ารักนะ”
“เห็นแล้ว” เธอย่นจมูกหมั่นไส้
“ตอนเด็กๆ ครอบครัวผมมาพักร้อนที่นี่ทุกปี จนผมขึ้น
ม.ต้นนั่นแหละที่เริ่มหายไป”
“ทำไมล่ะ”
เนตราไม่เคยรู้เรื่องเขาลึกซึ้งไปกว่าการเป็นเพื่อนในมหาวิทยาลัย เป็นครั้งแรกที่ชวินทร์ได้ยินเรื่องครอบครัวจากปากเจ้าตัวเอง
“ทุกคนเริ่มโตขึ้น การมาทะเลกับครอบครัวเริ่มไม่สนุกอีกต่อไป ...ก็แค่นั้นแหละ”
แล้วเขาก็กระดกไวน์ลงคอดังเอื้อก
“ครอบครัวดาวล่ะ ชอบไปเที่ยวที่ไหน”
“พ่อกับแม่ชอบพาฉันไปเขาดินบ้าง ไปสวนสยามบ้าง เรามีเงินไม่มากนัก แต่ฉันสนุกสุดๆ ไปเลย ตอนนั้นยังเด็กอ่ะนะ ไม่ได้คิดอะไรมาก”
ความทรงจำย้อนไปไกล สู่ความอบอุ่นของบุพการี ขอบตาเริ่มร้อนผะผ่าว
“พอมัธยมพ่อก็พาขับรถไปเมืองกาญจน์บ้าง ไปบางแสนบ้าง เช่าบังกะโลอยู่คืนสองคืน”
เนตรายังจำได้ถึงมือใหญ่สากๆ จากการทำงานหนักของพ่อ และรอยยิ้มละมุนละไมของแม่
“พ่อชอบขับรถ ทั้งไปทำงานแล้วก็พาฉันกับแม่ไปเที่ยว บางวันก็ขับไปสองคนกับแม่ ท่านทั้งสองอยู่ด้วยกันเสมอ”
เสียงคลื่นซัดสาดลอยแว่วกระทบหู ลมรำเพยนำพากลิ่นลีลาวดีมาต้องจมูก
“จนฉันคิดว่าอยากใช้ชีวิตคู่แบบนั้น”
“แบบที่แม้แต่ตายก็ตายด้วยกันเหรอ”
ชวินทร์จำข่าวการสูญเสียของเธอได้ เขาไม่ตั้งใจจะย้ำ แต่เพราะฤทธิ์น้ำเมาทำให้เผลอพูดสิ่งในใจ
“พูดตายๆ อยู่ได้ ไม่เป็นมงคลเลยเนอะ แล้วโน้ตละอยากใช้ชีวิตคู่แบบไหน แบบพ่อแม่ตัวเองหรือเปล่า”
เนตรากระพือขนตา ไล่น้ำที่กำลังจะไหล ผ่านไปกี่ปีร่องรอยความสูญเสียยังเรียกความเศร้าได้เสมอมา
“พ่อแม่ผมถูกคลุมถุงชน”
ชวินทร์เล่าเสียงเรียบ อีกมือหนึ่งรินไวน์จากขวดลงแก้ว
“แต่ท่านก็อยู่ด้วยกันดี เป็นแบบเพื่อนมากกว่า พ่อมีบ้านเล็กบ้านน้อยบ้าง แต่กฎเหล็กเลยคือห้ามมีลูก”
เขาเล่าโดยไม่ปิดบัง
“แม่โน้ตนี่ใจกว้างดี เป็นฉันทนไม่ได้แน่ ถ้ามีคนอื่นก็หย่าเหอะ ให้จบๆ เรื่องไป อย่ามาคาราคาซัง”
คนฟังขำอารมณ์เดือดเกินคาดของเธอ
“ดาวขี้หึงนี่”
“คนรักกันไม่ยอมหรอก”
พูดแล้วแทบกัดลิ้นตัวเอง
“ฉันไม่ได้หมายถึงแม่โน้ต ไม่ได้รักพ่อโน้ตนะ”
เธอออกตัว หลังจากคิดได้ว่าพูดอะไรพลาดไป
“ผมเข้าใจ ทั้งสองคนแฮปปี้ดี ดาวไม่ต้องห่วงหรอก”
ชวินทร์ชินเสียแล้วกับบรรยากาศเย็นชาบางครั้งระหว่างพ่อกับแม่ จนบางทีคิดว่าความรักอาจจะไม่เคยเกิดขึ้นกับทั้งสองเลย คนของเขามาเก็บโต๊ะ แต่ชวินทร์เอามือปิดปากแก้ว ส่ายหน้าให้รู้ว่าไม่ต้องเก็บไวน์เขา
“ฟังเพลงกันหน่อยไหม”
“ไม่เอาอ่ะ เพลงสมัยนี้ฉันไม่คุ้น”
“พูดเหมือนคนแก่ แค่ผ่านไปหกปีเอง”
ชวินทร์ต่อไอโฟนกับลำโพงบนโต๊ะไม้สีเข้มติดผนัง เขาเปิดเพลงเบริ์ด ธงชัย แมคอินไตย
“โน้ตยังเก็บเอ็มพีสามเพลงนี้ไว้อีกเหรอ”
“เดี๋ยวนี้เขาฟังเพลงผ่านระบบสตรีมมิ่งกันแล้วเธอ”
เขาล้อ เพลงพี่เบริ์ดจังหวะสนุก จนอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าตามทำนอง ส่วนชวินทร์นั้น ลุกขึ้นเต้นตามแบบเก้ๆ กังๆ ท่าผิดบ้างถูกบ้างจนเธอหลุดขำ เขาเมามากจริงๆ นั่นแหละ
จากนั้นเพลงเปลี่ยนเป็นเพลงเศร้าจากนักร้องรุ่นเธอยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ทำให้ย้อนหวนไปสู่วันเวลาในอดีต
“เพลงนี้โน้ตเคยเล่นเปิดหมวกใต้ตึกคณะนี่”
เธอสะดุดเมื่อเสียงกีตาร์อะคูสติคเพลงต่อมาดังขึ้น
“ที่เราระดมทุนไปออกค่ายต่างจังหวัดไง จำได้ไหม”
ไม่พูดเปล่า ชวินทร์ยังทำท่าดีดกีต้าร์ประกอบ การเข้าค่ายตอนอยู่ปีสอง เขาเป็นพี่สันทนาการรูปหล่อ ขณะเธอช่วยหั่นผักอยู่ในครัว
“แล้วจำไอ้กอล์ฟได้ไหม ที่มันไปกินเหล้าดองยากับคนในหมู่บ้าน เมาจนเดินตกบ่อปลา”
เป็นเรื่องขบขันของคนทั้งค่าย ขณะเดียวกันก็โดนอาจารย์สวดยับเรื่องให้ระวังความประพฤติ
“คิดถึงสมัยนั้นเนอะ”
“ฮื่อ”
วันเวลาที่เขากับเธอเป็นเพียงเพื่อน วันเวลาที่เธอแอบรักเขาข้างเดียว แค่อยู่ในห้องเรียนเดียวกัน เขาเรียกชื่อเธอผ่านๆ เนตราก็ปลื้มใจแทบแย่แล้ว
