บทที่ 2
“เงินหนึ่งล้าน เราไม่มีมากขนาดนั้นหรอกตาล”
สีหน้าเศร้าหมองของเพื่อนสาวทำให้จอมขวัญนึกสงสาร... ตุลยาเป็นคนหัวอ่อน ไม่เข้มแข็ง ทั้งที่เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วคนเป็นเพื่อนอดคิดไม่ได้ว่าปัญหาอยู่ที่คนอื่นโดยแท้
“แม่ตาลเอาเงินไปให้พี่สาว เพราะฉะนั้นพี่สาวของตาลก็น่าจะช่วยกันหาเงินมาคืนแม่สิ ไม่ใช่ช่วยกันเสวยสุขอยู่ในกรุงเทพฯ ทิ้งให้ตาลต้องมาเผชิญชะตากรรมแบบนี้ หลายครั้งแล้วนะที่ตาลต้องมาลำบากแทนพี่เขาน่ะ”
ไหล่บางห่อลู่ลงตามความทดท้อ ใจหนึ่งอยากบอกแม่ไปตามอย่างจอมขวัญว่า หากอีกใจหล่อนก็รู้ดีถึงปฏิกิริยาตอบสนองที่จะตามมาจากอีกฝ่าย
ลูกชัง... ทำอย่างไรก็ไม่มีวันถูกอย่างลูกรักไปได้หรอก...
แต่ถึงจะเป็นลูกชังแค่ไหน ถึงตันหยงจะเพียรใช้ถ้อยคำเจ็บปวดทำร้าย แต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นแม่... แม่ที่ให้กำเนิดชีวิตหล่อนมา หล่อนจะหันหลังไม่ไยดีไม่แยแสได้อย่างไร...
อกตัญญู... ใช่... คำนี้แหละที่ยังคงค้างคาเสียดแน่นอยู่ในหัวใจ
“ตาลจะทำยังไง?” น้ำเสียงเพื่อนยังคงห่วง “จะตัดสินใจแบบไหนก็ค่อยๆ คิด”
“เราก็ไม่รู้เหมือนกันจอม... ตอนนี้เราตื้อไปหมด ในหัวคิดอะไรไม่ออกเลย”
หล่อนตอบตามตรง... ในสมองนั้นยังคงอื้ออึง จนแม้ยามเดินกลับออกมาจากบ้านของเพื่อนคนสนิทแล้ว หล่อนก็ยังคิดไม่ตกกับตัวเอง มองไม่เห็นแม้แต่หนทางที่ปลายอุโมงค์
เสียงเอะอะและคนที่ออมุงกันอยู่หน้าบ้านนั้นไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ตุลยาก้าวลงจากรถประจำทาง จ่ายเงินแล้วรีบสาวเท้าข้ามถนนตรงมาดู มีรถกู้ภัยจอดอยู่หนึ่งคัน และเจ้าหน้าที่เหมือนกำลังขนเปลลงเพื่อลำเลียงอะไรสักอย่างออกมาจากด้านใน
“หนูตาล... หนูตาลกลับมาแล้วเหรอ?”
“ป้าแม้น เกิดอะไรขึ้นคะ?” หล่อนตะโกนถามท่ามกลางความสับสน คนวิ่งเข้าออกในบ้านดูชุลมุน จนหญิงสาวแทบไม่มีที่ให้เบียดแทรกตัว
“ลูกสาวคุณตันหยงหรือเปล่าครับ?” กู้ภัยร่างใหญ่คนที่หล่อนเห็นที่ร้านกาแฟปากซอยอยู่บ่อยเดินเข้ามาถาม สีหน้าเคร่งเครียด ยามก้มลงมองตุลยาที่ยังยืนไม่รู้เรื่องราว
“ใช่ค่ะ เกิดอะไรขึ้นกับแม่ของฉันคะ?”
“คุณตันหยงกินยาฆ่าตัวตาย กินพาราไปเกือบสามสิบเม็ด คุณคนข้างบ้านเขามาพบพอดีก็เลยโทรศัพท์แจ้งให้พวกผมมารับพาไปล้างท้องที่โรงพยาบาล”
“แม่!!!” หญิงสาวกรีดร้องเสียงดังเสียก่อนที่คำบอกนั้นจะสิ้นสุด ร่างบาง โผถลาเข้าไปด้านในตรงที่คนกำลังช่วยอุ้มร่างของมารดาขึ้นใส่เปลสนาม คว้าแขนของแม่ไว้แน่น น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม ลืมเสียสิ้นถึงเรื่องราวที่เคยทุ่มทะเลาะเมื่อไม่กี่ค่ำคืนที่ผ่านมา... ลืมวาจาเชือดเฉือน คำพูดที่บ่งบอกว่าไร้เยื่อใย ไม่เห็นคุณค่าในตัวลูกสาว หล่อนลืมไปหมดในชั่วพริบตานั้นจริงๆ
“กินเข้าไปสามสิบเม็ดถือว่าเยอะ แต่เราก็ล้างท้องออกมาได้มาก ยายังไม่ทันดูดซึม จึงเป็นโชคดีของคนไข้ไป ใส่สายระบายทางจมูกไว้ก่อนนะครับ ดูอาการ ตามผลเลือดอีกสักสองสามวัน ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติแล้วค่อยกลับบ้าน ระวังอย่าให้คนไข้มีความเครียดอีก”
ตุลยาพยักหน้ารับฟังคำบอกของบุรุษในเสื้อกาวน์ด้วยความโล่งใจ หากก็เหมือนรู้สึกยกภูเขาออกไปได้แค่เพียงเสี้ยวหนึ่ง อีกที่เหลือกว่าครึ่งนั้นยังหนักอยู่ในอก
ร่างบางก้าวเข้าไปนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ในหอรวมที่เต็มไปด้วยคนไข้ระเกะระกะหลากหลาย หญิงสาวพยายามจะลากกระเป๋าตัวเองเข้ามาไม่ให้กีดขวางทางเดินของคนอื่น
“แม่ขา... แม่ไม่เป็นอะไรแล้วนะคะ” หล่อนกุมมือผอมของมารดาเอาไว้แน่น ลูบเบาๆ แล้ววางหน้าผากของตัวเองลงไปจรด น้ำอุ่นใส รื้นขึ้นมาที่ขอบตา
หล่อนรู้... แม่รังเกียจหล่อนเพราะหล่อนเป็นลูกที่เกิดจากคนที่แม่ชิงชัง มันเป็นความผิดพลาดของแม่ที่เผลอได้เสียกับพ่อของตุลยาจนตั้งท้องขึ้นมา และทำให้สามีเก่าที่เพิ่งเลิกรานั้นตัดใจออกห่างโดยไม่มีทางหวนกลับคืนมาอีก
ใช่... แม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธ เกลียด พ่อของหล่อน และแม่ก็มีสิทธิที่จะชิงชังตุลยา ลูกสาวที่เกิดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แม้พยายามจะเอาออกแต่ก็ไม่สำเร็จ
หญิงสาวถอนหายใจ เจ็บปวดขื่นขมเท่าไร หล่อนก็ได้แต่เพียงอดทน
เสียงโทรศัพท์ข้างตัวดังขึ้นระหว่างที่หล่อนยังคงนั่งเฝ้าแม่อยู่ที่เดิม ตันหยงหลับอยู่เพราะความอ่อนเพลีย ตุลยาวางมือจากกระเป๋าผ้าถักที่ทำไว้สำหรับขายแล้วกดรับเมื่อเห็นว่าเป็นเลขหมายของพี่สาวคนโต
“นังตาล... แกปล่อยให้แม่กินยาฆ่าตัวตายได้ยังไง” เสียงตติรส ‘แหว’ ด้วยความกราดเกรี้ยว ปลายสายฟังดูสั่นเครือคงเพราะอีกฝ่ายกำลังร้องไห้
“แกทำอะไรแม่ หา? ใช้ให้ดูแลแม่ ทำไมแกถึงปล่อยให้แม่เป็นอย่างนี้”
“พี่ตอง...”
“แม่โทรมาเล่าเรื่องแกให้ฉันฟังแล้ว... ทำไม... เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ แกทำให้แม่ไม่ได้หรือไง หรือแกจะปล่อยให้ฉันกับยายตาต้องทิ้งอนาคตกลับไปเป็นเมียเก็บคนอื่น แล้วไงล่ะ แม่เครียดจนกินยาฆ่าตัวตาย แกจะฆ่าแม่เหรอ นังตาล”
มือเรียวบางสั่นระริกกับความโกรธเกรี้ยวของพี่สาว... เจ็บปวดในใจเหมือนมีอะไรมาบีบรัด
“พี่ตอง... ทำไมเราไม่ช่วยกันหาเงิน”
“หายังไงล่ะ ลำพังเท่านี้ฉันก็เอาตัวไม่รอดแล้ว แกจะให้ฉันลำบากไปถึงไหน อดมื้อกินมื้อจนแทบจะต้องเอาของเก่าออกมาขาย” แม้หล่อนจะทราบว่า ‘ของเก่า’ นั้นได้ราคางามพอสำหรับคนอย่างตุลยาอยู่ไปได้ร่วมเดือนเลยทีเดียว “นังโง่ แกยอมเป็นเมียคุณธฤตเขาก็จบ แม่ก็สบาย ฉันกับตาก็ไม่ต้องเสียอนาคต ทุกอย่างมันอยู่ที่แก... เขาก็คงพิศวาสในตัวแกไม่นานเท่าไรนักหรอก รีบตักตวงให้ได้เยอะๆ ก่อนที่เขาจะเบื่อก็แล้วกัน”
“พี่ตอง...”
เสียงหล่อนขาดหายไปพร้อมกับสัญญาณจากปลายสายทางตติรส... ร่างบางทรุดนั่งลงบนเก้าอี้หัวล้านสำหรับญาติผู้ป่วย ก้มศีรษะลงวางพิงราวเตียงคิดอะไรไม่ออก
เสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาอีกครั้ง... ตญาวี... หล่อนเผลอจ้องมองอยู่นานกว่าจะตัดใจกดรับขึ้นมาเสียได้ เสียงตญาวีนุ่มนวล ไม่กระโชกโฮกฮากรุนแรงเหมือนพี่สาวคนโต
“แม่เป็นยังไงบ้างจ๊ะตาล”
“พี่ตา... แม่พ้นขีดอันตรายแล้วค่ะ หมอบอกว่าล้างท้องทันเลยไม่เป็นอะไรมาก” หล่อนตอบ... ใจชื้นขึ้นมาเมื่อท่าทีพี่สาวคนรองดูอ่อนโยนกว่าคนอื่น
“ดีแล้วจ้ะตาล ฝากดูแลแม่หน่อยนะ ช่วงนี้พี่ต้องอ่านหนังสือสอบ ไม่มีเวลาได้กลับบ้านไปเยี่ยมเลย พูดแล้วก็เป็นห่วง ตกใจไม่หายตอนพี่ตองโทรศัพท์มาบอกว่าแม่กินยาฆ่าตัวตาย”
“ค่ะ” น้ำเสียงหล่อนยังคงเจือด้วยความรู้สึกผิด แม้บอกตัวเอง... ปลอบใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของหล่อนทั้งหมดมากเพียงใด หากคำพูดของพี่สาว คนอื่นรายรอบตัว ยังคงสะกิดให้รู้สึกแย่ลงได้ตลอดเวลา
“พี่ก็เข้าใจนะตาลว่าจำนวนเงินมันเยอะ จะหามาใช้เขาก็ลำบาก พี่ก็ยังติดต้องเรียนต่อปริญญาโทอยู่ ช่วยอะไรก็ได้ไม่เต็มที่”
“ตาลเข้าใจ”
“แม่เขาเครียดก็โทรมาคุยกับพี่บ่อยๆ เรื่องเงินก้อนนี้ พี่ก็พยายามจะช่วยมาตลอด แต่เห็นจะหมดปัญญา แม่เขาก็หมดหนทาง เลยเสนอไปว่าให้ตาลไปอยู่กับเขา ขัดดอกไปพลางๆ ก่อน” ตญาวีพูดด้วยความนิ่มนวล ถอนหายใจเบาบางมาตามสาย
“พี่ตาคะ... ตาลไม่อยากไป”
“ทำไมล่ะจ๊ะตาล... คุณธฤตนี่ฟังดูเขาก็ร่ำรวย ตาล เราเองก็ยังไม่มีใครไม่ใช่หรือ อยู่มาได้จนอายุจะสามสิบแล้วยังไม่มีใครเข้ามาในชีวิต... จะเสียหายอะไรล่ะ ถึงอยู่อย่างนี้ต่อไป สุดท้ายเราก็ต้องขึ้นคาน เป็นสาวแก่ร้างค้างปี... ลองให้โอกาสตัวเองได้มีผัวกับเขาสักครั้งเถอะ ก่อนที่จะต้องตายไปอย่างเหี่ยวแห้งไม่ได้รู้จักกับรสชาติของเซ็กซ์เลย”
ตญาวีวางสายไปแล้ว พร้อมกับสายฝนที่เพิ่งจะโปรยผ่านหัวใจของคนเป็นน้องก็พลอยแห้งแล้งผากไปกับคำพูดประโยคท้ายๆ ของพี่สาว.... ความหวังที่จะมีใครสักคนอยู่ข้างเดียวกันพังสลาย ใบหน้างามก้มต่ำลงมองพื้น ปล่อยให้หยดน้ำตาไหลลงมาเงียบๆ ยามที่คิดว่าไม่มีใครเห็น
“ผมมาเยี่ยมคุณตันหยง”
เสียงห้าวห้วนนั้นไม่ได้พูดอยู่กับหล่อน... หากพูดกับพยาบาลในชุดขาวที่เข้ามาตรวจสัญญาณชีพของผู้ป่วยเตียงถัดไป ตุลยาปาดน้ำตา เพราะไม่คุ้นชินกับเสียงจึงเงยหน้าขึ้นมองตาม
“คุณทิม”
มารดาของหล่อนตื่นมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้ สีหน้าที่ซูบซีดกลับเป็นตระหนกตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่าย รีบกระวีกระวาดจะลุกนั่ง สุดท้ายก็งอตัวเพราะต่อสู้กับความเจ็บในท้องไม่ไหว
“คุณแม่... อย่าเพิ่งลุกค่ะ” ตุลยารีบเข้าไปขวาง ประคองร่างผอมให้นอนลงกับหมอน ห่มผ้าให้อย่างอ่อนโยน “หมอบอกว่าให้นอนเฉยๆ ก่อน เดี๋ยวจะล้มไป”
“คุณทิม”
เจ้าของชื่อวางกระเช้าผลไม้ลงบนโต๊ะข้างเตียง เข้ามายืนอยู่ด้านข้าง พิศมองหญิงสาวตัวเล็กบางที่จับต้องห่มผ้าจัดหมอนให้มารดาอย่างคล่องแคล่วว่องไว
“ยายตาล มัวแต่มายุ่งกับแม่อยู่ สวัสดีคุณทิมเขาเสียสิ”
หล่อนเพิ่งได้สติหันมามอง ดวงตาสีนิลงามขลับจับจ้องเสี้ยวหน้าคม ของ ‘คุณทิม’ ที่แม่ของหล่อนเรียก เขาเป็นผู้ชายร่างสูง ไหล่กว้างดูกำยำ ผิวสีไม่เข้ม ไม่ขาวจัดเหมือนอย่างชาวกรุง เครื่องหน้าดูครบครันไปด้วยความเหมาะเจาะอย่างบุรุษเพศ ผมสีดำสนิทไม่เป็นทรงเท่าใดนัก ท่าทางเขาเหมือนคนทำงานกลางแจ้ง ไม่ดูสะอาดสำอางเหมือนหนุ่มออฟฟิศคนอื่น
“สวัสดีค่ะ... คุณธฤต”
มือเรียวบางพนมไหว้โดยอัตโนมัติ ท่าทางเคร่งขรึม ไม่มีรอยยิ้มนั้นทำให้หล่อนรู้สึกอึดอัด มิหนำซ้ำยังกระดากใจ ยามเมื่อต้องคิดย้อนกลับไปถึงสิ่งที่มารดาบอกตัวเอง
“ตุลยาค่ะ ที่หยงเคยบอกให้คุณทิมฟังไงคะ ลูกสาวคนเล็กของหยง เรียนคหกรรม ทำอาหารเก่งเชียว ดูแลแม่ ดูแลพี่ตัวเองก็ไม่เคยขาด”
ตุลยากลืนน้ำลาย... น้ำเสียงอ่อนโยนของแม่ หล่อนไม่คุ้นชิน
หากดูท่าทางอีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจเท่าใดนัก นอกจากสายตาคมกริบที่ปรายมองหล่อนในแวบแรกที่ได้เห็นแล้ว ก็ไม่มีชั่ววินาทีใดที่สายตาคู่นั้นจะหันกลับมาเป็นครั้งที่สองอีก เขาดูเฉยเมย ไม่ยินดียินร้ายจนหล่อนเองเดาใจไม่ออก
“ได้ข่าวว่าคุณหยงคิดสั้นถึงกับกินยาฆ่าตัวตาย” เขาพูดประโยคยาวขึ้นมาเป็นครั้งแรก “อย่าให้ถึงกับขนาดนั้นเลยครับ ชีวิตของคนเรามีค่า อย่าเอามาทิ้งโดยที่ยังไม่ได้ดิ้นรน หนี้สินหนึ่งล้านไม่ได้เยอะไปสักเท่าไรหรอก บางคนล้มเป็นร้อยๆ ล้าน เขาก็ยังมีโอกาสเติบโตขึ้นมาใหม่ได้เลย”
“หยงเกรงใจคุณทิม... ผัดผ่อนมาก็หลายเดือนแล้ว”
“ผมเข้าใจ แต่ผมก็ไม่ชอบวิธีการหาทางออกที่มันดูสิ้นคิดอย่างนี้เหมือนกัน เพราะถ้าคุณหยงเป็นอะไรไป ตราบาปจะไม่ได้ตกอยู่ที่คุณ... แต่มันจะตกอยู่ที่ผม หรือแม้แต่ตกอยู่ที่ลูกสาวของคุณหยงเอง”
ตุลยากลืนน้ำลาย... มองใบหน้าเผือดซีดลงของมารดาอย่างเป็นกังวล ริมฝีปากเรียวหยักโค้ง เป็นรอยยิ้มที่แสนแห้งแล้ง เหมือนรอยยิ้มนั้นขึ้นไปไม่ถึงดวงตา
“อย่าคิดสั้นนะครับ ทำอะไรให้นึกถึงตัวเองและคนรอบข้าง ผมเอาของเยี่ยมมาฝาก ดีใจที่คุณหยงไม่เป็นอะไรมาก ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมคงจะขอตัวกลับก่อน เดี๋ยวจะถึงฟาร์มค่ำเกินไป”
“ค่ะ คุณทิม หยงขอบคุณคุณทิมมาก”
เขายิ้มเพียงนิด...ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะหันมามองหญิงสาวตัวเล็กหน้าซีดที่ยืนเกาะราวเตียงอยู่อีกครั้ง เพียงชั่วแวบที่ริมฝีปากนั้นกระตุกขึ้นแทนรอยยิ้มหรือคำอำลา ก่อนที่เจ้าของร่างสูงจะเดินผละจากไป
“เดี๋ยวค่ะ คุณทิม... รอฉันก่อน”
เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ฝีเท้านั้นหยุดชะงักลง...กลางทางเดินเจ้าของร่างสูงหันกลับมามองเป็นเชิงถาม หลุบตาลงต่ำ มองหญิงสาวในชุดเสื้อกระโปรงยาวเลยเข่า ลายประดับลูกไม้บนปกเสื้อทำให้ดูอ่อนโยน เข้ากับใบหน้าเล็กเรียว เครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋ม แต่รวมกันแล้วก็พอได้สัดส่วนมองเพลินตา
“มีอะไร?”
“ฉันขอคุยเรื่องแม่น่ะค่ะ...” หล่อนหยุดหายใจหอบ ตั้งสติ ดวงตาทอดมองเขาด้วยความวิงวอน “เรื่องหนี้ของแม่ คือฉันก็เพิ่งทราบเรื่องนี้เหมือนกัน แม่ไม่เคยบอกฉันเลย”
“อืม” ร่างสูงถอยไปยืนพิงผนังปูนของตัวตึก ทอดตามองหญิงสาวด้วยสีหน้าเฉยเมิน มีแต่เพียงดวงตาสีเข้มที่เร้นประกายสังเกตละเอียดลออ
“ฉันจะขอผัดผ่อน ฉันเข้าใจนะคะว่ามันเป็นเงินจำนวนมาก แต่ว่าถ้าคุณจะกรุณา ฉันจะขอผัดออกไปก่อนได้ไหมคะ ฉันกำลังพยายามหาเงินมาใช้หนี้ให้คุณ อาจจะไม่เร็วเท่าไร แต่รับรองว่าฉันไม่เบี้ยวคุณแน่นอน”
“นานแค่ไหน?” อีกครั้งที่คำถามแสนสั้นทว่าบาดลึกเข้าไปในใจของคนฟัง
ตุลยาหลุบตา... ก้มลงมองปลายนิ้วของตัวเองด้วยความรู้สึกขื่นขม
นั่นสิ... นานแค่ไหน หล่อนก็ยังไม่รู้เลย
“เงินมันไม่ใช่น้อย แม่ของคุณยังไม่เคยคืนเงินต้นเลย แค่ดอกเบี้ยอย่างเดียวก็ยังค้างส่งมาตลอด ลำพังคุณคนเดียวจะไหวหรือหนูตาล” ท้ายเสียงเรียกชื่อเล่นของหล่อนนิ่มนวลนัก หากลึกลงไปในน้ำเสียงฟังออกว่าเจ้าตัวจริงจัง “นอกจากขายขนมหวานแล้ว คุณยังมีทางออกทางไหน?”
“ฉัน... เอ้อ... ตาลกำลังคิด”
“จริงๆ ก็ไม่น่าจะต้องคิดอะไรให้มาก” ริมฝีปากเรียวโค้งกระตุกเป็นรอยยิ้ม กึ่งเห็นใจ กึ่งหยามหยัน “คุณไม่มีทางทำสำเร็จอยู่แล้ว เงินเยอะขนาดนี้”
“ฉันก็ไม่รู้หรอกค่ะ แต่ก็จะลองพยายามดูก่อน ถ้าฉันรู้ก่อนหน้านี้ จริงๆ ฉันจะได้ตั้งใจทำงานเพิ่ม หาเงินมาชดใช้ให้คุณแทนแม่ของฉัน”
“บางทีลองทำตามที่แม่ของคุณเสนอมาก็คงจะดีนะ” เขาบอกเสียงเรียบ ถอนหายใจเบาๆ เหมือนเริ่มเบื่อหน่าย “ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย ก็แค่มาอยู่ชั่วคราวระหว่างที่แม่ของคุณหาเงินมาจ่ายหนี้ บางทีผมอาจจะเบื่อก่อนเสียด้วยซ้ำ”
“คุณทิม...”
“สเปกผมไม่ใช่ผู้หญิงเฉิ่มเชยอย่างคุณสักเท่าไรหรอก” ดวงตาสีเข้มกวาดไปทั่วเรือนร่างงามในชุดยาวกรอมเท้า... ชุดแม่ชี... เขาคิดพลางหยุดสายตาลงตรงที่ดวงตาสีนิลใส ตระหนกเหมือนกวางน้อยยามถูกล่าเป็นเหยื่อ “แต่ดูท่าแม่คุณคงไม่มีปัญญาจะหาเงินมาจ่ายหนี้ด้วยวิธีอื่น ถ้าไม่เข้าตาจนก็คงไม่ถึงกับขายลูกกิน หรือคุณจะรอไว้ก่อน... ไว้แม่คุณกินยาฆ่าตัวตายอีกรอบแล้วค่อยคิดกันอีกที”
“คุณธฤต...”
“ผมไม่ผัดผ่อนให้ เพราะแม่คุณขาดจ่ายดอกมาหลายเดือนมากแล้ว คนเราควรต้องมีความรับผิดชอบในระดับหนึ่ง ถูกไหม?”
ร่างสูงยืดขึ้น ละออกจากอากัปกิริยาพิงหลังสบายตัวที่ทำอยู่เมื่อสักครู่ สาดยิ้มให้กับคนที่ยังคงยืนงงอยู่ด้วยความสับสน มองนาฬิกาข้อมือก่อนจะบอก
“ถ้าคุณตกลง... ก็เอาเป็นว่าหลังจากแม่คุณออกจากโรงพยาบาล ผมจะให้คนมารับที่บ้าน คุณย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านผม คงไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากกระมัง”
“ฉันไม่อยาก...”
“คุณจะลองคิดดูก่อนก็ได้... คิดเผื่อแม่คุณด้วย ว่าเขาจะอยากให้คำตอบออกมาในรูปแบบไหน”
เจ้าหนี้ของหล่อนเดินจากไปแล้ว พร้อมกับปัญหาอีกปมใหญ่ที่ปล่อยไว้ให้หล่อนครุ่นคิด แก้ไขไม่ตก เพราะมองไปทางใด ก็ไม่เห็นทางออกที่จะหาเงินมาใช้หนี้หนึ่งล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยอีกเดือนละสองหมื่นอย่างแน่นอน
ตันหยงตื่นเต็มตาเมื่อลูกสาวเดินกลับไปถึง...สายที่จมูกถูกเอาออกหลังจากตามผลเลือดแล้วปกติ ครั้นพอเห็นลูกสาวคนเล็กเดินมา คนเป็นแม่ก็เรียกหาเสียงดัง
“หายไปไหนมาตั้งเป็นชั่วโมง ฉันปวดท้องจะเข้าห้องน้ำก็ไม่มีคนช่วย”
“ขอโทษค่ะแม่ ตาลไปคุยกับคุณธฤตมา เรื่องจะขอผัดผ่อนหนี้ไปก่อน”
“แล้วเขาว่าไง?”
“เขา...” ตุลยากลืนก้อนขมๆ ลงกลับไปในลำคอ “เขาก็ไม่โอเค”
“เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแกแล้วว่าเขาเขี้ยวลากดินขนาดไหน จะเอาฉันเข้าคุกเข้าตารางให้ได้... ตาล ฉันไม่ยอมไปอยู่ในคุกหรอก สู้ยอมตายเสียเลยจะดีกว่า”
“แม่...”
คนเป็นลูกถอนหายใจ... จะโยนให้เป็นความผิดของธฤตทั้งหมดก็ไม่ใช่ ก็แม่ของหล่อนนั้นเล่า หลบหลีกการจ่ายหนี้คืนมานานแค่ไหน นิสัยมารดา เหตุใดตุลยาจะไม่ทราบ
ทราบ... แต่อดสะท้อนสะท้านในใจไม่ได้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว เหตุใดความรับผิดชอบทั้งหมดต้องมาลงอยู่ที่หล่อน ราวกับสิ่งผิดพลาดทั้งหมดหล่อนเป็นคนก่อกระนั้น
