5. คนปากร้าย
*** ทักทายคร้า ไปติดตามความสนุกกันต่อเลยจ้า ***
กลางแสงแดดจ้า เงาดำของวัตถุหนึ่งก็เคลื่อนมาตามถนน ดวงตาพร่ามัวเพ่งมองและเห็นชัดว่าเป็นรถจี๊ปวิ่งมาหา ริมฝีปากแห้งผากยิ้มน้อยๆ อย่างมีความหวัง เท้าลากถูไปข้างหน้าหวังจะมีคนช่วยเธอ ทั้งรถทั้งคนมุ่งหน้าเข้าหากัน คนในรถจ้องมองร่างที่เดินโซซัดโซเซ คิ้วหนาที่ทอดขนานกับดวงตาคมขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นหน้าเจ้าของร่างชัดเจน
เมื่อรถวิ่งมาจอดตรงหน้า กานต์มณีสูดหายใจยาวเหยียดเพื่อให้ตัวเองมีแรงพอที่จะขอความช่วยเหลือ เมื่อร่างสูงสง่าของเจ้าของรถกระโดดลงมายืนข้างรถ ดวงตาพร่ามัวก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นหน้าของคนที่จะขอความช่วยเหลือชัดเจน
“คุณ…” เสียงเบาหวิวหลุดออกมาจากริมฝีปากแตกระแหง อัคนีดึงแว่นกันแดดออกจากสันจมูกโด่งแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มน้อยๆ แต่กานต์มณียังพอมีสติเห็นแววเย้ยหยันในดวงตาคม
“คิดยังไงถึงอยากเปลี่ยนจากเดินรันเวย์แคตวอร์กมาเดินทางลูกรัง”
“ช่วย…ด้วย…” กานต์มณีขยับเข้าไปบอกใกล้ๆ จากที่ไม่มีแรงอยู่แล้วทำให้ร่างเอนไปข้างหน้า ดีว่าอัคนีรับไว้ทันก่อนที่เธอจะล้มหน้าผากกระแทกพื้น
“คุณ…อย่าสำออย” แม้เธอจะน่าสงสารแค่ไหน แต่เขายังหาเรื่องว่าเธอจนได้ เมื่อเห็นร่างในวงแขนโอนเอนซบหน้ากับอกกว้างอย่างอ่อนแรงทำให้อัคนีสงสัยมากขึ้น “เกิดอะไรขึ้น…”
“ฉัน…ถูก…ปล้น” เมื่อสิ้นประโยคสุดท้าย สติอันเลือนรางก็ดับวูบลง ร่างอ่อนปวกเปียกตกอยู่ในวงแขนแข็งแรง อัคนีมองหน้าซีดๆ อย่างตกใจ
“คุณ…คุณ…ให้ตายสิแม่คุณ เจอกันทีไรเป็นเรื่องตลอด…” อัคนีบ่นอุบแต่อุ้มเธอขึ้นรถและพากลับไร่ คำพูดสุดท้ายของเธอยังก้องในหัว มือหนาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากดหาเพื่อนที่เป็นตำรวจทันที รอสายไม่นานก็มีเสียงตอบกลับมา
“หวัดดีครับท่าน มีอะไรให้รับใช้ครับ”
“กวนโอ๊ยฉิบ…มีเรื่องให้ช่วย” ประโยคทักทายไม่ได้ทำให้คนปลายสายหัวเราะร่วน เพราะความสนิทสนมระหว่างเพื่อนทำให้ไม่ถือสากัน
“เสียงเครียดนี่หว่า…ว่ามาดิ”
“มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกปล้นแถวๆ ทางเข้าฟาร์ม ตรวจสอบให้ที” อัคนีบอกรายละเอียดเท่าที่รู้ คนปลายสายบ่นอุบเพราะรายละเอียดน้อยเกินไป
“แค่นั้น?”
“เออ…เธอบอกแค่นั้น…” อัคนีตอบกลับขวานผ่าซากตามนิสัย แต่คนฟังรู้สึกว่าประโยคท้ายจะอ่อนโยนผิดปกติกว่าทุกครั้ง
“กลิ่นแปลกๆ ว่ะเดี๋ยวเช็กให้ ขอคุยกับเธอของนายเพื่อทราบรายละเอียดเพิ่มเติมหน่อยสิ” คนปลายสายออกอุบายเพื่อทำความรู้จักกับเธอของเพื่อน
“สลบอยู่เนี่ยจะคุยกับลมกับฟ้าไหมพวก” อัคนีกระแทกเสียงแล้วตัดสายทิ้ง ดวงตาคมมองคนที่นอนนิ่งอยู่บนเบาะหลังผ่านกระจกมองหลัง
ไม่นานรถก็วิ่งเข้ามาจอดที่หน้าบ้านหลังใหญ่สีควันบุหรี่ที่ปลูกท่ามกลางความเขียวขจีของธรรมชาติ ไผ่เห็นรถเจ้านายกลับมาแล้วก็ออกมาดู อัคนีอุ้มกานต์มณีเดินสวนเข้าไปในห้องนั่งเล่น วางเธอบนโซฟา
“นายริวไปฉุดลูกสาวใครมาครับ” ไผ่ตกใจเพราะไม่เคยเห็นนายพาสาวมาที่นี่ ส่วนใหญ่จะไปที่บ้านพักรับรอง อัคนียกมือเท้าสะเอวมองไผ่ตาเขียว
“หาคุกให้ฉันมั้ยล่ะไอ้เวร ไปตามป้าแก้วมาดูเธอเร็ว”
ไม่ต้องรอให้สั่งเป็นครั้งที่สองเพราะจะมีเท้าแถมมาด้วย ไผ่วิ่งแจ้นไปหลังบ้านอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อัคนียืนมองร่างระหงอย่างสนใจ เจ้าหล่อนมาทำอะไรที่นี่นะ…
ขณะที่กานต์มณีนอนซมอยู่นั้น อัคนีกับเจ้าหน้าที่ก็ตามจับคนร้ายที่ขโมยรถไปได้ แต่เงินสองคนร้ายเอาไปถลุงจนหมด เหลือก็แต่รถที่กำลังจะเอาไปขายแต่ถูกจับได้ซะก่อน แต่เจ้าทุกข์นอนซมเพราะพิษไข้มาสองวันเต็มๆ ยังไม่รู้สึกตัว แถมมีไข้สูงจนคุณหมอต้องให้ยาทุกสี่ชั่วโมง
จนกระทั่งบ่าย ร่างสูงสง่าก็กลับจากไร่เข้าไปดูอาการของคู่ปรับเก่า ป้าแก้วแม่ของไผ่นั่งเฝ้าอาการหญิงสาวด้วยแววตาอ่อนโยน
“ยังไม่ฟื้นอีกเหรอป้า”
“ยังเลยค่ะนาย กินยาป้าก็ต้องละลายน้ำแล้วใช้บีบเข้าปาก แต่ไม่มีไข้แล้วค่ะ” ป้าแก้วบอกพลางอดสงสารไม่ได้ ลูกผู้ลากมากดีพอลำบากก็จะเจ็บป่วยมากกว่าลูกชาวไร่ชาวนาแบบนี้เสมอ
“อ่อนฉิบ เดินตากแดดไม่ถึงกิโลก็เป็นลม” อัคนีเท้าสะเอวมองใบหน้าคมสวยที่ดูมีเลือดฝาดมากกว่าเมื่อวาน ป้าแก้วลุกขึ้นเดินมาตีแขนเจ้านายเบาๆ
“นายก็ เธอน่าสงสารออกนะคะ ทำไมถึงใจร้ายนัก” ป้าแก้วมองหน้าคมสวยยิ้มๆ “คนนี้ใช่ไหมคะที่คุณป้าใหญ่ให้ไปรับ”
“ไม่รู้สิป้า ไปเจอตัวแม่คุณก็เป็นลมไปซะก่อน ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ฟื้นคงต้องให้หมอเด่นฉีดยาให้หลับลืมไปเลยน่าจะดี” อัคนีพูดขวานผ่าซากตามนิสัย เสียงทุ้มห้าวดังเข้าไปกระทบโสตประสาทของคนที่หลับอยู่ มีผลให้ขนตางอนยาวเป็นแพกะพริบช้าๆ
“เดี๋ยวป้าไปทำข้าวต้มให้เธอก่อนนะคะ ฝากนายนั่งอยู่เป็นเพื่อนเธอสักครู่ และที่สำคัญห้ามทำอะไรเด็ดขาด” ป้าแก้วพูดดักคอเพราะรู้จักเจ้านายตัวเองดี
“อะไรกันป้า เห็นผมเป็นยักษ์เป็นมารไปได้” อัคนีบ่นเสียงดัง
*** ขอบคุณคร้า ***
