Chapter 5. หลันหลัน
‘ดูท่าเจ้านกตัวนี้จะถูกชะตากับหลิงเอ๋อร์ของเราแล้ว’
‘ข้าจะดูแลมันอย่างดีเจ้าค่ะ’ หญิงสาวเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน ‘หลันหลัน ข้าเรียกเจ้าว่าหลันหลันก็แล้วกัน’
นับตั้งแต่นั้นหญิงสาวนามกงเสวี่ยหลิงเป็นคนเลี้ยงดูนกน้อยอย่างนางมาตลอด จากนกน้อยขี้เหร่ที่ไม่มีใครแลเหลียว วันหนึ่งก็มีมืออ่อนโยนคู่หนึ่งคอยดูแล นางจึงรักและภักดีกับกงเสวี่ยหลิงอย่างยิ่ง กงเสวี่ยหลิงเป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้นเฉียนเหลียง เดินทางไปเมืองผิงอันซึ่งเป็นเมืองหลวงที่องค์ฮ่องเต้ประทับอยู่ กงเสวี่ยหลิงเป็นเพียงองค์หญิงเชลยที่ถูกส่งมาเป็นตัวประกันของแคว้น แม้นางเป็นถึงองค์หญิง แต่เมื่ออยู่ต่างถิ่นซ้ำฐานะยังเป็นเพียงตัวประกัน ความเป็นอยู่จึงไม่สะดวกสบายนัก มีตำหนักส่วนตัวก็จริงแต่สภาพทรุดโทรมอับชื้น ซ้ำบางแห่งหลังคายังมีรูรั่ว มีบ่าวรับใช้เพียงสี่ห้าคนซึ่งแต่ละคนก็มิได้เคารพนางนัก อาหารการกินหรือแม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ยังขาดแคลน กงเสวี่ยหลิงต้องคอยรองรับอารมณ์บรรดาองค์หญิงองค์ชาย นางสนมและฮองเฮา แต่ไม่ว่าจะประสบเรื่องเลวร้ายเพียงใด นางจะเห็นรอยยิ้มของกงเสวี่ยหลิงเสมอ กับนางที่เป็นเพียงนกน้อย กงเสวี่ยหลิงก็ดูแลอย่างดี ไม่เคยปล่อยให้นางต้องอด-
อยาก คอยร้องเพลงและเล่าเรื่องราวต่างๆ ในนางฟังเสมอ
กงอี้เทาคือพี่ชายของกงเสวี่ยหลิง เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับเซียวหลินและจางซงหยวน บุรุษทั้งสามเป็นสหายรัก กงอี้เทาคือรัชทายาทแคว้นเฉียนเหลียง ส่วนจางซงหยวนเป็นทหารคนสนิทของกงอี้เทาและเป็นคนที่ลอบเข้ามาส่งข่าวและส่งเสบียงให้กงเสวี่ยหลิงเสมอ
หญิงสาวระบายลมหายใจพลางยกมือขึ้นแตะศีรษะบริเวณที่รู้สึกเจ็บระบม ปลายนิ้วแตะผ้าพันแผลอยู่ นางพยายามทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดเท่าที่พอจำได้
นางได้ยินว่ากงเสวี่ยหลิงถูกเชิญไปบรรเลงผีผาตามคำสั่งของฮองเฮา ทว่านางกลับถูกบังคับให้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีแดง นางผู้เป็นนกหงส์หยกตัวเล็กๆ ติดตามไปด้วยเช่นทุกครั้ง ไม่ว่ากงเสวี่ยหลิง อยู่ที่ใด นางจะอยู่ที่นั่นด้วยเสมอ เมื่อรถม้าแล่นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดพักม้า กลับพบความจริงว่านางจะถูกส่งไปเป็นอนุไร้ราคาของขุนนางแก่ชราผู้หนึ่ง
‘แม้ข้าจะเป็นเพียงองค์หญิงตัวประกัน แต่มิได้หมายความว่าจะถูกส่งมาเป็นเจ้าสาวของใครก็ได้’
‘องค์หญิงกงเสวี่ยหลิงเข้าใจผิดแล้ว’ ชายชราพูดพลางกลั้วหัวเราะ ‘เจ้ามิได้ถูกส่งมาเป็นเจ้าสาว แต่ถูกส่งมาเป็นนางบำเรอรับใช้ข้าต่างหากเล่า’
‘เจ้า!’
‘ข้าเมตตารับหญิงอย่างเจ้ามาเป็นนางบำเรอ ก็นับว่าเป็นบุญของเจ้าแล้ว ยังกล้าขึ้นเสียงกับข้าอีกเรอะ!’
‘หากต้องเป็นนางบำเรอของเจ้า! ข้ายอมตายเสียยังดีกว่า’
มือเล็กคู่นั้นยกขึ้นปิดหู นางจำเสียงกรีดร้องของกงเสวี่ยหลิงได้อย่างดี หญิงสาววิ่งหนีแต่ถูกชายร่างใหญ่เข้าฉุดกระชากกลับไปได้ เสียงหัวเราะอย่างสะใจและเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ผู้คนรายล้อมแต่ทุกคนได้แต่ก้มหน้าไม่มีใครยื่นมือช่วยเหลือ นางเป็นเพียงนกน้อยพยายามใช้ปากเล็กๆ จิกชายชราใจโฉดที่ฉีกทึ้งกระโปรงท่อนล่างของกงเสวี่ยหลิงออก
‘ไอ้นกบ้า! ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตายคามือ’
‘หยุดนะ! อย่าทำหลันหลัน’
‘โอ๊ะ! ห่วงนกทั้งที่ปกป้องตัวเองไม่ได้เรอะ!’ ชายผู้นั้นหัวเราะเยาะ ‘ขอร้องข้าสิ ใช้ปากนุ่มของเจ้าขอร้องข้า จูบที่เท้าของข้า แล้วข้าจะเมตตานกน้อยของเจ้า’
นางพยายามดิ้นรนออกจากอุ้งมือสกปรกสุดแรง แต่ดวงตาของนกน้อยต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นกงเสวี่ยหลิงลุกขึ้นมาจากตั่งที่นางถูกกดลงไปเมื่อครู่ นางก้าวมาทรุดนั่งเบื้องหน้า ก้มนิ่งค้อมกายลงแทบแนบพื้น เสียงหัวเราะดังก้อง ทว่าเพียงพริบตาเสียงหัวเราะกลายเป็นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
‘บัดซบ! นางแพศยา!’
ในมือของกงเสวี่ยหลิงกำปิ่นปักผมเปื้อนเลือดแน่น ดวงตาที่เคยอ่อนโยนคู่นั้นแข็งกร้าวไร้ความอ่อนแอ เพราะความตกใจทำให้มือสกปรกปล่อยนกน้อยให้ร่วงหล่นเพื่อไปกุมเป้ากางเกงที่ถูกปิ่นของนางจ้วงแทง กงเสวี่ยหลิงยื่นมือไปรองรับร่างของนกน้อยได้ทัน แล้วรีบหมุนตัววิ่งออกไปท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของชายผู้นั้น ท่ามกลางความตกตะลึงของคนรอบข้างที่ไม่รู้ว่าจะต้องช่วยผู้เป็นนายที่ร้องอย่างเจ็บปวดหรือตามหญิงสาวที่วิ่งหนีสุดฝีเท้า
‘หลันหลัน’
นกน้อยถูกกอดแนบอก ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงของกงเสวี่ยหลิงแทบจะทะลุทรวงอกออกมา เท้าเล็กๆ สะดุดพื้นดินขรุขระล้มจนศีรษะกระแทกก้อนหิน แต่นางรีบยันกายขึ้นแล้วออกวิ่งไม่สนใจเลือดที่ไหลลงมาเปื้อนใบหน้า เสียงคนวิ่งไล่ตามมาด้านหลัง กงเสวี่ยหลิงไม่เสียเวลาหันไปมอง นางรู้สึกถึงบางสิ่งที่พุ่งมาเฉียดใบหูของนาง
