บทที่ 4 (โรม) รันพันตู [2]
ชาลิดาพลิกกายไปปะทะเข้ากับแผงอกหนั่นแน่น ดวงตากลมโตหรี่ขึ้นมาก่อนจะเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาหลับสนิทอยู่ในระยะที่ห่างกันไม่ถึงคืบ พอนึกได้ว่าวันนี้ไม่ใช่วันหยุดจึงรีบปลุกอีกฝ่ายทันที
“คุณโรมคะ เจ็ดโมงแล้วนะคะ” เสียงหวานปลุก มือเล็กเขย่าเรือนร่างกำยำที่นอนหลับอยู่ไปด้วย แม้จะไม่มีทีท่าว่าจะสะดุ้งสะเทือนเลยก็ตาม
“อย่ายุ่งน่าน้ำตาล” คนขี้เซาบอกพลางปัดมือสะเปะสะปะจนเจ้าตัวต้องเบี่ยงหน้าหลบ
“วันนี้คุณโรมไม่ไปทำงานเหรอคะ?” เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว ดวงตาคมจึงหรี่ตาขึ้นมามองวงหน้าสวยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลือ
“ฉันหยุดหนึ่งวัน เมื่อยตัวไปหมดแล้ว เธอก็น่าจะรู้นะน้ำตาลว่าสาเหตุมาจากใคร” สิ้นเสียงมือปลาหมึกก็เริ่มหยุบหยับโดยการดึงร่างบางให้ขยับเข้าไปนอนใกล้ๆ
“อุ๊ย คุณโรม”
“นอนเถอะน่า แล้วเราค่อยตื่นพร้อมกัน” โรมานี่บอกก่อนจะปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ปล่อยให้เธอได้มีโอกาสสำรวจใบหน้าหล่อเหลาชัดเจนเป็นครั้งแรก
ชาลิดาคิดไปถึงวันที่ก้าวเข้ามาอยู่ที่นี่กับเขา แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นานนักแต่กลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้วว่าเรื่องระหว่างเธอและเขาไม่มีทางเป็นไปได้
สักวันเธอก็ต้องไปจากที่นี่ คิดมาถึงตรงนี้กลับอดใจหายไม่ได้ สัญญาหกเดือนระหว่างกันแลกกับเรือนร่างของตน ช่างเป็นอะไรที่น่าสมเพชเหลือเกิน
“น้ำตาลรักคุณโรมนะคะ” เสียงหวานพึมพำขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะหลับตาลงตามอีกฝ่ายไป
เวลา 12.00 นาฬิกา
ชาลิดารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเจ้าของห้องไม่ได้อยู่ในนี้แล้ว ร่างบางลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า กลับออกมาก็ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์ดังมาจากทางด้านนอกประตูระเบียง สองเท้าอดไม่ได้ที่จะเดินไปยังบริเวณดังกล่าว แม้รู้ว่าจะเป็นการไร้มารยาทมากก็ตาม
“อย่าทำตัวมีปัญหาน่ามินนี่ คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้คิดจริงจังอะไร” คำตอบที่กรอกลงไปยังคนปลายสายทำให้ชาลิดารู้สึกตัวแข็งไปชั่วขณะ ไม่แน่ใจว่าจะหมายถึงเธอหรือเปล่า กระนั้นก็พยายามตั้งสติ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และฟังต่อไป
“เด็กคนนั้นก็แค่ผู้หญิงขัดดอกหรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นดอกเบี้ยค้างชำระเท่านั้น แค่นี้ก่อนนะมินนี่ ไว้มีเวลาแล้วเราค่อยเจอกัน”
หลังจากวางสายไปโรมานี่ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เปิดประตูกลับเข้ามาภายในห้อง ส่งเสียงเรียกเด็กไร้มารยาทที่ทำท่าจะเดินหนีไปด้วยความเร่งรีบ
“จะไปไหนน้ำตาล?”
“อะ..เอ่อ น้ำตาลจะไปลงไปข้างล่างแล้วค่ะคุณโรม” เด็กสาวตอบเสียงเบา ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองคนถาม ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลยน้ำตาล ทั้งๆ ที่น่าจะรู้ว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร
“เธอมาแอบฟังฉันคุยโทรศัพท์ใช่ไหม” โรมานี่กดเสียงต่ำ รอฟังคำตอบที่หวังว่าเธอจะไม่โกหก
“เปล่านะคะ น้ำตาลแค่...”
“โกหก ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าเป็นเด็กโกหก ตัวแค่นี้ทำไมหัดทำตัวไร้มารยาท หา! น้ำตาล” ชายหนุ่มตะคอกถามเสียงเข้ม
“น้ำตาลไม่ได้ตั้งใจค่ะคุณโรม” เธอตอบกลับเสียงสั่น ทำไมต้องดุกันด้วย
“หันหน้ากลับมามองฉัน”
“น้ำตาลขอโทษค่ะ” ชาลิดารีบหันกลับมาเผชิญหน้าตามคำสั่ง พร้อมเอ่ยคำขอโทษชายหนุ่มด้วยอาการหวาดกลัวเนื่องจากไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน
“ครั้งนี้ฉันจะไม่ว่าอะไร แต่ต่อไปอย่าให้ฉันเห็นว่าเธอทำแบบนี้อีก” คำสั่งจริงจังพร้อมกับเดินผ่านหน้าไปชนิดที่ว่าไม่คิดจะปลอบใจหรือไยดีกันสักนิด
“น้ำตาลไม่ได้ตั้งใจค่ะ คุณโรมคงจะเกลียดน้ำตาลแล้วใช่ไหมคะ” ชาลิดาพึมพำตามหลังอีกฝ่ายไปด้วยอาการโศกเศร้า รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอมีค่ากับผู้ชายคนนี้บ้างไหม
“จะไปไหนน้ำตาล ทำไมไม่มากินข้าว” โรมานี่ถามเสียงเข้มเมื่อเห็นร่างบางทำท่าจะเดินผ่านห้องอาหารไป
“น้ำตาลยังไม่หิว คุณโรมทานก่อนก็ได้ค่ะ” เธอตอบกลับไป อาการน้อยใจทำให้รู้สึกไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น
“ทำไมถึงไม่หิว โกรธอะไรอีก”
“ไม่ได้โกรธค่ะ น้ำตาลยังไม่หิวจริงๆ”
“มานั่งเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มสั่งเสียงดัง เริ่มจะหมดความอดทนกับเด็กหัวดื้อ พูดอะไรไม่ฟัง
ชาลิดาจำต้องทำตามคำสั่งด้วยการเดินมานั่งลงบนเก้าอี้เพราะไม่อยากมีปัญหา เธอได้สัมผัสกับอารมณ์ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
“ขอบคุณค่ะป้าน้อย” เด็กสาวหันไปกล่าวคำขอบคุณแม่บ้านสูงวัยที่เดินมาตักข้าวให้
“ทานเยอะๆ นะคะหนูน้ำตาล” นางบอกพร้อมกับเดินเลี่ยงออกไปปล่อยให้คนทั้งคู่ได้อยู่กันตามลำพัง เนื่องจากเห็นอารมณ์ของเจ้านายหนุ่มแล้วดูท่าว่าจะไม่ธรรมดา
“เป็นอะไรน้ำตาล?” ชายหนุ่มถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเอาแต่ก้มหน้าสนใจกับอาหารตรงหน้ามากกว่าจะสนใจตนเอง
“เปล่าค่ะ น้ำตาลไม่ได้เป็นอะไร” ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาจะซักไซ้ไล่เลียงอะไรนักหนา
“ตอบแล้วก็เงยหน้ามองฉัน” โรมานี่สั่งเสียงเข้ม
“น้ำตาลไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ค่ะคุณโรม”
ชาลิดาพยายามอธิบายเหตุผลให้คนตรงหน้าฟัง แต่ดูจากอาการในตอนนี้แล้วคงจะไม่ยอมเชื่อแน่ๆ
“เธอโกรธที่ฉันว่าเธอวันนี้ใช่ไหม”
“...”
เมื่อเห็นว่าเจ้าหล่อนยังไม่ยอมตอบคำถาม คนเอาแต่ใจก็ยิ่งรู้สึกโมโหมากขึ้น ไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าทำแบบนี้กับเขามาก่อน แล้วนี่เธอเป็นใคร โรมานี่ตัดสินใจหยิบเครื่องมือสื่อสารมาต่อสายหาลูกน้องคนสนิททันที
“จิมมี่ เอารถออก ฉันจะไปหามินนี่ รู้สึกว่าช่วงนี้จะไม่ได้ไปนานแล้ว เบื่ออะไรเดิมๆ เต็มทน”
สิ้นคำสั่งนั้นเจ้าของร่างสูงใหญ่ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปทันทีปล่อยให้ดวงตากลมมองตามไปด้วยอาการเศร้าสร้อยอีกครั้ง อยากรู้ว่าตนเองผิดอะไร เขาถึงได้ต่อว่าและแสดงท่าทีแบบนั้นใส่ น้ำตาแห่งความน้อยใจไหลรินลงมาประจานความอ่อนแอ ทำไมเธอต้องมานั่งกินข้าวเคล้าน้ำตาด้วย
หลังกินข้าวไปได้แค่ไม่กี่คำร่างบางก็ลุกขึ้นเดินไปยังห้องโถงกว้าง เครื่องมือสื่อสารไร้สายถูกหยิบขึ้นมาใช้งาน ตัดสินใจโทรหาใครบางคน คนที่คิดถึงและห่วงหามากมายเหลือเกิน
“พ่อ น้ำตาลเองนะ”
ทันทีที่มีเสียงตอบรับจากปลายสาย เธอก็รีบกรอกเสียงทักทายไปด้วยน้ำความยินดี แค่ได้ยินเสียงของบิดาก็พอใจแล้ว
“มึงเองเหรอน้ำตาล”
“จ้ะพ่อ พ่อสบายดีหรือเปล่า” เด็กสาวถามบิดาด้วยความเป็นห่วงสุดหัวใจ
“น้ำตาล มึงมีเงินให้พ่อสักสองหมื่นก่อนไหม ตอนนี้ที่บ่อนไม่ค่อยมีคนเข้าเหมือนเมื่อก่อน พ่อไม่มีเงินใช้เลย”
ชายสูงวัยถามบุตรสาวด้วยอาการร้อนรน โชคเข้าข้างเหลือเกินที่อีกฝ่ายติดต่อกลับมา เนื่องจากกำลังคิดถึงพอดี แต่เป็นความคิดถึงที่แฝงไปด้วยความโลภและไม่รู้จักพอ
“น้ำตาลไม่มีหรอกจ้ะ”
“ทำไมถึงไม่มี ไปขอไอ้โรมมาให้พ่อสิ”
ชลิตสั่งเสียงเข้ม อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ได้ลูกสาวเขาเป็นเมียแล้ว เงินแค่นี้ขนหน้าแข้งมันไม่ร่วงหรอก
“น้ำตาลไม่กล้าหรอกจ้ะพ่อ อีกอย่างคุณโรมก็คงไม่มีทางให้เงินน้ำตาล”
“โกหก! อีลูกทรพี มึงคิดจะเสวยสุขคนเดียวโดยไม่สนใจพ่อบังเกิดเกล้าเลยใช่ไหม กูไม่เชื่อหรอกว่ามันจะไม่ให้เงินมึง ลองมันไม่ปล่อยมึงกลับมาแบบนี้ แสดงว่ามันต้องติดใจมึงแน่”
เพราะความเห็นแก่ตัวเข้ามาครอบงำ จึงไม่มีสักคำที่จะแสดงความห่วงใยคนเป็นลูก
“จริงๆ นะจ๊ะพ่อ น้ำตาลไม่ได้โกหก” ชาลิดากล่าวเสียงสั่น ไม่เคยคิดที่จะโกหกท่านเลยสักนิด
“กูไม่สน ถ้าหาเงินสองหมื่นมาไม่ได้ก็ไม่ต้องโทรมาอีก” สิ้นเสียงชลิตก็กดปุ่มวางสายลงไปทันทีโดยไม่สนใจว่าลูกสาวจะรู้สึกยังไง ตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือเงินอย่างเดียวเท่านั้น
“แล้วน้ำตาลจะเอาเงินที่ไหนมาให้พ่อ” ชาลิดาคิดด้วยความกลัดกลุ้ม รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเหลือเกิน บิดาไม่เพียงผลักไสให้เธอมาอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าไม่พอ ท่านยังบีบบังคับเธอเรื่องเงินอีก
ผ่านไปกระทั่งเวลา 19.00 นาฬิกาที่นั่งจมกับความทุกข์เนื่องจากไม่รู้ว่าจะหาเงินที่ไหนมาให้บิดา ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดมน จนได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาภายในคฤหาสน์ นาทีนั้นเธอตัดสินใจเดินไปดักรอชายหนุ่มและตั้งใจว่าจะลองเอ่ยปากพูดกับเขาดู
“เอ่อ...คุณโรมคะ น้ำตาลมีเรื่องจะคุยด้วยค่ะ”
“เรื่องอะไร?” เขาถามกลับแต่ก็ยังคงไว้ท่าทีเพราะมีอารมณ์โกรธกรุ่นไม่หาย
“คือว่า...น้ำตาล” อาการอึกอักที่เห็นทำให้ชายหนุ่มชักรำคาญขึ้นมา
“มีอะไรก็รีบๆ พูดมา ฉันไม่มีเวลามาฟังเรื่องไร้สาระของเธอนะน้ำตาล”
“คือน้ำตาลจะขอยืมเงินคุณโรมสองหมื่นได้ไหมคะ แล้วน้ำตาลจะใช้คืนให้ทีหลัง”
“เธอมีงานทำแล้วเหรอถึงจะมีเงินมาคืนฉัน” โรมานี่ถามเสียงเข้ม อยากจะรู้ว่าเธอต้องการเงินไปทำอะไร
“เอ่อ...น้ำตาลจะคืนให้แน่นอนค่ะ แต่น้ำตาลจำเป็นต้องใช้จริงๆ” เงินจำนวนไม่น้อยแถมไม่มีหลักประกันอะไร จึงพอเข้าใจหากจะต้องถูกไต่สวน
“บอกมาก่อนว่าจะเอาเงินไปทำอะไร” การลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่น้อยก็ต้องถามหาความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นบ้าง
“เอาไป น้ำตาลจะเอาไป...”
“อย่าโกหก เพราะเธอก็รู้ว่าถ้าฉันรู้ความจริงทีหลังจะเป็นยังไง” ชายหนุ่มดักคอ มองวงหน้าสวยอย่างจับผิด
“น้ำตาลจะเอาไปให้พ่อค่ะ น้ำตาลเป็นห่วงพ่อ นะคะคุณโรม” สุดท้ายเธอก็ยอมพูดความจริง พร้อมกับจ้องเขาด้วยแววตาน่าสงสาร
“พ่อเธอจะเอาไปทำอะไร ถ้าเดาไม่ผิดคงจะเอาไปทำทุนสินะ” โรมานี่แค่นเสียงรู้ทัน ผีพนันเข้าสิงไม่ลืมหูลืมตาแบบนั้นมีหรือจะเอาไปทำอย่างอื่น
“ไม่ใช่ค่ะ พ่อบอกว่าจะเอาไปใช้” แม้ถูกบิดาต่อว่าและพูดจาทำร้ายจิตใจแค่ไหนแต่คนเป็นลูกอย่างเธอก็อดไม่ได้ที่จะปกป้องผู้ให้กำเนิดตามสัญชาตญาณ
“เธอนี่เชื่อคนง่ายจริงๆ นะน้ำตาล” ชายหนุ่มส่ายหน้าอ่อนใจ เพราะแบบนี้ไงถึงได้ตามคนอื่นไม่เคยทัน
“คุณโรมจะให้น้ำตาลไหมคะ” เด็กสาวยังถามต่ออย่างมีความหวัง
“คิดดูก่อน” โรมานี่ตอบเสียงเรียบและทำท่าจะเลี่ยงไปยังทางขึ้นบันไดชั้นบน แต่ก็ต้องหยุดชะงักลงกับการกระทำของเด็กสาว
“น้ำตาลขอร้อง นะคะ” ชาลิดาตรงเข้าไปกอดเรือนร่างกำยำจากทางด้านหลังไว้แน่น ใบหน้าจิ้มลิ้มซบลงบนแผ่นหลังกว้างเป็นเชิงอ้อนวอน เธอไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วให้เขายอมช่วย
“เธอนี่อ้อนเป็นเด็กไปได้” เขาถอนหายใจ จับสองมือเล็กให้คลายจากอ้อมกอดแล้วหันกลับมามองหน้าเด็กแสนกตัญญู สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับลูกอ้อนไร้เดียงสาของเธออีกแล้วสินะ
“น้ำตาลขอโทษค่ะที่วุ่นวายเกินไป น้ำตาลแค่อยากช่วยพ่อ ตั้งแต่น้ำตาลมาอยู่ที่นี่คงไม่มีใครดูแลพ่อ” เธอหวังว่าสิ่งที่พูดออกมาจากใจจะทำให้อีกฝ่ายเห็นใจกันบ้าง
“ตกลง แต่ฉันหวังว่ามันคงไม่บ่อยจนเกินไป เพราะถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น”
“ขอบคุณค่ะคุณโรม” คำขอบคุณมาพร้อมกับการกระพุ่มมือไหว้ตอบแทนด้วยความจริงใจ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้โรมานี่รู้สึกพอใจมากไปกว่าได้เด็กสาวตรงหน้ามาไว้ในอ้อมกอด
“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นดอกเบี้ยสำหรับเงินก้อนหลังนี้ดีกว่า” ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเสียผลประโยชน์รั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดและพาเดินขึ้นไปยังห้องนอนชั้นบนเพื่อคิดดอกเบี้ยงวดแรกสำหรับเงินที่เธอยืมไปให้บิดา ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ อยู่แล้ว
