บทที่ 3 คิดจะกินเด็กก็ต้องทำใจ [3]
ชาลิดาเดินไปมาในห้องนอนด้วยอาการเหงาๆ กว่าจะเปิดเทอมก็ตั้งอาทิตย์หน้า จำต้องอยู่เฉยๆ ต่อไปทั้งที่ใจอยากหาอะไรทำเหมือนครั้งอาศัยอยู่กับบิดา ขณะที่คิดอะไรเพลินๆ เธอก็นึกถึงชายหนุ่มรุ่นพี่ข้างบ้านซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แต่เครื่องมือสื่อสารส่วนตัวรุ่นที่ใช้แค่โทรเข้า-ออกก็ไม่ได้เอามาจากบ้านตั้งแต่ตอนนั้น เด็กสาวลองตัดสินใจเดินลงมายังชั้นล่างเพื่อลองใช้โทรศัพท์บ้านดู
“ป้าน้อยคะ น้ำตาลจะขอใช้โทรศัพท์ได้ไหมคะ?” เสียงหวานเอ่ยถามแม่บ้านสูงวัยที่กำลังทำความสะอาดพื้นพรมอยู่บริเวณชั้นล่าง
“ได้สิคะคุณผู้หญิง” หญิงสูงวัยหันมาตอบด้วยรอยยิ้ม
“อย่าเรียกน้ำตาลว่าคุณผู้หญิงเลยค่ะป้าน้อย เอ่อ...เรียกน้ำตาลเฉยๆ ก็ได้ค่ะ”
เธอไม่ใช่คุณผู้หญิงของบ้านนี้ เป็นแค่ผู้หญิงขัดดอกชั่วคราว อีกไม่นานก็ต้องไป ตำแหน่งแบบนี้มันไม่คู่ควรเลยด้วยซ้ำ
“ค่ะ งั้นเรียกว่าหนูน้ำตาลดีกว่า” ท่าทางไร้เดียงสาไม่มีพิษมีภัย ทำให้นางอดมองด้วยรอยยิ้มเอ็นดูไม่ได้ ตัวแค่นี้ต้องมาอยู่กับเจ้านายหนุ่มเสียแล้ว กิตติศัพท์ความเจ้าชู้ แม่บ้านเก่าแก่อย่างตนรู้ดี
“ขอบคุณค่ะ น้ำตาลขอตัวไปโทรศัพท์ก่อนนะคะ” พูดจบเจ้าตัวก็เดินเลี่ยงไปหยิบเครื่องมือสื่อสารไร้สายที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับทบทวนเบอร์ไปด้วย พอนึกได้ก็กดต่อไปยังปลายสายทันที
“สวัสดีค่า ทายซิว่าใครเอ่ย” ชาลิดายอกเย้าด้วยน้ำเสียงร่าเริงหลังได้ยินคำทักทายแรกจากคนที่โทรหา
“เสียงแบบนี้ต้องเป็นคนสวยแน่ๆ” ปลายสายตอบกลับมา ทำไมเขาจะจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของใคร
“โดนจับได้แบบนี้ก็ไม่สนุกสิคะ ว่าแต่พี่วินปากหวานจังเลยนะเนี่ย”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะน้ำตาล บอกพี่มาซะดีๆ ว่าน้ำตาลอยู่ที่ไหน พี่ไปหาที่บ้านก็ไม่เจอ” ชายหนุ่มรุ่นพี่บ่นกลับมา
“เอ่อ...ตอนนี้น้ำตาลอยู่บ้านเพื่อนค่ะพี่วิน” ชาลิดามีอาการอ้ำอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ เธอยังไม่พร้อมเล่าความจริงในเวลานี้
“น้ำตาลทะเลาะกับลุงลิตเหรอ” อนาวินถามด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าบิดาของอีกฝ่ายมีนิสัยยังไง
“ไม่ได้ทะเลาะหรอกค่ะพี่วิน พอดีน้ำตาลขอพ่อออกมาหางานทำงานข้างนอก น้ำตาลอยากเรียนต่อมหา’ลัย” เธอโกหกอีกครั้ง แต่สิ่งที่ไม่ได้โกหกก็คือเรื่องเรียนต่อ
“พี่ไม่อยากเชื่อเลยว่าลุงลิตจะยอม”
ชายหนุ่มปลายสายรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะสิ่งที่เธอเล่าตรงข้ามกับนิสัยของคนเป็นบิดาแทบทุกอย่าง
“จะหาว่าน้ำตาลโกหกหรือไงพี่วิน” เธอต่อว่าเสียงงอนๆ
“เปล่าๆ ว่าแต่น้ำตาลไปสมัครเรียนที่ไหน”
“มหาวิทยาลัย IN Bangkok ค่ะพี่วิน”
พอได้ยินคำตอบ อนาวินก็ยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้รับรู้ว่าเธอเรียนที่เดียวกัน แถมค่าเทอมก็ไม่ใช่ถูก ขนาดตนเองยังต้องหารายได้พิเศษจากการเล่นดนตรีตามผับเพื่อใช้เป็นค่าเทอม
“น้ำตาลเรียนที่เดียวกับพี่เหรอเนี่ย ยินดีต้อนรับนะครับคุณรุ่นน้อง”
“ก็น้ำตาลอยากมีรุ่นพี่แบบพี่วินไงคะ น้ำตาลก็เลยเลือกสมัครที่นี่” ชาลิดาพูดตามที่รู้สึก อย่างน้อยก็จะได้มีที่ปรึกษา
“พี่ดีใจนะที่เราไว้ใจพี่” น้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่าดีใจจริงๆ ใครบ้างจะไม่ดีใจที่ได้ยินคนที่ตนแอบหลงรักพูดออกมาแบบนี้
“แค่นี้ก่อนนะคะพี่วิน ไว้เจอกันวันที่น้ำตาลเปิดเทอมนะ”
เด็กสาวเอ่ยคำลาคนปลายสาย เกรงว่าค่าโทรศัพท์จะบานปลาย ถึงแม้เจ้าของบ้านจะรวยแค่ไหน เธอก็ไม่ควรใช้ของๆ เขานานจนเกินไป
“ไว้เจอกันครับ” อนาวินตอบกลับมาพร้อมกับวางสายไปเช่นกัน
“ป้าน้อยมีอะไรให้น้ำตาลช่วยไหมคะ” เธอเดินเข้ามาหาแม่บ้านสูงวัยอีกครั้งหลังจากวางสาย ยอมรับว่าไม่อยากอยู่เฉยๆ
“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูน้ำตาลไปนั่งดูทีวีเถอะค่ะ เดี๋ยวป้าทำเองดีกว่า”
“น้ำตาลไม่อยากอยู่เฉยๆ ค่ะป้าน้อย”
“งั้นหนูน้ำตาลชอบอ่านหนังสือไหมคะ ลองไปอ่านหนังสือดีกว่าค่ะ ห้องหนังสืออยู่ทางด้านโน้น” แม่บ้านสูงวัยแนะนำพร้อมกับชี้ไปทางห้องหนังสือใหญ่ซึ่งติดกับบริเวณห้องโถงกว้าง
“ที่นี่มีห้องอ่านหนังสือด้วยเหรอคะ?” หญิงสาวถามเสียงตื่นเต้น ด้วยความที่ชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เรียนชั้นประถม
“คุณโรมเธอชอบอ่านหนังสือแปล หนูน้ำตาลไปดูสิคะ”
“ค่ะป้าน้อย ขอบคุณนะคะ” ชาลิดากล่าวขอบคุณแม่บ้านสูงวัย แล้วเดินตรงไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายบอกไว้เมื่อครู่
ชั้นหนังสือใหญ่ที่เรียงรายกันตรงหน้าทำเอาชาลิดาตาโต สองเท้ารีบเดินตรงเข้าไปเลือกหนังสือนวนิยายแปลบนชั้นมาสองสามเล่ม ใช้เวลานั่งอ่านอยู่ในนั้นจนกระทั่งเผลอหลับไปหลายชั่วโมง ตื่นมาอีกทีก็เห็นนาฬิกาบนผนังห้องบอกเวลาที่เย็นมากแล้ว
“ป้าน้อยขา คุณโรมกลับมาหรือยังคะ” เด็กสาวเดินเข้ามาในครัวพร้อมเอ่ยถามหาเจ้าของบ้าน เธอไม่ได้อยากทำตัวเป็นภรรยารอสามีกลับมา แต่ก็ยอมรับว่าเหงาไม่น้อยที่ไม่มีเขาอยู่ด้วย
“ยังเลยค่ะ นี่ป้าก็ตั้งใจว่าจะขออนุญาตพาหลานสาวมาอยู่ด้วยสักพัก” แม่บ้านสูงวัยเล่าถึงสิ่งที่ตั้งใจว่าจะพูดกับเจ้านายหนุ่มในวันนี้
“หลานสาวป้าน้อยอายุเท่าไหร่คะ เป็นเพื่อนน้ำตาลได้หรือเปล่า”
“น่าจะรุ่นๆ เดียวกับหนูน้ำตาลนะคะ พอดีว่าแม่มันอยากจะดัดนิสัยลูกเลยส่งให้มาอยู่กับป้าชั่วคราว”
“ดีจังค่ะ หลานป้าน้อยจะได้มาเป็นเพื่อนกับน้ำตาล” ชาลิดาพูดด้วยน้ำเสียงยินดี อย่างน้อยก็จะได้คนที่อายุรุ่นราวเดียวกันมาเป็นเพื่อนแก้เหงา
“ไม่ได้หรอกค่ะ เป็นคนใช้จะเป็นเพื่อนกับเจ้านายได้ยังไง” หญิงสูงวัยร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินคำพูดของคนที่เปรียบเหมือนนายสาว
“น้ำตาลไม่ได้เป็นเจ้านายหรอกค่ะป้าน้อย” เธอบอกเสียงเบา คงไม่กล้าหวังสูงอะไรขนาดนั้น แค่ได้อยู่ที่นี่ ได้เรียนต่อก็ดีมากเท่าไหร่แล้ว
“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ ถ้าคุณโรมพามาอยู่ด้วยแบบนี้แสดงว่าต้องรักหนูน้ำตาลแหละค่ะ” นางพูดตามที่เห็น คฤหาสน์หลังนี้ใช่ว่าใครจะเข้านอกออกในได้ง่ายๆ
“น้ำตาลไม่พูดแล้วดีกว่า น้ำตาลช่วยนะคะป้าน้อย” ชาลิดารีบเปลี่ยนเรื่องกับคำว่า ‘รัก’ ที่ดูจะไกลเกินเอื้อมสำหรับเธอ แล้วกุลีกุจอเข้ามาช่วยแม่บ้านสูงวัยหั่นผักและหยิบจับเครื่องปรุงต่างๆ อย่างคล่องแคล่ว นี่เป็นสิ่งที่เคยชินเนื่องจากตอนที่อาศัยอยู่กับบิดามักทำแบบนี้ให้ขาไพ่ทุกวัน
กระทั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเป็นเวลาเดียวกันกับที่โรมานี่กลับมาถึงพอดี ชาลิดารีบเดินออกมาต้อนรับด้วยการส่งแก้วบรรจุน้ำเย็นไปให้ซึ่งเขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธน้ำใจ
“คุณโรมจะทานข้าวเลยไหมคะ ป้าน้อยตั้งโต๊ะใกล้เสร็จแล้ว”
“อืม ฉันก็กำลังหิวพอดี” โรมานี่พยักหน้ารับพลางปลดเนกไทลงและแกะกระดุมเสื้อเม็ดบนออก ร่างสูงใหญ่เดินไปหย่อนกายลงบนเก้าอี้ในบริเวณห้องอาหาร ซึ่งบนโต๊ะมีอาหารไทยหลายชนิด
หลังจากแม่บ้านสูงวัยตักข้าวใส่จานเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ต่างก็ก้มหน้าก้มตาสนใจจานข้าวของตนโดยไม่มีบทสนทนาแม้แต่คำเดียว
“เอ่อ...คุณโรมคะ ป้ามีเรื่องจะขออนุญาตคุณโรมค่ะ” เมื่อเห็นว่าผู้เป็นเจ้านายอิ่มแล้ว แม่บ้านสูงวัยก็ตัดสินใจขออนุญาตในสิ่งที่ตั้งใจด้วยน้ำเสียงเกรงใจอยู่ไม่น้อย
“เรื่องอะไรล่ะครับ?”
“คือว่าป้าจะขอให้หลานสาวมาพักที่นี่สักเดือนสองเดือนค่ะ”
“ตามใจสิ ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” โรมานี่พยักหน้ารับรู้ เห็นแก่ที่อีกฝ่ายทำงานที่นี่มานาน เขาเองก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร
“ขอบคุณค่ะคุณโรม” หญิงสูงวัยกล่าวคำขอบเจ้านายหนุ่มด้วยรอยยิ้มยินดี
“อิ่มหรือยังน้ำตาล ขึ้นห้องกันดีกว่า” คนหน้าไม่อายเอ่ยชวนต่อหน้าแม่บ้านสูงวัยจนเจ้าตัวหน้าแดงเป็นลูกตำลึง
“เอ่อ...ค่ะ” พอได้ยินคำตอบรับมือ หนาก็เอื้อมมือไปโอบรอบเอวคอด ก่อนจะรั้งให้เข้ามาใกล้ๆ เพื่อเดินขึ้นไปพร้อมกัน
“คุณโรมคะ น้ำตาลขอกลับไปหาพ่อบ้างได้ไหมคะ?” หลังจากเดินเข้ามาถึงในห้องชาลิดาก็เปิดปากขออนุญาตชายหนุ่มในเรื่องที่ตั้งใจ เธอรู้สึกคิดถึงผู้ให้กำเนิด
“ไม่ได้” โรมานี่สวนกลับมาทันควัน เขาไม่มีทางปล่อยให้เธอกลับไปในสภาพแวดล้อมแบบนั้นแน่
“ทำไมล่ะคะ น้ำตาลแค่คิดถึงพ่อ” เจ้าหล่อนถามกลับราวกับไม่เข้าใจ แค่ขอกลับบ้านมันดูวุ่นวายมากเลยหรือ
“ฉันรู้ว่าเธอคิดถึง แต่ฉันไม่ให้ไป” เขาไม่ได้จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ใจร้าย แค่หวังดีกับเธอที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ สถานที่แบบนั้นอย่ากลับไปเฉียดได้ยิ่งดี
“น้ำตาลไม่เข้าใจ น้ำตาลยังมีพ่ออยู่นะคะ คุณโรมคนใจร้าย” เด็กสาวตัดพ้อด้วยความเสียใจ ทำไมเขาต้องจำกัดอิสรภาพกันแบบนี้
“เธออยากกลับไปหาพ่อหรืออยากจะไปหาใคร อย่าคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องของเธอนะน้ำตาล” โรมานี่เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างเมื่อเธอทำตัวเป็นเด็กดื้อไม่เชื่อฟังกัน
“คุณโรมรู้หมายถึงอะไรคะ?” ชาลิดาถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ไอ้หน้าอ่อนข้างบ้านที่มันแอบชอบเธออยู่นั่นไง เธออยากกลับไปหามันใช่ไหม”
เขาตอบเสียงกร้าว ทุกวันนี้ยังสั่งให้คนไปคอยตามเฝ้าดูพฤติกรรมบิดาของเธอ และสิ่งที่ได้รับรู้มาเพิ่มเติมคือชายหนุ่มข้างบ้านแอบมาถามหาเจ้าหล่อนในระหว่างมาอยู่ที่นี่
“คุณโรมหมายถึงพี่วินเหรอคะ” สิ่งที่เขาพูดทำให้เธอถึงบางอ้อทันที
“อย่าพูดชื่อมันให้ฉันได้ยิน” เขาสั่งเสียงลอดไรฟัน รู้ว่ามันไม่มีทางเทียบกับตนเองได้แต่ก็ยังไม่อยากได้ยิน
“น้ำตาลขอโทษค่ะ ตกลงคุณโรมจะไม่ยอมให้น้ำตาลกลับไปหาพ่อจริงๆ ใช่ไหมคะ” ชาลิดาถามเสียงเศร้า
“ยังไม่ให้กลับตอนนี้ ถึงเวลาเมื่อไหร่ฉันจะเป็นคนพาไปเอง แล้วก็เลิกเซ้าซี้เรื่องนี้ซะที เข้าใจไหม”
พูดจบโรมานี่ก็ถอดเสื้อผ้าออก เปลือยกายต่อหน้าต่อตา มิหนำซ้ำยังเดินผ่านไปราวกับเป็นเรื่องปกติ กลับกลายเป็นเธอที่ยืนอ้าปากค้างด้วยอาการตกตะลึง พอได้สติจึงรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดตาเอาไว้
อึ๋ย! คนบ้า หน้าไม่อาย เดินโทงๆ ให้อะไรๆ มันแกว่งไปมาอยู่ได้
