บทที่ 2 คุณอาข้างบ้าน
“ไม่เป็นไรนะอาอยู่นี่แล้ว” มาโปรดกระซิบแล้วประคองเธอไปที่รถ เปิดประตูแล้วพยุงให้เธอขึ้นไปนั่งและปิดประตูให้
เขาวิ่งกลับมาที่ฝั่งคนขับ เห็นไพลินยังนั่งนิ่งอยู่จึงโน้มตัวไปช่วยคาดเข็มขัดนิรภัยให้ เสียงกริ๊กทำให้ร่างเล็กสะดุ้ง รู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ปะทะอยู่ใกล้ใบหน้า ทำให้เธอเผลอจ้องมองใบหน้าคมเข้มเปื้อนหนวดเคราบาง ๆ เขารู้ว่าเธอจ้องมองเขาอยู่จึงเผยรอยยิ้มขึ้น
“ไม่ได้เจอกันกี่ปีแล้วนะ”
มาโปรดขยับตัวไปประจำที่คนขับ ออกสตาร์ทพารถเคลื่อนออกไปอย่างระมัดระวัง แต่กระนั้นยังเหลือสายตาเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะข้าง ๆ เป็นระยะ
เขารู้จักกับเพลินหรือไพลินมาตั้งแต่เด็กคนนี้แค่เจ็ดแปดขวบที่แสนซุกซนชอบมุดรั้วหรือบางทีก็ปีนรั้วเตี้ย ๆ มาที่ไร่ของเขา
หนูน้อยเพลินในความทรงจำของเขาคือเด็กช่างพูด ช่างถาม ถามเสียจนไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ ตอนนั้นเขาอายุสิบแปด ตัดสินใจเรียนด้านเกษตรเพื่อพลิกฟื้นที่ดินกว่าห้าสิบไร่ แน่นอนว่าด้วยวัยแค่สิบแปดนั้นมันหนักหนาเกินไปสำหรับเด็กหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์ทุกอย่าง เขาจึงเลือกเรียนใกล้บ้านเพื่อที่จะได้สามารถเรียนและดูแลไร่ไปพร้อมกันได้
ครอบครัวของไพลินอยู่ที่ไร่เล็ก ๆ ติดกับเขา เขาได้พบเด็กหญิงจอมพลังในช่วงเวลาปิดเทอมเท่านั้น เพราะพ่อแม่ของเธอทำงานที่กรุงเทพฯ จะพาลูกสาวมาเยี่ยมตากับยายได้แค่ช่วงเวลานั้น จนเมื่อไพลินจบชั้นประถมฯ ก็กลับมาเรียนชั้นมัธยมฯ ที่นี่ เขาจึงได้รู้ว่าพ่อกับแม่ของเธอแยกทางกันและส่งเด็กน้อยกลับมาอยู่ในความดูแลของตาและยาย แต่ไพลินไม่เคยทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาหรือเรียกร้องความสนใจ เธอใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเรียบง่าย มีคุณตาขับรถกระบะเก่า ๆ ไปส่งที่โรงเรียนทุกวัน บางวันรถสตาร์ทไม่ติด เธอถือกระเป๋านักเรียนวิ่งมาหาเขาให้พาไปส่งที่โรงเรียน จนกระทั่งเธอเรียนจบชั้นมัธยมปลาย สอบติดมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ จึงย้ายไปเรียนที่นั่น หลังจากนั้นเขาเริ่มไม่ได้เจอเธอ นานนับปีจะพบกันสักครั้งจนไม่ได้เจอกันอีกเลย ได้แต่รับรู้เรื่องราวของเธอจากคุณตาและคุณยายข้างบ้านที่เขาแวะเวียนไปหาเป็นประจำเท่านั้น
รถฝ่าสายฝนมาถึงไร่รุ่งอรุณ ไพลินรู้สึกตัวตื่นในตอนที่เครื่องยนต์ดับลงและรถจอดสนิทพอดี เธอจ้องมองบ้านหลังใหญ่อย่างประหลาดใจ เหมือนไม่คุ้นเคยกับบ้านหลังนี้นัก เรียกว่าไม่ได้อยู่ในความทรงจำเลยเสียดีกว่า
มาโปรดมองท่าทางของหญิงสาวแล้วลอบยิ้ม
“บ้านอาเอง เพลินไม่ได้มาที่นี่หลายปี บ้านหลังเก่ารื้อไปแล้ว” เขาบอกแล้วโน้มตัวไปปลดเข็มขัดนิรภัยให้ เธอรู้ว่าเขาไม่ตั้งใจแต่ใบหน้าใกล้กันทำให้เธอรู้สึกแปลก ๆ เธอมองเขาลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประฝั่งเธอด้วยหัวใจที่เต้นผิดจังหวะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในความทรงจำของไพลิน ไร่รุ่งอรุณเป็นไร่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นขี้วัว และผู้คนที่พูดจาเสียงดังโหวกเหวก คนงานในไร่ล้วนเป็นแรงงานข้ามชาติทำให้เธอมักถูกดุที่แอบมุดรั้วมาที่ไร่แห่งนี้ เพราะทุกคนเป็นห่วงเธอ แต่เธอในตอนนั้นยังเด็กเกินกว่าจะคิดอะไรได้นอกจากหาเรื่องสนุกสนานเที่ยวเล่นกลับมองว่าคนพวกนี้ใจดีมีรอยยิ้มให้เสมอ
“เข้าไปข้างในก่อน ยืนอยู่แบบนี้เพลินจะไม่สบายเอา” น้ำเสียงของชายหนุ่มบ่งบอกถึงความเป็นคนที่ควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี
“ฉันขอโทษค่ะ” เธอส่ายหน้าอย่างงง ๆ “ที่นี่เปลี่ยนไปมาก”
“ฉัน?” มาโปรดเลิกคิ้ว แน่นอนว่าเขาคุ้นชินกับคำว่า ‘เพลิน’ มากกว่า แต่ก็ใช่สินะ เวลานี้เพลินของเขาเป็นสาวแล้วนี่
นึกแล้วใจหาย เพลินเป็นสาวแล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยตัวเล็ก ๆ แสนซุกซนที่เขาเคยให้ขี่คอเล่นอีกแล้ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า” น้ำเสียงของเขาดูสงบลงอีกครั้ง และแฝงด้วยความห่วงใย
“ฉัน...” เธออ้ำอึ้ง เรื่องที่เกิดขึ้นยังไม่ได้เล่าให้ใครฟัง มันรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทันด้วยซ้ำไป
เห็นดังนั้นมาโปรดก็ตัดบท ไม่อยากคาดคั้นกดดันอะไรหญิงสาวในตอนนี้
“ยังไม่ต้องตอบอะไรตอนนี้ก็ได้แต่เข้าบ้านกันก่อนเถอะ ตัวเปียก ๆ แบบนี้เดี๋ยวจะจับไข้”
ชายหนุ่มก้าวเท้ายาว ๆ สบายๆ ทว่ามั่นคง ประคองไพลินให้เดินตามเข้าไปในบ้าน เธอพยายามที่จะเดินให้ตรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทว่าแขนขาของเธอช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย คล้ายความเข้มแข็งที่มีมาหายไปหมดสิ้น ทันใดนั้นร่างของเธอทรุดฮวบลงไป
“เพลิน!” มาโปรดเรียกอย่างตื่นตระหนก รีบช้อนร่างเบาหวิวไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะล้มลงไปกองกับพื้น
แม่บ้านที่เห็นว่าเจ้านายเพิ่งกลับบ้าน จะออกมาคอยรับใจ เข้ามาเห็นก็อ้าปากกว้างด้วยความตกใจแต่ยังไม่ทันจะส่งเสียงร้อง เขาก็สั่งการน้ำเสียงเฉียบขาด
“ตามหมออนันต์มาด่วน”
“ค่ะพ่อเลี้ยง”
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ไพลินรับรู้ก่อนหลับตาลง ดื่มด่ำกับความสงบรอบข้าง ใบหูแนบแผ่นอกได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะมั่นคงที่ชวนให้ใจสงบ
เธอเหนื่อยล้าเกินกว่าจะฝืนทนต่อไปและต้องการพักผ่อนหลังจากที่ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตมาตลอดทั้งวัน
บางทีหากลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างอาจเป็นแค่ความฝัน
