ตอนที่ 1 หลันอ๋องแห่งเฉินซาน
ห้าเดือนก่อน ชายแดนหลันโจ เมืองจี้อัน
“ทูลท่านอ๋อง กองทัพของเมืองอู๋ตงล่าถอยไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“คิดว่าจะแน่สักแค่ไหน”
“เจ้าอย่าได้วางใจเสือซ่อนมังกรเร้นอย่างพวกอู๋ตง พวกเขาทำศึกเช่นนี้ย่อมมีจุดประสงค์แน่”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมประมาทพวกเขาไปเอง”
“เฉินฟ่านหรง” ท่านอ๋องแม่ทัพแห่งดินแดนบูรพาที่ยิ่งใหญ่ของ “เฉินซาน” เขาได้ชื่อว่าพยัคฆ์บูรพา ด้วยความเด็ดขาดในการควบคุมอีกสามแคว้นฝั่งตะวันออก เฉินซาน ฉีอัน และเซียงเหมิน เขตทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่และอุดมไปด้วยพืชพันธ์ุธัญญาหารที่อุดมสมบูรณ์
ทั้งสามแคว้นถูกกั้นด้วยแม่น้ำเหลียงซาน ซึ่งมีขนาดใหญ่ และแต่ละดินแดนก็ต่างไม่เคยก่อสงครามกันมานานแล้ว จนกระทั่งผลัดแผ่นดินในเมืองอู๋ตง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นฉีอัน
“ท่านอ๋องจะสั่งการอย่างไรต่อพ่ะย่ะค่ะ”
“รอก่อน… สั่งพลธนูซุ่มอยู่แถวนี้ ส่วนกองทัพแนวหลังให้ถอยห่างออกไปห้าลี้ พร้อมทำศึก”
""พ่ะย่ะค่ะ""
เหล่ารองแม่ทัพนายกองรับคำสั่งอย่างเคร่งครัด พวกเขาไม่เคยสงสัยในคำสั่งของท่านอ๋อง แม่ทัพที่เป็นเทพสงครามแห่งดินแดนบูรพา เพราะพระองค์ไม่เคยตัดสินใจพลาดเลยสักครั้ง ไม่นานเมื่อพวกเขาซุ่มดูอยู่ กองทัพของอู๋ตงก็เคลื่อนเข้ามาจริง ๆ ฟ่านหรงกระตุกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ
“เป็นอย่างที่คิด เฟิงจิ้ง! เอาลูกธนูมาให้ข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เฟิงจิ้ง” องครักษ์ข้างกาย รีบจัดเตรียมลูกดอกธนูให้กับท่านอ๋องทันที เมื่อเห็นกองทัพของศัตรูค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ สายตาที่เฉียบคมประดุจพญาอินทรี จดจ้องไปยังแม่ทัพที่อยู่บนหลังอาชา เกราะสีเงินของข้าศึกยังเด่นชัดแม้จะมองอยู่ไกล ๆ
“ท่านอ๋อง! เป็นกองทัพเล็ก น่าจะเป็นของแม่ทัพเมืองอู๋ตง ดูจากจำนวนแล้ว คงจะไม่เกินสามร้อยพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังไม่ต้องสั่งยิง พากองทัพมาแค่นี้คิดจะทำอะไรกันแน่ จะหลอกล่อให้พวกข้าเข้าไปในถิ่น แล้วจะจับกินงั้นหรือ เช่นนั้นก็ลองดูหน่อยว่า หากพวกเจ้าขาดแม่ทัพแล้ว กองทัพน้อย ๆ นี้จะยังต้านศึกได้อีกหรือไม่”
เกาทัณฑ์ถูกน้าวสาย เมื่อจับจ้องไปยังแม่ทัพ ที่ขี่อาชาคู่ใจนำทหารที่เหลือ เข้ามาในสนามรบเพราะคิดว่ากองทัพของเฉินซานยอมแพ้
“ในเมื่อพวกเจ้าหาเรื่องหลอกล่อพวกข้าก่อน เช่นนั้นข้าก็จะไม่ไว้หน้าสุนัขลอบกัดเช่นพวกเจ้า”
“ฟิ้ว…”
“ฉึก!”
ลูกศรสีเงินพุ่งตรงเข้าเป้าหมาย เฉียดไปเพียงเล็กน้อยที่ไม่โดนหัวใจเพราะคนผู้นั้นเบี่ยงตัวออกจากจุดหมายไปเพียงลัดนิ้วมือ แต่ลูกธนูก็ยังยิงไปโดนอกด้านขวาของแม่ทัพอู๋ตงล้มลงไปทันที
“ท่านแม่ทัพ! เร็วเข้า อารักขาท่านแม่ทัพ!”
ไม่นานเกินรอ ก็ได้ยินเสียงสัญญาณ และธงบอกสั่งให้กองทัพที่เหลือล่าถอยออกไป เฉินฟ่านหรงกระตุกยิ้มอย่างพอใจ ที่ครั้งนี้ไม่ต้องเสียกำลังพล เพราะข้าศึกเป็นฝ่ายถอยออกไปเอง
“ยอดไปเลย! พวกมันล่าถอยไปเอง ท่านอ๋องทรงพระปรีชายิ่งแล้ว”
“พระองค์สมเป็นเทพหัตถ์ธนูโดยแท้”
“หึ… สั่งให้คนเฝ้าเอาไว้ให้ดี อย่าได้ประมาทศัตรู”
""พ่ะย่ะค่ะ""
สิบวันถัดมา / ค่ายบูรพา / ชายแดนหลันโจว
เมื่อเข้ามาถึงค่ายทหาร เฉินฟ่านหรงก็เข้ามาดูแผนการศึกอีกครั้ง เขาไม่รู้เลยว่า แคว้นฉีอันต้องการอะไรกันแน่ ที่นำทัพมาบุกรุกดินแดนของเฉินซาน แต่บุกไม่นานก็ล่าถอยกลับไป เป็นแบบนี้มาแล้วสองครั้ง หากไม่นับสิบก่อน ที่เขารอดักซุ่มเพื่อจัดการแม่ทัพใหญ่ของเมืองอู๋ตง
“พวกเขาต้องการสิ่งใดกันแน่ เหตุใดจึงพาไพร่พลมาตายเช่นนี้”
“ท่านอ๋อง รายงานด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
“จากไหน”
“กองทัพของข้าศึกพ่ะย่ะค่ะ”
“มีอะไร”
“สาส์นขอสงบศึกพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ!”
“ฉีอันส่งทูตมาเพื่อขอเจรจาสงบศึกพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้พวกเขาเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินฟ่านเดินไปที่ห้องถัดไปในกระโจม เขานั่งลงที่โต๊ะเพื่อรอพบกับทูตของฉีอัน ซึ่งมากันสี่คน หนึ่งในนั้นเหมือนจะเป็นแม่ทัพใหญ่ของอู๋ตง แต่น่าจะไม่ใช่คนที่เขายิงธนูใส่เมื่อหลายวันก่อน
“ถวายบังคมท่านอ๋อง”
“พวกท่านมีสิ่งใดจะพูดก็รีบบอกมาเถอะ ข้าไม่มีเวลามาก”
ทูตเจรจาของพวกเขา เป็นคนที่เดินออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม และยื่นหนังสือซึ่งเหมือนกับราชโองการส่งมาให้เฟิงจิ้ง เขาส่งมอบต่อให้ท่านอ๋องอีกครั้ง ต่อหน้าทุกคน
“อย่างที่ทราบแล้วว่า เมืองอู๋ตงยอมแพ้สงคราม ดังนั้นจึงอยากจะส่งหมายยอมสวามิภักดิ์มาให้ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ พวกเจ้าเป็นฝ่ายเปิดฉากสงครามดินแดนนี้ แต่จู่ ๆ ก็บอกว่าขอยอมแพ้ แม้แต่อะไรก็ไม่ต่อรอง เช่นนั้นข้าอยากจะทราบว่า เหตุใดจึงต้องทำศึกกับเฉินซานด้วย”
“ทูลท่านอ๋องตามตรง ฉีอันพึ่งผลัดแผ่นดิน ฝ่าบาททรงประชวรจึงเกิดศึกภายในรอบด้าน มิอาจรวมแผ่นดินได้ ที่จริงแคว้นฉีอัน มิได้มีจุดประสงค์ที่จะทำศึก แต่เป็นเพราะท่านอ๋องอวี้ ซึ่งเป็นพระอนุชาของฝ่าบาท ได้ก่อศึกไปทั่ว ดังนั้น…”
“จึงมาโจมตีเฉินซาน เพื่อยืมมือข้าบุกโจมตีเมืองหลวง ให้ข้าเป็นฝ่ายจัดการฮ่องเต้องค์ใหม่ของฉีอัน แทนกบฏอย่างเขาสินะ”
“กระหม่อมมาเข้าเฝ้าพระองค์ในวันนี้ ก็หมายที่จะอธิบายเรื่องการศึกนี้ด้วยตนเอง ควรมิควรแล้วแต่จะพิจารณาพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินฟ่านหรงเริ่มเข้าใจสถานการณ์นี้แล้ว ก่อนหน้านี้เขาก็ทราบเรื่องกบฏภายในเมืองอู๋ตงเช่นกัน แต่ไม่คิดว่าจะลุกลามมาถึงดินแดนที่เขาดูแล เมื่ออ่านในสัญญาสงบศึก กลับพบบางอย่างที่น่าสนใจ
“อะไรนะ ส่งมอบตัวองค์หญิงของแคว้น เพื่อเป็นองค์ประกัน ขอเจรจาสงบศึกครั้งนี้งั้นหรือ”
คณะทูตและเหล่าแม่ทัพ ต่างก็ไม่กล้าสบพระเนตรที่ดุดันของหลันอ๋องที่ตรัสถาม เรื่องนี้เป็นการสรุปกันภายในราชสำนัก ก่อนที่จะส่งมอบให้เขา
“แล้วข้าจะเอาตัวองค์หญิงต่างแคว้นผู้นี้มาทำไมกัน เหตุใดพวกท่านจึงไม่ยอมยื่นเงื่อนไขอื่น”
“คือว่า… ศึกภายในยังไม่สงบ อีกอย่างฝ่าบาทเองก็ยังพระอาการไม่สู้ดี ดังนั้นเรื่องข้อตกลงอื่น ๆ จึงยังมิสามารถ…”
“อ้อ… ที่แท้มิได้ส่งมอบมาเฉย ๆ แต่จะฝากให้ข้าเลี้ยงสินะ”
“พวกเจ้าบังอาจเกินไปแล้ว!”
“มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อเฟิงจิ้งตะคอกใส่ ทูตของอู๋ตงก็รีบคุกเข่าก้มหน้าในทันที แต่เฉินฟ่านหรงมองการณ์ไกลกว่านั้น หากว่าพวกเขากล้าส่งตัวองค์หญิงของตัวเองมาเช่นนี้ นั่นก็แสดงว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ ค่อนข้างจะเป็นห่วงองค์หญิงผู้นี้ อีกอย่างมิใช่เรื่องดี ที่เฉินซานจะเป็นต่อในเรื่องการค้าระหว่างแคว้นหรอกหรือ
“ยกเลิกภาษีระหว่างแคว้น สัญญาสงบศึกสามสิบปี แล้วพาตัวองค์หญิงของเจ้ามาที่นี่ภายในเวลาเจ็ดวัน”
“ระ รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบดำเนินการ ตามพระประสงค์ของท่านอ๋องทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินฟ่านหรงตกลงทำสัญญากับฉีอัน ที่อุดมไปด้วยพืชผลทางการเกษตร หากว่างดจ่ายภาษีระหว่างแคว้นได้จริง ๆ นั่นก็จะเป็นผลดีสำหรับเมืองหลันโจวของเขา ที่มีแต่เหมืองแร่เหล็กและทองคำ แต่กลับทำการเกษตรได้ไม่ดีเท่ากับฉีอัน
“องค์หญิงงั้นหรือ เฟิงจิ้ง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ส่งข่าวไปที่หอหรงเยว่ ให้น้องเก้าสืบข่าวในอู๋ตงมาให้ข้าอย่างละเอียด ข้าอยากจะรู้ทุกเรื่องรวมถึงเรื่องขององค์หญิงสาม “หยางอิงหยุน” ที่กำลังจะถูกส่งมาที่หลันโจวผู้นี้ด้วย”