๕ งานแต่ง (๓)
“หึ พิธีจะเริ่มแล้ว” เขาบอกเช่นนั้นแล้วเริ่มเดินเข้ามาในงานเมื่อพิธีกรเรียกบ่าวสาว
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นไม่มีปัญหา เค้กสูงเก้าชั้นถูกตัดแล้วแจกจ่ายให้คนในงานได้รับประทาน ดูเหมือนคนที่กินเยอะสุดคงไม่พ้นเจ้าสาวคนสวย เขาเองก็คอยเตือนไม่ให้กินเยอะเกินไป เพราะเจออะไรก็หยิบเข้าปากตลอด แล้วก็มาบ่นน้ำหนักขึ้นไม่รู้ว่าจะปลอบอย่างไร
กินขนาดนี้ไม่ขึ้นสิแปลก...
“นายใส่ซองหรือยัง!” เดินเข้ามาหาแสงเหนือที่กำลังรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย หรี่ตามองจนเพื่อนสนิทต้องทวงสัญญาที่จำได้ไม่ลืม
“ใส่ทำไม เธอบอกว่าจะเว้นให้ฉันไม่ใช่เหรอถ้าช่วยเรื่องพี่ปี”
“อุ้ย จริงด้วย...ยังจำได้อีกนะ แต่ถ้าหลานเกิดนายต้องเปย์ให้เยอะเข้าใจไหม หลานของนายเลยนะ” หล่อนลูบหน้าท้องแล้วตบที่บ่าแกร่ง พอเห็นอย่างนั้นเขาก็ทำได้แค่พยักหน้าเข้าใจ ไม่โต้ตอบอะไรแล้วยังตามใจเธออีก
“ครับคุณดรุณี กระผมจะเปย์หลานให้หมดตัวไปเลย”
“ไปหาพี่ปีดีกว่า” พูดคุยกับเพื่อนจนพอใจแล้วก็หยิบขนมแล้วเดินไปหาสามีที่กำลังคุยอย่างออกรสกับเพื่อนร่วมรุ่นที่ต่างประเทศของตัวเอง ค่อยขอตัวเมื่อเห็นภรรยาเดินเข้ามาใกล้ แล้วเริ่มเดินทักทายแขกโต๊ะอื่นจนเห็นดรุณีเริ่มปวดขา ถึงได้พาเธอไปนั่ง
“พี่ปีเหนื่อยไหม หิวหรือเปล่า กินอะไรรองท้องหน่อยไหมคะ เน่ว่าขนมเขาอร่อยดีนะ ไม่หวานเลี่ยนเกินไปด้วย กัดสักคำ...กัดเร็วค่ะให้ได้ภาพหวานหน่อยเถอะ” ยื่นขนมไปตรงหน้าเขา ท้ายประโยคบอกเสียงเบาเมื่อหางตาเห็นว่าช่างภาพกำลังเก็บบรรยากาศระหว่างเราเอาไว้
“หึ ว่าแล้วเชียว” ยกยิ้มมุมปากอย่างรู้ทันว่าที่เธอหวานเช่นนี้เพราะต้องการภาพแสนสวยนั่นเอง แต่เขาก็กัดขนมด้วยความหิว
“อร่อยไหม”
“อร่อยดี” พยักหน้าแล้วชมรสชาติของขนมที่พ่อครัวรังสรรค์ พอได้ยินคำชมของเขาก็กัดคำโตแล้วก็เบิกตากว้าง
“อื้อ อร่อยจริงด้วย เดี๋ยวเน่ไปเอามาให้อีกนะ” ลุกจากเก้าอี้ไปเอาขมมมารับประทาน โดยมีดวงตาคมมองตามแผ่นหลังของเจ้าสาวที่วิ่งดุ้กดิ้กเข้าหาขนมเหมือนเด็ก
“หึ”
นี่เขาได้เมียหรือลูกสาวกันแน่นะ...
การใช้ชีวิตในฐานะภรรยาของปีแสงไม่ลำบากสำหรับเธอเลยสักนิด ห้องนอนของเขาเปลี่ยนเป็นเรือนหอของเรา เพิ่มตู้เสื้อผ้าของหล่อนแล้วขยายห้องให้กว้างขึ้น จากที่อยู่คนเดียวก็มีหญิงสาวมาแชร์พื้นที่ ตอนแรกไม่ค่อยชินแต่ผ่านมาเดือนกว่าแล้วก็เริ่มชินกับการมีดรุณีคอยคุยอยู่ข้างหูตลอดเวลา
บ้านเคยจืดชืดเหมือนบ้านตัวอย่างก็เริ่มมีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยแจกันดอกไม้อย่างที่หญิงสาวชอบ ห้องนอนของเขาเคยสีทึบก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นโทนสว่างขึ้น แล้วเขาก็ไม่ได้ปรับตัวอะไรมากนัก นอกจากเรียนรู้นิสัยช่างอ้อนเหมือนแมวของหล่อน ชอบคลอเคลียตลอดเวลาแล้วยังหมั่นบอกรัก ซึ่งเขาไม่ค่อยชินเท่าไหร่
ชายหนุ่มค่อนข้างแข็งทื่อ กับแฟนคนก่อนก็ไม่ได้ยินคำรักบ่อย ลันตาไม่ค่อยอ้อนเท่าไหร่แต่ใส่ใจด้วยการทำให้เห็นมากกว่า เขาจึงชินที่หล่อนพึ่งพาตัวเองได้โดยบางครั้งไม่ต้องมีเขาก็ได้ ถึงมุ่งทำงานหนักเพื่อสร้างผลงาน หันมามองข้างกายอีกทีเธอก็ไม่อยู่ด้วยกันแล้ว
ผู้หญิงสองคนต่างกัน...แต่สิ่งที่เหมือนกันคือความรักที่มีให้เขา
“พี่ปีเดี๋ยวก่อนนน” กำลังจะก้าวเท้าออกจากบ้านเพราะมีประชุมเช้า กลับถูกเธอรั้งเอาไว้เสียก่อน กำลังจะเอ่ยถามก็ถูกยัดแซนวิชเข้าปากคำโต เล่นเอาพูดอะไรไม่ได้ต้องเคี้ยวอย่างเดียวแล้วกลืนลงคอ จ้องภรรยาตาไม่กระพริบ
“อะไร พี่รีบ...งั่ม”
นี่เธอจะฆ่ากันหรือไง!
“แซนวิชสักคำนะคะ แล้วก็กาแฟร้อนค่ะ จะปล่อยให้ท้องว่างตอนเช้าไม่ได้สิ ส่วนนี่สูทตัวนี้จะสุภาพมากกว่า สีเข้ากับเชิ้ตแล้วก็เนกไทพี่ด้วย ลองเปลี่ยนไหมคะ” ยื่นแซนวิชที่ใส่ไว้ในกล่องและกาแฟใส่แก้วน้ำสุญญากาศพร้อมปิดฝาให้เขาเรียบร้อย ยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่ายเพื่อให้รับประทานระหว่างไปบริษัท ทานที่บ้านคงจะไม่ทันแล้ว
“ขอบคุณครับ” เอ่ยขอบคุณแล้วกำลังจะก้าวขึ้นรถ กลับถูกหล่อนคว้าแขนไว้แล้วเขย่งปลายเท้า จุมพิตที่ปากหนาได้รูปแล้วผละออก
“จุ๊บ รีบกลับนะคะเน่จะรอ” เขาอึ้งไปชั่วขณะแล้วพยักหน้ารับคำ ก่อนขึ้นรถขับออกจากบ้าน มีภรรยาโบกมือลาแล้วมองจนรถลับตา ค่อยเดินเข้าไปในบ้านเพื่อเริ่มทำงานของตัวเองบ้าง
ลัคกี้อินเลิฟแล้วก็ต้องลัคกี้อินเกมบ้าง...
กลับมาถึงบ้านในช่วงค่ำที่ฟ้ามืดสนิท สูทถูกถอดออกแล้วพาดไว้ที่แขน เนกไทก็เช่นเดียวกัน มองไปรอบบ้านไม่เห็นใครสักคน กระทั่งแม่บ้านเดินออกมารับเจ้านาย จึงยื่นเสื้อสูทและเนกไทให้อีกฝ่าย ก่อนถามถึงภรรยาที่คิดว่าจะออกมาต้อนรับเสียอีก
หล่อนหายไปไหน...ปกติแค่เข้ามาในบ้านก็จะได้ยินเสียงมาก่อนตัวอีก
“เนเน่ล่ะ”
“คุณเน่กำลังจัดห้องค่ะ” พอได้ยินเช่นนั้นก็ต้องชะงัก
