2
“รมิดา ถึงบ้านแล้ว” อาชาเขย่าแขนเด็กสาวที่นอนหนุนตักเขามาตลอดทาง...เพราะนึกเวทนาหรอกนะ เห็นหลับคอพับคออ่อนจึงได้จับให้นอนหนุนตักสบาย ๆ สาบานว่าไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ
“อื้อ...ขออีกแป๊บนึงค่ะ” เสียงอู้อี้ งัวเงียต่อรอง แล้วมุดหน้าไถลลงซุกตักกว้างจน เจ้าของตักถึงกับเกร็งกล้ามเนื้อขึ้นโดยอัตโนมัติ....ยัยเด็กบ้าเอ้ย..เดี๋ยวเถอะ หาเรื่องเจ็บตัวแท้ ๆ พ่อเลี้ยงกัดฟันกรอด ข่มความรู้สึกบางอย่างที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ
“รมิดา...ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ !...” เสียงดังราวฟ้าผ่า ทำให้สาวน้อยกระเด้งตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ส่วนนายชัย ลูกน้องคนสนิทถึงกับอมยิ้มกับภาพที่เห็น ตกลงพ่อเลี้ยงไปรับเมียหรือลูกสาวมาอยู่ด้วยกันแน่วุ้ย...แต่แล้วก็ต้องรีบหลบตา เมื่อเจอกับสายตาอำมหิตที่มองมาอย่างเอาเรื่อง
“หนู...ขะ...ขอโทษค่ะ” รมิดา ละล่ำละลักยกมือไหว้ ปะหลก ปะหลก แค่วันแรกหล่อนก็ทำให้เขาโกรธเสียแล้ว ทั้งที่ในจดหมายนั้นคุณป้าย้ำนักหนาให้ทำตัวดี ๆ ห้ามทำให้พ่อเลี้ยงไม่พอใจเด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้นเขาอาจจะขายหล่อนให้คนอื่นเพื่อถอนทุนคืนก็ได้...หรือถ้าโชคร้าย อาจจะโดนขายต่อ ๆ ไปไม่สิ้นสุด ทางที่ดีควรจะทำตัวดี ๆ ตามใจพ่อเลี้ยงให้เขาเมตตาเอ็นดู อย่างน้อยมีผัวคนเดียวก็ยังดีกว่ามีผัวนับไม่ถ้วน ...เด็กหัวอ่อนอย่างรมิดา ได้อ่านข้อความเหล่านั้นซ้ำ ๆ ถึงได้กลัวจับจิต เชื่ออย่างสนิทใจ
อาชารับกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมของเด็กสาวมาถือไว้เอง และอนุญาตให้ลูกน้อง กลับไปพักผ่อน เพราะดึกมากแล้ว ก่อนจะเดินนำสาวน้อยเข้าบ้านไม้หลังใหญ่ รมิดาเดิน ตามเขาไปติด ๆ ถึงแม้เขาจะแลดูดุและน่ากลัวเพียงใด แต่ยามค่ำคืนอันน่าวังเวงแบบนี้อย่างอื่นน่ากลัวกว่าหลายเท่า.....บรื๋อ.....
ระหว่างเดินขึ้นบันไดไม้สักเพื่อไปยังห้องพัก รมิดาสอดส่ายสายตามองล่อกแล่ก บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้สัก สวยก็จริงแต่เครื่องเรือนหลายชิ้นที่เป็นไม้ออกแนวโบราณ ไม่รู้ว่าของเก่าจริง ๆ หรือว่าแค่ทำเลียนแบบของโบราณเท่านั้น ในบ้านหล่อนไม่เจอใครสักคน และที่หนักกว่านั้นคือบ้านนี้ กว้างขวางจนน่าวังเวง..... ชายหนุ่มหน้าดุ พาหล่อนมาหยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปแล้วหันมาพูดกับคนที่เดินตามหลังมาต้อย ๆ
“เธอเข้าไปนอนห้องนี้ก็แล้วกัน” เขาออกคำสั่งเสียงราบเรียบพร้อมกับยื่นกระเป๋าส่งให้
“แล้ว.....แล้วคุณล่ะคะ” เด็กสาวเงยหน้ามองอย่างสงสัย ดวงตากลมโตเผยแววกังวล จนเจ้าตัวเผลอเกาะลำแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ของเขาเอาไว้แน่น เมื่อมองเข้าไปในห้องเห็นว่ามีเตียงไม้สักตัวใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง โต๊ะเครื่องแป้งแกะสลักเสลาสวยงาม กับกระจกเงาบานใหญ่เข้าชุดกัน ถึงแม้จะดูสวยเลอค่า แต่ก็อดที่จะนึกถึงหนังผี ที่มีเจ้าของเก่าสิงอยู่กับเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่าแก่ไม่ได้ ดีไม่ดี ตอนดึก ๆ เจ้าของเก่าอาจจะออกมานั่งแปรงผมยาวสยายอยู่หน้ากระจกก็ได้ ยิ่งจินตนาการก็ยิ่งสยอง แรงยึดที่แขนยิ่งแน่นขึ้นอีก ถึงเขาจะดุแต่ยังไงก็เป็นคนเหมือนกันอุตส่าห์พามาถึงที่นี่คงไม่คิดฆ่าแกงได้ลงคอ อย่างน้อยก็น่าจะพูดกันง่ายกว่าผี ขนแขนพากันลุกเกรียว ใจคอไม่ดีแค่นึกว่าจะต้องนอนในห้องนี้คนเดียว รมิดาก็สยองจนขนหัวลุกหมดแล้ว
พ่อเลี้ยงหนุ่ม หันมามองเด็กสาวที่เกาะแขนแน่นหนึบราวกับตุ๊กแก ก็ให้สงสัยในเจตนาของแม่ตุ๊กตาตัวน้อย ว่าจะมาไม้ไหนอีกหลังจากทำเหมือนแกล้งมุดหน้าซุกตัก จนเจ้าอาชาน้อยตกใจตื่นมาแล้ว....จอมมารยาจริงนะ นางมารน้อย.....ริอาจจะมายั่วยวนด้วยสกิลเบสิกหรือไง
“เอ่อ...คุณพักที่ห้องไหนหรือคะ” รมิดามือไม้เย็นเฉียบ แต่ก็ยังยึดแขนคนตัวโตไว้แน่น เอ่ยถามตะกุกตะกัก รู้ตัวว่าสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ชายตรงหน้าไม่น้อย ตั้งแต่เจอกันยังไม่เห็นเขายิ้มเลยสักนิด มีหน้าเดียวจริง ๆ แต่จะทำอย่างไรได้ หล่อนกลัวจนขนลุกไปทั้งตัวแล้ว นาทีนี้เขาจะดุ จะด่าหล่อนยอมหมด ขอเพียงไม่ต้องนอนหลอนคนเดียวในห้องนี้ก็พอ
“ห้องฉันอยู่ทางโน้น ถามทำไม...อยากไปนอนด้วยกันหรือไง” พ่อเลี้ยงอาชายิ้มเหยียด สีหน้าแววตาบ่งบอกว่าดูถูกดูแคลนปนเยาะด้วยซ้ำ น้ำเสียงแสดงความหงุดหงิดออกมาชัดเจน พลางชี้มือไปอีกฟากหนึ่งของตัวบ้าน
“ห๊า......หะ......ให้หนูไปนอนด้วยคนนะคะ หนูนอนพื้นก็ได้ค่ะ” นึกว่าเขาอาจจะอยู่ห้องใกล้ ๆ บางทีหล่อนอาจจะทำใจกล้า หลับหูหลับตานอนคนเดียวก็ได้ แต่นี่...ดวงตากลมโตที่เริ่มมีน้ำใสเอ่อคลอ ช้อนมองเขาด้วยสายตาวิงวอน ในขณะที่มือบางยื่นมาเกาะแขนของเขาทั้งสองข้างเขย่าอย่างเผลอตัว ...และเกาะแน่นหนึบเข้าไปอีก...รมิดาจะไม่ปล่อยเด็ดขาด เป็นไงเป็นกัน......หล่อนนั้นได้ชื่อว่ากลัวผีจนขึ้นสมอง ขนาดหนังผี ละครผี หล่อนยังไม่กล้าดูเลย
พ่อเลี้ยงอาชา เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ เขาอุตส่าห์เลือกห้องที่ไกลจากห้องของเขาคนละฟากฝั่ง ก็เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหล่อนเอง แต่ทำไมยัยเด็กนี่ถึงขอไปนอนห้องเดียวกับเขาเฉยเลย ไม่ได้กลัวเขาเหมือนที่แสดงออกก่อนหน้านี้สักนิด….และที่เป็นอยู่นี่กำลังแสดงว่ากลัวอยู่หรือเปล่า...แม่คุณเอ้ย.......
“รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา” พ่อเลี้ยงหนุ่มเค้นถามเสียงลอดไรฟัน สายตาดุดันที่จ้องมองมาราวกับจะจับหล่อนหักคอในนาทีข้างหน้านี้แหละ
“เอ่อ...ค่ะ....” รับคำเบาแสนเบาพร้อมกับก้มหน้างุด จะให้ตอบว่ายังไง ในเมื่อหล่อนกลัวผีจนขึ้นสมอง และอีกอย่าง ไหน ๆ หล่อนก็ต้องมาเป็นเมียเขาอยู่แล้ว จะนอนห้องเดียวกันหรือคนละห้อง ก็ไม่แตกต่างกันนักหรอก….รมิดายอมจำนนต่อคำสั่งในจดหมาย ที่ผู้เป็นป้าเขียนสั่งไว้และไม่คิดว่าตัวเองจะเอาตัวรอดไปได้อย่างไร ถึงรอดไปได้หล่อนจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกกว้างนี้อย่างไร เป็นเรื่องที่หล่อนไม่เคยคิด
