๖ ปรับตัว (๒)
“ออกไปข้างนอกกัน” คว้ามือเล็กเอาไว้แล้วใช้แรงดึงให้ตามมาจนคนที่รู้สึกเหมือนโดนลักพาตัวตกใจสะบัดมือออก
“ไปไหน ฉันไม่ไป” ปฏิเสธทันควัน
“ต้องไป ไม่อย่างนั้นไอ้ธีมันได้ด่าฉันเช้าเย็นแน่”
เห็นร่างสูงหัวเสียก็เกิดสงสัย
“ช่างนายสิ ฉันไม่ไป ไม่ไปไหนทั้งนั้น” เห็นร่างเล็กดื้อดึงและเขาก็ไม่อยากเสียเวลาชวนทะเลาะด้วยจึงตัดสินใจอุ้มเธอพาดบ่าแม้จะมีเสียงโวยวายดังขึ้นก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ดวงตากลมโตมองรถยนต์เบื้องหน้าหยุดร้องชั่วขณะกระทั่งโดนยัดเข้ามานั่งเบาะข้างคนขับ
“ถ้าร้องออกมาฉันจูบเธอแน่ นี่รองเท้าเอาไปใส่ซะ” เขาโยนรองเท้ามาให้จนมันหล่นบนตักจึงเอามาสวม
เอะอะก็จับจูบท่าเดียว ทำเอาบุลลานั่งกอดอกหน้าบึ้งถึงอยากถามใจจะขาดว่าเขาไปเอารถใครมาขับก็เก็บเงียบ ระหว่างทางก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแต่ก็อดสำรวจรถยนต์สัญชาติยุโรปไม่ได้ เธอไม่เคยเห็นมาก่อนและแน่นอนว่าคงไม่ใช่รถของชลธีหรือว่าจะเป็นรถพณณกร
ไม่มีทาง..แค่ค่าสินสอดยังต้องหายืมจะไปมีรถคันหรูแบบนี้ได้ยังไง ปัดข้อนี้ทิ้งได้เลย
“มีอะไรจะถามฉันหรือไง” คนขับเอ่ยถามพลางเหลือบมองใบหน้าหวานที่คิ้วขมวดจนเป็นปม
“เปล่าสักหน่อย แล้วนายจะพาฉันไปไหน” จากเส้นทางที่รถเคลื่อนตัวไปก็คาดได้ว่าอาจเข้าไปในตัวอำเภอหรือไม่ก็คงเข้าจังหวัด
เดี๋ยวก่อน..แล้วนั่นไม่ใช่คำถามหรือไง อุตส่าห์จะไม่พูดกับเขาอยู่แล้วเชียวเผลอจนได้นะบุลลา
“ถึงแล้วก็รู้เองนั่นแหละ” เห็นเขาตอบแบบขอไปทีจึงเบือนหน้าหนี ดีที่ชุดของเธอยังดูสุภาพอยู่บ้างไม่อย่างนั้นคงได้กางเล็บข่วนหน้าเขาที่อุ้มออกมาทั้งสภาพอย่างนี้
แต่เดี๋ยวก่อน! เธอไม่ได้แต่งหน้า มือเล็กยกขึ้นมาจับใบหน้าทันที เธอจะดูโทรมหรือเปล่า
คิดอย่างกังวลก่อนพาหนะจะจอดยังหน้าที่ว่าการอำเภอ
“ลงไปได้แล้ว ทำหน้างงอยู่นั่นแหละ” ร่างสูงเอี้ยวตัวไปหยิบเอกสารที่เบาะด้านหลังแล้วลงจากรถ ปล่อยให้หล่อนนั่งกัดฟันกำมือห้ามอารมณ์ไม่ให้ไปเตะปากที่เต็มไปด้วยสุนัขของผู้ชายคนนั้น
ปวดไปทั้งตัวยังพามาตะลอนอีก ไม่สำนึกเลยว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้เธอต้องมาเผชิญชะตากรรมแบบนี้ ร่างบางเดินกระแทกเท้าลงพื้นตามหลังคนตัวสูง ทว่าก็ต้องเดินปกติเพราะอาการปวดตัวซ้ำต้องระวังทุกย่างก้าวอีกด้วย
พณณกรนำมายังห้องของปลัดอาวุโสท่านหนึ่งที่รู้จักกัน เขานั่งลงตรงหน้าท่านพร้อมกับบุลลาที่ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม หล่อนหันมามองสามีไม่แน่ใจว่ากำลังจะทำอะไร
“เอกสารพร้อมแล้วใช่ไหมครับ”
ชายหนุ่มพยักหน้ายื่นซองสีน้ำตาลให้ทันทีพอเปิดออกมาก็เป็นเอกสารซึ่งทางราชการกำหนดไว้ ท่านปลัดพยักหน้ายิ้มก่อนจะเปิดลิ้นชักดึงกระดาษสองใบยื่นต่อหน้าสามีภรรยา
“ใบทะเบียนสมรส” อ่านแล้วเบิกตากว้างไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพามาจดทะเบียนโดยไม่บอกกล่าวสักนิด รีบหันไปมองหน้าเขาที่กำลังหยิบปากกาจะเซ็นชื่อลงไป
“เดี๋ยวก่อน!” หล่อนรีบคว้ามือเขาเอาไว้ทันที ความไม่แน่ใจเอ่อล้นขึ้นมา เธอไม่คิดว่าเขาจะจริงจังถึงขั้นมาจดทะเบียนสมรสแบบนี้
“นายแน่ใจเหรอ” ระหว่างเขาและเธอไม่มีความรักอยู่เลย และการจดทะเบียนก็ถือเป็นเรื่องสำคัญของผู้หญิง เธอจะกลายจากนางสาวเป็นนางอย่างสมบูรณ์แบบ จนเกิดความลังเลว่าพร้อมจะรับสถานะนั้นแน่หรือ ใบหน้าหวานมีแวววิตก
จนคนตัวโตต้องจับมือเอาไว้
“ฉันแน่ใจแล้ว เชื่อฉันนะ” เพียงแค่คำพูดประโยคเดียวและสายตาเด็ดเดี่ยวทำเอาใจที่แกว่งไหวสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ เธอค่อยๆ ปล่อยมือออกจากเขาแล้วพยักหน้าเบาๆ
“แต่บัวขอไม่เปลี่ยนนามสกุลได้ไหมคะ” เอ่ยขอร้องกับปลัดอาวุโส ซึ่งพยักหน้าให้ แค่เปลี่ยนเป็นนางก็ลำบากใจอยู่แล้วถ้าให้ไปใช้นามสกุลเขา เธอได้เป็นลมพอดี แม้จะไม่มองก็รู้ว่าคนอย่างพณณกรคงมีนามสกุลไม่เลิศหรูหรอก
ชายหนุ่มหันมามองเธอแล้วส่ายศีรษะช้าๆ เขายื่นปากกาไปให้ภรรยาเซ็นซึ่งกว่าจะทำใจจรดชื่อลงไปก็ใช้เวลาพอสมควร วินาทีที่หมึกถูกเขียนลงบนกระดาษเป็นชื่อของตนหัวใจดวงนี้ก็เหมือนปลิดปลิวไป
เธอ..ไม่ใช่บุลลาที่ไร้พันธะแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีครอบครัวเป็นของตนเอง
“ยินดีด้วยนะครับ คุณสองคนเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว”
พณณกรไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้ ทั้งชีวิตเขามีแฟนเพียงแค่คนเดียวและเลิกรากันมานานทว่าตอนนี้กลับมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนอีกทั้งยังไม่ได้รู้สึกรักสักนิด..แค่ต้องการครอบครอง
ใช่ เขาอยากให้เธอเป็นของเขาเพียงผู้เดียวและวิธีนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน..
บุลลาเดินออกมาจากห้องของปลัดอย่างเหม่อลอย จนร่างสูงต้องจับข้อมือเอาไว้กลัวว่าหล่อนจะตกบันไดเสียก่อน
ทั้งสองขับรถกลับไร่โดยมีเอกสารสำคัญวางอยู่บนตักของเธอ
ไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมเขาถึงได้พามาจดทะเบียนทั้งที่ไม่จำเป็นเลย การแต่งงานที่เกิดจากความไม่ตั้งใจอีกไม่นานก็คงต้องลาจาก ..
แค่คิดหัวใจดวงนี้ก็วูบโหวงแล้ว
..ไม่นะบัว เธอห้ามตกหลุมรักเขาเด็ดขาด ผู้ชายคนนี้ร้ายและเจ้าเล่ห์จะตาย ไหนจะฐานะจนอีก ห้ามอ่อนไหวไปกับเขา!
ย้ำเตือนตนเองทั้งได้เปิดประตูหัวใจให้แก่พณณกรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เขามาส่งเธอที่บ้าน ส่วนตนเองก็ขับรถไปทำงาน ความคิดในหัวสับสนจนต้องหากิจกรรมทำเพื่อคลายเครียดซึ่งคือการกวาดบ้าน ทำความสะอาดห้องน้ำ ซักผ้า ตากผ้า พับผ้า
และบุลลาก็ใช้เวลาทั้งวันทำงานเหล่านั้น กระทั่งได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ประจำตัวของสามีจึงละจากสิ่งที่ทำ
แสดงว่ารถยนต์คันนั้นต้องไปยืมมาอย่างแน่นอน แล้วก็มาทำให้คิดว่าเป็นของเขา
..บ้าที่สุดเลยผู้ชายคนนี้
“มองอะไรครับคุณเมีย” เดินเข้าบ้านเห็นคนตัวเล็กจ้องก็เอ่ยถามเสียงกวนประสาท จนเธอหันหน้าหนีหยิบเสื้อผ้าไปเก็บที่ตู้ ปล่อยให้คนทำงานดื่มน้ำ ทิ้งกายลงบนโซฟาแล้วเปิดทีวีดูสารคดีสัตว์โลก
“อยากกินอะไร” เมื่อทำงานเสร็จก็เดินมาถามคนตัวสูง เห็นว่าทำงานทั้งวันหรอกนะเลยเวทนา ยอมถามก่อนเพื่อเอาใจบ้างเล็กน้อย
“อยากกินเมีย ได้ไหม”
..ไม่น่าหวังดีเลย แบบนี้ต้องตีให้ตาย
หล่อนจึงหยิบหมอนมาฟาดเขาทีหนึ่งถึงไม่เจ็บแต่ก็สะใจ ร่างสูงหัวเราะเล็กน้อยไม่ได้โต้ตอบอะไร
“ให้หากินเองดีไหมเนี่ย” บ่นขณะเดินไปโซนครัว จัดการเอาของสดออกจากตู้เริ่มคิดเมนูเย็นนี้ คงต้องทำผัดเปรี้ยวหวาน ทอดหมูกระเทียมปิดท้ายด้วยต้มยำไก่ น่าจะพอสำหรับสองคน ไม่อยากยอมรับหรอกนะว่าเธอค่อนข้างมีฝีมือในการทำอาหารเพราะช่วยแม่ตั้งแต่เด็ก ได้รับการถ่ายทอดวิชามาอย่างดี
ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปมองบุลลาที่ยุ่งกับการหุงข้าวก่อนจะหยิบผักมาล้างอย่างคล่องแคล่ว พณณกรมองเพลินจนลืมไปว่าตนเองไม่เคยวางสายตาไว้ที่ใครได้นานขนาดนี้ แม้กระทั่งแฟนคนแรกอย่างปลายฟ้าที่ชอบทำอาหารก็ตาม เขาจะแค่เล่นเกมรอ ไม่ได้จ้องมองพร้อมความชื่นชมแบบนี้ ใครจะไปคิดว่าภายนอกที่ดูไม่เอาไหนจะซ่อนความเป็นแม่บ้านแม่เรือนเอาไว้เต็มเปี่ยม
“ถ้าว่างมากก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไป มองอยู่ได้” รับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องตามการเคลื่อนไหวจึงหันมามองเสียงแข็งกลบความเขินอาย
“ครับคุณภรรยา” ทำตามอย่างว่าง่าย โดยลุกขึ้นไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเข้าห้องน้ำชำระร่างกาย
บ้านหลังนี้มีขนาดเล็กจึงแทบไม่มีความเป็นส่วนตัวด้วยซ้ำ พณณกรสร้างไว้สำหรับอยู่คนเดียวใครจะคิดว่าบ้านหลังนี้แปรสภาพเป็นเรือนหอได้เล่า ทว่าถึงจะกะทัดรัดแต่ก็เต็มไปด้วยอบอุ่น
เมื่ออาหารเสร็จเรียบร้อยจึงยกไปวางไว้ที่โต๊ะหน้าบ้าน วันนี้ร่างสูงอาบน้ำนานกว่าปกติ แล้วออกมาด้วยสภาพพันท่อนล่าง เปลือยท่อนบน จนหญิงสาวต้องเสหลบ พยายามไม่ให้เป็นพิรุธว่ากำลังหน้าแดงกับซิกซ์แพ็กของเขา แผ่นหลังของสัตวแพทย์มีรอยเล็บขูดจนขึ้นสีแดง
“เอ๊ะ” และเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองเป็นผู้ฝากรอยเอาไว้
สมน้ำหน้า เจ็บซะบ้างก็ดีทำเธอไว้แสบนัก บอกว่ารอบเดียวที่ไหนได้จัดไปสามรอบจนแทบสลบเหมือดคาอกเขา
อาหารเย็นเตรียมพร้อมสำหรับสองที่ ไม่นานพณณกรก็เดินมานั่งยังอีกฝั่งก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานอาหารเย็นภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่าง ความมืดมิดปกคลุมรอบบริเวณแต่ไม่ได้น่ากลัวเหมือนเมื่อวานเพราะเปิดไฟรอบบ้านจนสว่างไสว
สุนัขตัวนั้นก็อันตรธานหายไป..ดีแล้วเธอจะได้รู้ว่าผีที่นึกกลัวแท้จริงคือเจ้าตูบหน้าตาซื่อบื้อ
“พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปทำงานนะ” บอกให้ฟังขณะกินข้าว
“ตามใจสิ” เขาไม่ได้ห้ามในเมื่อมันเป็นสิทธิ์ของเธออยู่แล้วก่อนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ “แต่เธอห้ามไปอ่อยคนงานที่ไหนนะ ถ้าฉันรู้จะจับขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย” คำขู่ของเขาไม่ได้ทำให้กลัวสักนิด
..เธอเคยชายตามองพนักงานระดับล่างเสียที่ไหนล่ะ ที่หมายปองก็มีแค่ชลธีแต่ตอนนี้กลับได้สัตวแพทย์มาแทน
ช่างน่าอดสูยิ่งนัก
“รู้แล้วน่า”
“ห้ามไปอยู่ใกล้หรือมองหน้าไอ้ธีเกินสิบเมตร” เห็นเขาห้ามนู่นห้ามนี่ก็เริ่มรำคาญ
“รู้แล้วๆๆ นายก็เหมือนกัน ห้ามมองผู้หญิงคนอื่นหรือเข้าใกล้เกินห้าเมตร ไม่อย่างนั้นฉันจะสับไอ้นั่นของนายแล้วโยนให้ปลามันกิน” ในเมื่อเขาขู่ได้ เธอก็ทำได้เหมือนกัน แววตาเอาเรื่องสร้างความหวาดระแวงให้พ่อหนุ่มนักรักจนต้องก้มหน้าตักข้าวใส่ปากตอบรับแบบแกนๆ
“อือ”
ความเงียบไม่ได้สร้างความอึดอัดอย่างที่ควรจะเป็นและการกระทำอันแสนธรรมชาติของสองหนุ่มสาวตกอยู่ใต้สายตาเจ้าของไร่ที่นึกเป็นห่วงเพื่อนและคนงานจึงแอบมาดู เห็นแบบนี้ก็พอเบาใจได้บ้าง หวังว่าหนทางข้างหน้าจะราบรื่นไปตลอดแล้วกัน
หลังมื้ออาหารชายหนุ่มเป็นคนล้างจานด้วยการสั่งของภรรยา ทั้งที่ใจอยากไปนอนดูสารคดีมากกว่า แต่ทว่าตอนนี้ได้โดนร่างบางยึดครองพื้นที่ไปเสียแล้วพร้อมจ้องละครหลังข่าวแววตาวาวโรจน์เนื่องจากโกรธที่พระเอกโง่เชื่อตัวร้ายไปเสียทุกอย่าง
“โอ๊ย จะด่าว่าควายยังสงสารควายมันเลย ทำไมเขาเขียนบทให้พระเอกโง่ขนาดนี้” ระบายความโมโหลงกับหมอนนุ่มแล้วหยิบส้มขึ้นมาปอก ละครน้ำเน่าที่ขายได้กับทุกเพศทุกวัย ถึงผู้บริโภคจะด่าขนาดไหนแต่ก็เปิดดูและติดตามทุกตอนจนเรตติ้งพุ่งกระฉูด
คุณหมอเดินมานั่งข้างหล่อนหลังทำความสะอาดและเก็บของทุกอย่างเสร็จ
“ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนช่องไหม ไม่ต้องดูมันหรอก” หยิบรีโมตพร้อมเปลี่ยนช่อง แต่ก็เจอสายตาพิฆาตเข้าให้จนต้องชะงัก
เดี๋ยวไอ้เอิร์ธ อย่าบอกนะว่ามึงกลัวเมีย..
“ฉันจะดู”
เพียงสามคำร่างสูงก็ยอมปล่อยรีโมตแล้วเปลี่ยนเป็นนั่งดูข้างเธอแทน เขาหยิบส้มที่บุลลาปอกมากินอย่างไร้มารยาท
“นี่ ปอกเองสิ”
“ก็ฉันอยากกินที่เธอปอก” ตอบกลับเสียงใสจนคร้านจะเถียงด้วย
เธอหันไปสนใจละครเรื่องดังขณะที่มือก็ปอกส้มไปด้วยแล้วยัดผลมันเข้าปากคนข้างกาย
ช่างเป็นความธรรมดาที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแสนพิเศษ ใครเล่าจะคิดว่าคนที่ชังหน้ากันจะได้แต่งงาน อยู่บ้านหลังเดียวกันและใช้ชีวิตร่วมกันแบบนี้ การกระทำทุกอย่างเป็นธรรมชาติไม่มีความเก้อเขินแต่อย่างใด ร่างสูงดูละครน้ำเน่าที่เคยนึกไม่ชอบพร้อมกับกินส้มไปด้วยความผ่อนคลาย
..บางทีชีวิตคู่ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป
วันต่อมาบุลลาไปทำงานโดยมีสามีส่งถึงไร่ ทำเอาคนงานส่งเสียงแซวดังระงม บานเย็นเห็นอย่างนั้นก็นึกโล่งใจที่ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี หวังว่าทางที่เลือกให้บุตรสาวจะเต็มไปด้วยกลีบกุหลาบ พณณกรเป็นคนขยันขันแข็งไม่มีทางที่บุตรสาวของนางจะอดตาย
“หน้าตาแช่มชื่นนะเอ็ง” ป้าร่วมงานเอ่ยทักพร้อมแววตาล้อเลียนจนคนรุ่นหลานถึงกับไปไม่เป็น
“ฮ่าๆ ป้ามีอะไรให้ฉันช่วยไหม” หัวเราะกลบเกลื่อนแล้วเริ่มทำงานที่ได้รับมอบหมายซึ่งก็คือการคัดเมล็ดพันธุ์ของพืชแต่ละชนิดเท่านั้นไม่ได้ยากอะไร หล่อนทำไปพร้อมนั่งฟังบรรดาป้าทั้งหลายพูดเรื่องชาวบ้านเป็นการอัปเดตข่าวสารประจำวัน เหล่าคนงานจากนินทาเรื่องของบุลลาก็เปลี่ยนเป็นคนอื่นแล้วแต่ความน่าสนใจ
“แม่ๆ วันนี้ฉันขอยืมรถมอ'ไซค์หน่อยนะ” นุ่มนิ่มลูกสาวของป้ายุภาพร วิ่งหน้าตั้งมาบอกมารดา
“เออๆ เดี๋ยวข้ากลับรถคนงานไร่ แล้วเอ็งจะไปไหน”
บุลลาหันไปมองสองแม่ลูกที่พูดคุยกันก่อนละมาสนใจงานข้างหน้า
“ฉันจะไปสมัครเป็นพนักงานเสิร์ฟร้านอาหารในตัวอำเภอ เขาว่าได้เงินดี ได้ทิปดีนะแม่” จากที่นั่งไม่สนใจใคร หูก็ผึ่งทันทีเมื่อได้ยินคำว่าเงินดี ความสนใจพุ่งตรงไปยังนุ่มนิ่มซึ่งยิ้มหวานให้มารดา
“จริงเหรอ ถ้างั้นเอ็งก็ไปเลย เลิกงานแล้วรีบเลยนะเดี๋ยวคนเขาสมัครก่อนแล้วจะไม่ทัน” หล่อนสนับสนุนลูกเต็มที่เรื่องเงินทองไม่เข้าใครออกใครอยู่แล้ว
“ฉันขอไปด้วยได้ไหมนิ่ม” จากที่แค่ยิ้มทักทาย บุลลาก็เอ่ยขึ้นราวสนิทสนม
จนบานเย็นหันมองลูกสาวไม่ใคร่สบายใจเท่าไหร่นัก คนถูกทักหันมามองแล้วทำหน้ากระอักกระอ่วน
“นะนิ่ม ขอไปด้วยหน่อยนะ ฉันอยากหางานเสริมเหมือนกัน” บานเย็นดึงแขนบุตรสาวทันที “แกแต่งงานมีผัวแล้วนะบัว จะไปตะลอนสมัครงานแบบนี้ได้ยังไง” เตือนด้วยความหวังดี
ทว่ามีหรือที่บุลลาจะฟัง วินาทีนี้ขอเอาเงินเป็นที่ตั้งก่อนแล้วกัน ถ้าไม่มีมันชีวิตเธอได้อดตายแน่
“ช่างสิแม่ ยังไงเขาก็ให้หนูทำอยู่แล้ว เลิกงานอย่าลืมมาหาฉันนะนิ่ม” เป็นการมัดมือชกจนนุ่มนิ่มจำต้องพยักหน้าทำตามก่อนจะเดินไปทางสวนส้มอันเป็นสถานที่ทำงานของตนเอง
วันนั้นทั้งวันบุลลาก็ยิ้มแย้มอารมณ์ดี คำนวณรายได้ที่จะเกิดขึ้นภายในใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้งานหรือไม่แต่ใจก็เทไปกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วว่าเขาต้องรับเธออย่างแน่นอน
ถึงเวลาเลิกงานนุ่มนิ่มก็มารับบุลลาพร้อมขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากไร่โดยมีเสียงถามไถ่จากคนซ้อนทุกเวลาซึ่งเธอก็เต็มใจตอบ ไม่ได้นึกชังอะไรถึงจะไม่ค่อยสนิทกันก็ตาม งานที่จะไปสมัครคือพนักงานเสิร์ฟร้านอาหารของตัวอำเภอซึ่งมีลูกค้าเป็นจำนวนมาก ทั้งขาประจำและขาจรเนื่องด้วยรสชาติที่อร่อย บรรยากาศดีและการต้อนรับที่แสนอบอุ่นจนกลายเป็นร้านอาหารชื่อดังของอำเภอ
ใบหน้าจิ้มลิ้มฝันหวานถึงเงินเดือนก่อนจะร้องด้วยความตกใจเมื่อมีมอเตอร์ไซค์ขับปาดหน้าพร้อมคนขับที่จ้องตาเธอนิ่งก่อนเขาจะเอาขาตั้งรถลงก่อนเดินมาหาผู้ที่ขึ้นชื่อว่าภรรยา
“เธอจะไปไหน” พณณกรถามเสียงเข้มพร้อมคว้าข้อมือของบุลลามาจับไว้
น้ำเสียงและท่าทางคุกคามทำให้นุ่มนิ่มรู้สึกกลัว ปกติก็ไม่สุงสิงกับสัตวแพทย์หนุ่มอยู่แล้วเพราะใบหน้าอันน่าเกรงขาม พอมาเจอสถานการณ์แบบนี้ก็อยากขับรถหนีไปเสียเหลือเกิน
“ปล่อยฉันนะ มันเจ็บ!” เขาใช้แรงที่มีมากกว่าอุ้มร่างบางลงมาจากรถมอเตอร์ไซค์ให้ประจันหน้ากันถึงความสูงจะต่างมากแค่ไหนก็ตาม
“ฉันถามว่าเธอจะไปไหน” ถึงรู้จากคนงานแล้วว่าปลายทางของบุลลาคือร้านอาหารชื่อดังซึ่งตั้งอยู่ในตัวอำเภอก็อยากได้ยินจากปากเธอมากกว่า เขาเค้นถามพร้อมกำที่ข้อมือเล็กแน่นขึ้น
คนกลางอย่างนุ่มนิ่มอยากช่วยเพื่อนแต่ก็ไม่กล้ากลัวโดนลูกหลงไปอีกคน
“โอ๊ย มันเจ็บนะไอ้บ้า ปล่อยก่อนสิ!” ใช้เสียงเข้าข่ม ซึ่งไม่เป็นผลเลยสักนิด
นอกจากชายหนุ่มจะไม่ปล่อยแล้วยังเพิ่มแรงมากขึ้นจนใบหน้าหวานเหยเก
“บอกมาว่าจะไปที่ไหน” ถามย้ำเน้นทีละคำจนบุลลาจำยอมตอบ
“ไปสมัครงานเสิร์ฟร้านอาหารในเมือง พอใจหรือยัง!”
เพียงเท่านั้นดวงตาเรียวก็เหมือนมีประกายเพลิงพร้อมจะแผดเผาทุกอย่างที่ขวางหน้า
นุ่มนิ่มลอบกลืนน้ำลายแล้วคิดในใจว่าทำไมเธอต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ด้วย
บุลลาทนอยู่กับผู้ชายที่พร้อมจะพังทุกอย่างบนโลกได้อย่างไร เธอนับถือหญิงสาวคนนี้จริงๆ
