เรื่องนี้มีผู้ใดรู้หรือไม่
ซูเต๋อมองออกไปที่หน้าประตูเรือนอย่างแปลกใจ เขามองหาสหายของบุตรสาวที่ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูดได้อย่างไร
“พ่อ” ซูเจินสะกิดเรียกซูเต๋อ เมื่อสหายทั้งสามของนางขึ้นมาอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว นางชี้ไปที่สหายของนางให้บิดาเห็น
“สหายของเจ้ารึ” ซูเต๋อขมวดคิ้วดูผีเสื้อ ผึ้งและมดตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ซูเจินพยักหน้าหงึก ๆ ให้เขาว่านี่แหละสหายของนาง
“ท่านพี่ ตอนที่ข้าออกมาจากเรือนตระกูลชุย ก็เกิดเรื่องประหลาดกับเจินเออร์”
นางเล่าเรื่องที่มีแมลง นก มด มากมายที่มักจะอยู่ข้างกายบุตรสาว ไม่ว่าจะในเรือนหรือนอกเรือน เรื่องที่สัตว์ทั้งสามตัวอยู่กับซูเจินตลอด ทั้งเรื่องที่มักมีสัตว์ป่าเดินเข้ามาตายในเรือน หรือไม่ก็นอกกำแพงเรือนด้านหลังบ่อยครั้งให้ซูเต๋อฟัง
“สวรรค์ จริงรึ” เขาอยู่ที่หมูบ้านมาตั้งแต่เกิด ยังไม่เคยได้ยินเรื่องที่สัตว์ป่าลงมาตาย เพื่อนำเนื้อมาให้ทำอาหารเลยสักครั้ง
ยิ่งเห็นสองแม่ลูกพยักหน้า ซูเต๋อก็อ้าปากค้างอย่างตกใจ “แล้วผึ้งที่ต่อยนางไห่ซื่อ หรือว่า” ซูเจินพยักหน้าอย่างชื่นชม
บิดาของนางฉลาดไม่น้อย เพียงแค่ฟังเรื่องที่มารดาเล่าก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว ผิดกับมารดาเป็นเวลานานกว่านางจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น
“ข้าคิดว่าใช่เจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยเล่าเรื่องที่ไห่กวงจะลอบเข้ามาในเรือน แต่โดนผึ้งต่อยเสียก่อน จนตอนนี้ใบหน้าบางส่วนของเขายังไม่สามารถนำเหล็กในของผึ้งออกได้เลย
“ช่างกล้านัก” ซูเต๋อถึงกับคำรามออกมา ความคิดเช่นนี้คงเป็นของนางไห่ซื่ออย่างแน่นอน
หากไม่ได้สหายของบุตรสาวเขาช่วยไว้ ไม่รู้ว่านางแม่ลูกจะมีชะตาชีวิตเช่นไร
“ท่านพี่อย่าได้มีโทสะ อย่างที่ท่านเห็น หากนางไห่ซื่อมาหาเรื่องอีก ข้าคิดว่าสหายของเจินเออร์คงไม่ปล่อยนางไว้แน่” จิ่วเม่ยบีบมือสามีเพื่อให้เขาคลายโทสะ
“หากมีอีกครั้งก็ลองดู ว่าข้าจะจัดการนางเช่นไร” เขาผ่านความเป็นความตายมาไม่น้อย จิตใจของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย หากมีคนคิดจะรังแกครอบครัวของเขา เขาย่อมต้องจัดการอย่างเด็ดขาดแน่นอน
“ข้าว่าท่านลองไปดูโรงเก็บข้าวก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
ซูเต๋ออุ้มซูเจิน เดินตามจิ่วเม่ยไปโรงเก็บข้าวเปลือกที่อยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นข้าวที่เต็มโรงเก็บไปหมด เขาก็ไม่อยากเชื่อสายตา หากไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะสหายของบุตรสาว คงได้คิดว่าจิ่วเม่ยนางหาวิธีทำให้พวกนก หนู ไม่เข้ามากินข้าวได้อย่างแน่นอน
“วันนี้ท่านพี่อยากกินอันใด ในเรือนยังมีเนื้อแห้งอยู่อีกมาก หากท่านอยากกินอย่างอื่น ข้าจะไปซื้อเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง ข้ากินอันใดก็ได้” ในสนามรบแทบจะกินดินอยู่แล้ว เขาไม่ได้เลือกกินขนาดนั้น
“ต่าย” ซูเจินเอ่ยออกมา
เพียงแค่นางพูด เสี่ยวเตี๋ยก็บินออกไปทันที จิ่วเม่ยได้แต่ส่ายหัวให้บุตรสาว ซูเต๋อยังมองตามไปอย่างไม่เข้าใจ จิ่วเม่ยไม่คิดจะบอกเขา อยากให้เขาได้เห็นกลับตาตัวเอง
แต่เพียงจิบถ้วยชา (ประมาณ 15 นาที) ผ่านไปก็มีกระต่ายตัวอวบอ้วนที่กระโดดเข้ามาในเรือนอย่างสิ้นเรี่ยวแรง
ซูเจินดิ้นลงจากตัวของซูเต๋อ ก่อนจะเดินเข้าไปหากระต่ายแล้วนั่งลูบหัวพวกมัน
“ขอบคุณพวกเจ้ามาก”
กระต่ายทั้งสองตัวค่อยๆ หลับตาลง สิ้นใจต่อหน้านาง
“นี่ นี่” ซูเต๋อชี้นิ้วที่สั่นเทาของเขาไปที่กระต่ายตรงหน้าบุตรสาว
“ข้าบอกท่านแล้ว เห็นหรือไม่ หากเจินเออร์ นางอยากกินอันใด ก็จะมาตายต่อหน้านางเช่นนี้”
“เรื่องนี้มีผู้ใดรู้หรือไม่” ซูเต๋อเอ่ยถามอย่างกังวล
“ท่านลุงหวง ท่านป้าหวง พวกเขารู้เพียงว่าเรือนข้าโชคดี ที่มีสัตว์ป่าเดินมาตาย แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่พวกเขารู้ เพียงครั้งเดียวตอนที่กวางเดินมาตาย เพราะข้าไม่อาจจัดการได้ด้วยตนเอง”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
ซูเต๋อเหมือนจะนึกเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขาในสนามรบได้ ในตอนที่เขาจวนตัว ได้มีนกกลุ่มหนึ่งบินมาล้อมรอบตัวของเขาไว้ เพื่อให้พ้นจากคมดาบ
และตลอดเวลาที่อยู่ในสนามรบครั้งที่ตัดสิ้นผลแพ้ชนะ ตัวเขาโดนปกป้องไว้ตลอด จนไม่ได้รับบาดเจ็บสักนิด
แม่ทัพจ้าวที่อยู่ไม่ห่างจากเขา เห็นความผิดปกตินี้เช่นกัน เมื่อตอนที่เขากำลังจะจวนตัว ซูเต๋อตัดสินใจพุ่งเข้าไปบังลูกธนูให้แม่ทัพจ้าว
เพราะเขาคิดว่า หากกองทัพที่ไร้แม่ทัพควบคุม พวกเขาที่เป็นเพียงพลทหารคงไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้เช่นกัน จึงได้ตัดสินใจเช่นนั้น
แต่ฝูงนกยังติดตามเขาไป ทั้งยังพุ่งเข้าจิกกัดมือธนูฝ่ายตรงข้ามที่กำลังเล็งมาทางทิศที่เขาอยู่ ทำให้ทั้งเขาและแม่ทัพจ้าวรอดชีวิตมาได้
