อยากนอนคนเดียว
หลังจากแคว้นต้าเยี่ยนเป็นฝ่ายชนะ แม่ทัพจ้าวได้เรียกซูเต๋อเข้าไปพบเป็นการส่วนตัวในกระโจม แล้วเอ่ยถามเขาในเรื่องที่เกิดขึ้น
“เจ้าทำได้อย่างไร”
“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ ตอนที่หลับตาเพื่อรอรับความตาย ฝูงนกก็เข้ามาช่วยข้อน้อยไว้แล้ว” ซูเต๋อก็ไม่เข้าใจในเรื่องนี้เช่นกัน
เขายังได้รับป้ายจากแม่ทัพจ้าว หากมีเรื่องที่เขาต้องการความช่วยเหลือให้นำป้ายที่เขาให้มาที่จวนแม่ทัพได้ตลอดเวลา
พอฟังเรื่องจากภรรยาแล้ว เขาจึงได้รู้ว่าคงเป็นเพราะบุตรสาวของเขา จึงได้รอดชีวิตกลับมาได้อย่างปลอดภัย คนที่เดินทางไปพร้อมเขาไม่น้อยที่ต้องจบชีวิตลงในสนามรบที่โหดร้าย
เมื่อซูเต๋อเดินเข้าไปสำรวจกระต่ายทั้งสองตัวก็พบว่าพวกมันอายุมากแล้ว
“แก่ แล้ว” ซูเจินเอ่ยบอกเขา นางอยากจะบอกว่ามันสิ้นอายุขัย แต่เพราะประโยคมันยาวเกินไป
“เจ้าหมายถึงมันใกล้ตายแล้วใช่หรือไม่” ซูเต๋อเอ่ยถามบุตรสาว
“ใช่ ใช่” นางพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้น สัตว์ที่เดินมาตายที่เรือน พวกมันใกล้ตายแล้วอย่างนั้นรึ” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เจ้าค่ะ” ซูเจินยกนิ้วโป้งให้บิดาของนาง ฉลาดนัก เช่นนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อย
ซูเต๋อถอนหายใจอย่างโล่งอก ในตอนแรกเขากลัวว่าหากเรื่องนี้ผู้อื่นรู้จะคิดว่าบุตรสาวของตนเป็นปีศาจ แต่หากเป็นเช่นนี้ก็ดี นางช่างเป็นเด็กวาสนาดีนัก
“แล้ววันนี้เจินเออร์อยากกินอันใด” จิ่วเม่ยเอ่ยถามบุตรสาวอย่างเช่นทุกครั้ง
“ย่าง” ซูเจินเลียปากน้อยๆ ของนาง เมื่อนึกถึงรสชาติของกระต่ายที่มารดาเคยย่างให้กิน
“เจ้าตัวตะกละ” จิ่วเม่ยจิ้มจมูกบุตรสาว ก่อนจะถือกระต่ายสองตัวเข้าครัวไป
“อยู่คนเดียวได้หรือไม่” ซูเต๋อจะไปช่วยจิ่วเม่ยในครัว จึงได้ถามบุตรสาว
“อืม” นางพยักหน้าให้เขาวางใจ ก่อนจะเดินไปเล่นที่ใต้ต้นไม้ที่มีแค่ไม้วางไว้อยู่ ซูเต๋ออุ้มนางขึ้นไปนั่ง แล้วเข้าไปในครัวเพื่อช่วยจิ่วเม่ยอีกแรง
จิ่วเม่ยเห็นเนื้อกระต่ายที่มีมาก แม้จะย่างไปแล้วหนึ่งตัว ต้มทำน้ำแกงอีกตัว หากพวกเขาสามคนคงกินกันไม่หมด จึงได้ให้ซูเต๋อไปชวนท่านลุงหวงและท่านป้าหวงมากินข้าวที่เรือน
เมื่อทั้งสองมาถึง จิ่วเม่ยนางก็ยกของขึ้นตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ป้าหวงที่เห็นเนื้อกระต่ายมากมายจึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“อาเม่ยเจ้าไปเอาเนื้อกระต่ายมากมายมาจากที่ใด”
“ข้าออกไปจับมาขอรับ” เป็นซูเต๋อที่เอ่ยตอบ
ชาวบ้านไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าเขามีฝีมือเรื่องจับสัตว์ป่าไม่น้อย หากมีเวลาว่าง นางไห่ซื่อไม่เคยจะคิดให้เขาได้พัก นางให้เขาเข้าป่ามาตั้งแต่เด็ก
วันใดที่ไม่สามารถหาของติดไม้ติดมือมาได้ เขาจะถูกนางลงโทษไม่น้อย
“เช่นนั้นหรือ ดีแล้ว ต่อไปเจินเออร์ของข้าคงมีเนื้อกินทุกมื้อ” ป้าหวงเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
แต่ซูเต๋อได้แต่ยิ้มแห้ง หากเขาไม่กลับมา เขาก็เชื่อว่าบุตรสาวตัวน้อยของเขานางจะต้องมีเนื้อกินทุกมื้ออย่างแน่นอน
เมื่อมีคนมาเพิ่มอีกสองปาก อาหารที่จิ่วเม่ยทำมากมายก็หมดลงจนไม่มีเหลือ ซูเจินลูบท้องของนางอย่างพอใจ กระต่ายย่างกว่าครึ่งถูกบิดาแกะวางในชามของนางอย่างใส่ใจ
นางก็ไม่ปฏิเสธกินทั้งหมดลงไปอย่างเชื่อฟัง จนผู้ใหญ่ทั้งสี่อดจะส่ายหน้าไม่ได้ ลุงหวงถือสุราติดมือมาด้วย จึงได้นั่งดื่มพร้อมทั้งเอ่ยถามเรื่องในกองทัพกับซูเต๋อ
ซูเจินนางนั่งเท้าคางฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่อาจต้านทานหนังตาที่จะปิดลงมาให้ได้อยู่ตลอด จิ่วเม่ยหัวเราะอย่างขบขัน ก่อนจะอุ้มนางไปล้างหน้าแล้วพาเข้านอน
“นอน” ซูเจินนางชี้มือไปที่ห้องข้างที่อยู่ติดกับห้องของบิดามารดา
“เจินเออร์ จะนอนห้องข้างหรือลูก”
“อืม” นางพยักหน้าอย่างงัวเงีย
“ไม่ได้ เจ้ายังเล็กนัก”
“นอน นอน” ครั้งนี้ซูเจินงอแงอย่างเห็นได้น้อย ป้าหวงที่ได้ยินเสียงของนางโวยวายจึงได้เดินเข้ามาดู
“เกิดอันใดขึ้น”
“เจินเออร์ นางจะนอนห้องนี้ผู้เดียวเจ้าค่ะ”
“เพ้ย เจ้าเด็กดื้อ เหตุใดถึงได้งอแงในวันที่บิดาเจ้ากลับมาเล่า” ป้าหวงเอ่ยตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก
“น้อง” นางตบไปที่ท้องของมารดาแล้วพูดออกมา
“ฮ่า ฮ่า เจ้าเด็กแสบ” ป้าหวงหัวเราะลั่น
ลุงหวงกับซูเต๋อต้องเดินเข้ามาดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่ก็เห็นป้าหวงที่หัวเราะไม่หยุด และจิ่วเม่ยที่ยืนอุ้มซูเจินที่ใกล้จะหลับหน้าแดงก่ำ
“เกิดอันใดขึ้นขอรับ”
“เจินเออร์ เจ้าเด็กแสบ จะไปนอนห้องข้าง นางอยากจะมีน้อง ฮ่า ฮ่า” ป้าหวงหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างชอบใจ
กลายเป็นซูเต๋ออีกคนที่หน้าแดง ลุงหวงก็หัวเราะไปด้วยกับภรรยา เขาอดที่จะมองซูเจินอย่างชื่นชมในความรู้งานของนางไม่ได้ เหตุใดหลานทั้งสองของเขาจึงได้ไม่ครึ่งของนางเลย
เพราะความไม่ยอมของซูเจินที่จะเข้าห้องเดิม นางงอแงจนจิ่วเม่ยต้องพานางเข้าไปนอนในห้องข้าง พอซูเต๋อส่งป้าหวงและลุงหวงกลับไปแล้วจึงได้เข้ามาดูนางสองแม่ลูก
ก็เห็นซูเจินนางหลับสนิท โดยมีสหายของนางทั้งสามนอนอยู่บนผ้าห่มของนางอีกที
“ทิ้งนางไว้ได้รึ” ซูเต๋อเอ่ยถามอย่างกังวล เพราะซูเจินนางเพิ่งจะขวบเดียว
“นางมักจะอยู่ผู้เดียวได้ โดยที่ไม่ต้องให้ข้าอยู่ด้วย ตอนที่ข้าทำนา นางก็นั่งเล่นของนางผู้เดียว” จิ่วเม่ยเอ่ยเรื่องของซูเจินออกมา
“พวกเราวาสนาดีนัก ที่ได้นางเป็นบุตรสาว” ซูเต๋อลูบใบหน้าของบุตรสาวอย่างรักใคร่ เขามองภรรยาที่ยังสวยไม่สร่างของเขาอย่างแฝงความหมาย ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในห้องของตน
