ถ้ำกลางป่า
“อีกไม่กี่ปีข้างหน้า แคว้นต้าเยี่ยนจะเกิดภัยแล้ง ต้นไม้เกือบทั้งหมดจะตายลง สัตว์ป่าไม่มีที่อยู่อาศัย ต่างล้มตาย สูญพันธุ์ จนสิ้น มีเพียงท่านที่มองเห็นข้า ข้าจึงได้พาท่านมาช่วยเจ้าค่ะ”
“แล้ว แล้วข้าจะทำได้หรือ”
“มือของท่านมีความลับมากกว่าที่ท่านรู้ ท่านไม่เพียงสื่อสารกับสัตว์ทุกชนิดได้ แต่มือของท่านจะช่วยฟื้นต้นไม้ที่ตายให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง”
“สวรรค์ นี่มันเรื่องอะไรกัน” ซูเจินก้มลงมองมือของนาง
“ท่านมี เสี่ยวเตี๋ย เสี่ยวมี่ เสี่ยวอี่อยู่ข้างกายท่าน ข้าจะอยู่ดูแลมิติของท่านให้เจ้าค่ะ”
“แล้วในมิติ คือสิ่งใด” ซูเจินยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ทูตน้อยบอกนาง
“ด้านในจะมีสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อท่าน ตอนนี้ท่านอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อท่านเติบโตขึ้น มิติจะเปลี่ยนแปลงตามช่วงอายุของท่านเจ้าค่ะ”
“เอ่อ ข้าเข้ามาด้านในเช่นนี้ แล้วด้านนอกเล่า ท่านพ่อท่านแม่ข้าคงตกใจไม่น้อย ข้าว่าข้าควรจะออกไปได้แล้ว”
“ได้เจ้าค่ะ หลันฮวาจะพาท่านออกไป”
ซูเจินรู้สึกเขินอายไม่น้อยที่นางไม่ได้ถามนางของทูตน้อย จนนางต้องพูดนามของนางออกมาเอง
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ที่จะลืมถามนามของเจ้า เพียงแต่ข้ายังตกใจไม่หาย”
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ หลันฮวาเข้าใจ” นางก้มหัวลงให้ซูเจิน ก่อนจะส่งนางออกไปจากมิติ
ซูเต๋อกับจิ่วเม่ยตกใจไม่น้อยที่เห็นบุตรสาวของตนเองหายไปต่อหน้าต่อหน้า แล้วตอนนี้ทั้งคู่ยังไม่รู้ว่านางไปที่ไหน หายไปได้อย่างไร
รอเพียงชั่วจิบชา ซูเจินนางก็ปรากฏตัวออกมาด้านนอกอีกครั้ง ในตำแหน่งเดิน ซูเต๋อวิ่งเข้าไปอุ้มบุตรสาวเข้ามากอดไว้กับอกทันที
กว่าซูเต๋อและจิ่วเม่ยจะหายจากอาการตื่นตระหนกได้ก็ผ่านไปเกือบชั่วยาม ที่ทั้งสองต้องออกตามหาบุตรสาวที่หายไป
“พ่อ”
“แม่”
ซูเจินตะโกนเรียกบิดากับมารดาของนาง ซูเต๋อที่ได้ยินก่อนก็รีบวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งอุ้มซูเจินเข้ามากอดไว้แน่น
“เจินเออร์ เจินเออร์ของพ่อ” เขาพึมพำออกมาด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าหายไปที่ใดมา” เขากระซิบถามบุตรสาวด้วยเสียงที่สั่นเทา
“ติ ติ” ซูเจินไม่รู้ว่าจะสื่อสารเช่นใดพ่อของนางถึงจะเข้าใจ ซูเต๋อก็งงไม่น้อยกับคำพูดของซูเจิน
เมื่อเห็นจิ่วเม่ยกลับมาถึงที่ที่สองคนพ่อลูกอยู่แล้ว ซูเจินจึงชี้เข้าไปที่ปากถ้ำ
“เข้า เข้า”
“ได้ แต่เจ้าต้องอยู่กับพ่อตลอดเข้าใจหรือไม่” ซูเต๋อยังกลัวเรื่องที่ซูเจินนางหายไปต่อหน้าต่อตาเขาไม่หาย ซูเจินพยักหน้าจนแก้มของนางสั่นสะเทือน
ทั้งสามเดินเข้าไปในถ้ำ ซูเต๋อนำคบไฟที่ติดมือมาจุดเพื่อเพิ่มความสว่างในถ้ำ ทำให้ทั้งสามมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในได้ชัดเจนราวกับตอนกลางวัน
เมื่อสายตาสำรวจไปทั่วถ้ำแล้ว ซูเต๋อก็ต้องอ้าปากค้าง นอกจากเห็ดที่ยังไม่ได้เดินเข้าไปดูแล้ว ที่ผนังถ้ำยังมีบางสิ่งที่เขาบอกไม่ถูกคือสิ่งใด แต่รู้ว่าคงม่ค่าไม่น้อย
“นี่คืออันใด” ซูเต๋อลูบมือไปตามผนังถ้ำ เพราะสิ่งที่อยู่ปนกับหินของผนังถ้ำ เมื่อถูกแสงไฟจากคบไฟแล้วยิ่งเปล่งประกายต่างจากหินทั่วไป
“เหล็ก” ซูเจินตะโกนออกมา
“เจ้าหมายถึงแร่เหล็กรึ” ซูเต๋อเอ่ยถามบุตรสาวที่สายตาของนางยังจ้องแร่เหล็กตาไม่กะพริบ
“อืม จือ” นางชี้ไปที่เห็ดที่ขึ้นตามรากไม้ที่อยู่ติดกับผนังถ้ำ
“คืออันใด” ซูเต๋อ เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“เห็ด”
“หลิน”
“จือ” เพราะลิ้นที่ยังแข็ง ซูเจินต้องใช้พลังไม่น้อยในการเปล่งคำทั้งหมดออกมา
“เห็ดหลินจือรึ!!!” ซูเต๋อตะโกนจนดังก้องไปทั่วทั้งถ้ำ
“อืม เก็บ” ซูเจินดึงเสื้อของบิดาให้รีบเก็บลงตะกร้า
ซูเต๋อไม่หยุดคิดเรื่องแร่เหล็กอีกแล้ว เขารีบเก็บเห็ดหลินจือทั้งหมดเข้าตะกร้ากับจิ่วเม่ยในเวลาไม่นาน
ซูเจินนางก็มองเห็ดดอกใหญ่กว่าใบหน้าของนางอย่างตื่นเต้น นางไม่ค่อยได้พบเห็นเห็ดหลินจือที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่ขนาดใหญ่เช่นนี้ นอกจากจะพบในห้องทดลองในองค์กรไม่ว่าจะใหญ่ขนาดไหนก็มี
เห็ดมากกว่าสามสิบดอกจัดเรียงอย่างไรก็ไม่อาจจะวางลงในตะกร้าได้ทั้งหมด ในตอนที่ซูเต๋อกำลังจะเดินไปหาใบไม้มาห่อและทำเป็นตะกร้าใส่เห็ดกลับเรือน ซูเจินนางก็ทำสิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดขึ้น
“หลันฮวา ข้าเก็บของพวกนี้เข้าไปในมิติได้หรือไม่” ซูเจินสื่อสารกับหลันฮวาที่อยู่ในมิติ
“ได้เจ้าค่ะ ของที่นำมาเก็บจะคงสภาพเช่นเดิม ไม่เน่าเปื่อยเจ้าค่ะ”
“ดีมาก ฝากเจ้าดูแลด้วย”
ซูเจินโบกมือน้อยๆ ของนาง เห็ดหลินจือทั้งหมดก็หายไปราวปาฏิหาริย์
“เฮ้ยยย” ซูเต๋อกับจิ่วเม่ยทั้งร้อง ทั้งกระโดดถอยออกไปอย่างตกใจ
ซูเจินตบที่อกของนาง พร้อมทั้งเชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจ “เก็บ”
“เจินเออร์ แล้วนำออกมาได้หรือไม่” ซูเต๋อเอ่ยถามบุตรสาวอย่างกังวล
“ได้” ซูเจินเรียกให้เห็ดหลินจือที่นางนำไปเก็บออกมาอีกครั้งต่อหน้าบิดามารดา
“ดีดี” ทั้งสองจึงได้โล่งอก ถึงอย่างไรก็ยังนำออกมาได้ อีกทั้งยังปลอดภัยจากสายตาของชาวบ้านอีกด้วย
“แล้วจะทำอย่างไรกับแร่เหล็กดี” ซูเต๋อเอ่ยถามอย่างกังวล
