บทที่ 12 ธุรกิจเปิดการ
"ท่านพ่อ พี่ชาย"อยู่ๆหานเสี่ยวญาก็เรียกขึ้นมาเสียงหนึ่ง ในน้ำเสียงมีความดีใจที่ยับยั้งไม่ได้
นางวิ่งไปจับมือของหานเสี่ยวซาน พูดอย่างดีใจ"ท่านแม่บอกว่าต่อจากนี้ไปจะร้องเพลงให้เราฟังทุกคืน"
หานเสี่ยวซานจับมือของน้องสาว มองทิศทางของซูหงซาน เม้มปากไม่ได้พูดอะไร
ส่วนหานต้าจ้วงก็มองซูหงซานด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
ซูหงซานยิ้มมุมปาก"กลับมาแล้วหรอ ฝั่งนี้ใกล้เสร็จแล้ว เขาเอาหมูป่าขึ้นไปบนรถก่อน เดี๋ยวเราออกเดินทางเลย"
หานต้าจ้วงหันไปทำตามคำสั่งของซูหงซาน ส่วนฝั่งของซูหงซานก็ช่วยซูสือโถวทำแพนเค้กสองอันสุดท้ายเสร็จอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ออกมา หมูป่าอยู่บนรถเข็นพื้นราบแล้ว เมื่อเห็นพวกเขามา หานเสี่ยวญาและหานเสี่ยวซานยังนั่งอยู่ข้างบน เห็นพวกเขาเดินมา หานเสี่ยวญาก็ทักทายอย่างดีใจ
"น้าสือโถว เจ้ามานั่งที่นี่สิ แม่ก็มาด้วย"
ซูสือโถวรีบส่ายหน้า"ข้าเดินก็พอ"
ซูหงซานในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่จะไม่ไปนั่งหรอก นี่เป็นรถเข็นที่ต้องใช้แรงคนไปดึงล้วนๆ ถ้าพวกเขาล้วนนั่งขึ้นไปหมด หานต้านจ้วงต้องเหนื่อยตายแล้วสิ
และให้นางในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่นั่งอยู่บนรถเข็นพื้นราบให้คนอื่นดึง นางก็เขินเช่นกัน
แต่หานต้าจ้วงกลับพูดว่า"ล้วนนั่งขึ้นไปสิ"
"ข้าไม่ต้องการ"ซูหงซานรีบปฏิเสธ
หานต้าจ้วงมองไปที่ซูสือโถวอีกครั้ง"นั่งขึ้นไป"
ถูกหานต้าจ้วงมองเช่นนี้ ซูสือโถวก็สะดุ้ง แม้กระทั่งยังคิดไม่เป็นแล้ว รีบขึ้นไปรถเข็นพื้นราบอย่างรวดเร็ว
หานต้าจ้วงมองไปทางซูหงซานอีกครั้งหนึ่ง
ซูหงซานโบกมือ คิดอยู่ในใจว่าคนนี้ล่าสัตว์เยอะไปหน่อยมีความอาฆาตอยู่บนร่างกายหรือ?ดูสิ น้องชายยังกลัวขนาดนี้เลย
ซูหงซานยืนยันว่าจะไม่รบกวนคนอื่น แต่ไม่นานนางก็พบว่าตัวเองคิดผิดแล้ว
ทางของที่นี่ไม่มีทางม้าลายของสมัยปัจจุบัน ที่นี่เป็นทางที่เกิดจากการที่คนเดินมากเลยกลายเป็นทางเดินตามธรรมชาติ พื้นที่ที่ตอนกลางที่คนไม่ได้เหยียบนั้นยังคงมีพืชเจริญเติบโตอยู่ หลายวันก่อนก็ฝนตกอย่างต่อเนื่อง เพิ่งหยุดตกครึ่งวันทางยังไม่ได้แห้งหมด การเดินต้องลำบากกว่าปกติแน่นอน
แต่หานต้าจ้วง ผลักรถเข็นพื้นเรียบอยู่ แต่สบายมาก เขาเดินก้าวหนึ่ง ซูหงซานวิ่งตามขึ้นไปยังตามไม่ทันเลย
พอผ่านไปสิบห้านาที ซูหงซานก็เหนื่อยจนหอบหืด แต่หานต้าจ้วง ลมหายใจยังคงมั่นคงมาก และฝีเท้าก็ไม่ช้าและไม่เร็วเกินไป ลักษณะที่ใจเย็นของเขาไม่เหมือนเป็นการเดินทางเลย แต่กลับเหมือนเป็นการนั่งชิมน้ำชา
หานต้าจ้วงหยุดเดิน ขมวดคิ้วมองซูหงซาน"ขึ้นมาสิ"
ซูหงซานกัดฟัน ไม่อยากเป็นภาระให้เขา แต่ก็รู้ว่าถ้าตัวเองยืนหยัดอีกจะทำให้ล่าช้า เลยนั่งขึ้นไปโดยตรง
แล้วนางก็พบว่า ความเร็วของพวกเขายังเร็วกว่าเมื่อกี้อีกเยอะ
แต่หานต้าจ้วงยังคงหน้าไม่แดง และไม่มีการหอบหืด
ซูหงซานแอบทอดถอนใจ คนโบราณร่างกายแข็งแรงจริงๆเลย
ท้องฟ้ายังไม่สว่างก็ออกเดินทาง ตอนที่มาถึงในเมือง พระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว แต่ถนนเส้นหนึ่งวางแผงขายผักในเมืองมีคนอยู่มากมายแล้ว
ข้างในไม่มีแผลแล้ว ซูหงซานมีแต่ต้องตั้งแผงไว้ริมสุด อยู่ติดกับแผงขายหมูอีกร้านหนึ่ง
เจ้าของแผงเป็นสามีภรรยาวัยกลางคนคู่หนึ่ง แต่พวกเขาน่าจะตั้งแผงหน้าร้านของตัวเอง ขายตลาดเช้า ตอนนี้เนื้อหมูเลยขายเกือบหมดแล้ว
อยู่หน้าบ้านคนเขา แถมยังขายเนื้อหมูเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นการแย่งลูกค้า
ซูหงซานเพิ่งมาสมัยนี้ ไม่อยากมีปัญหากับคนอื่นเพราะเรื่องนิดเดียวนี้
ซูหงซานคิดสักครู่หนึ่ง ก็มาถึงหน้าเจ้าของแผง ทักทายด้วยรอยยิ้ม"ท่านลุง ท่านป้าเจ้าคะ พวกเราสามารถตั้งแผงข้างๆแผงของพวกเจ้าได้ไหมเจ้าคะ"
เจ้าของแผงเห็นว่าคนพวกซูหงซานลากหมูตัวหนึ่งมาถึงหน้าประตูของพวกเขาและเตรียมจะตั้งแผง สีหน้าก็แย่ลงหน่อยแล้ว
ตอนนี้เห็นว่าท่าทีของนางดีมาก สีหน้าของสามีภรรยาสองคนถึงดีขึ้นมาหน่อย
ซูหงซานพูดต่อว่า"เป็นแบบนี้เจ้าค่ะ สามีของข้าเป็นนักล่า ล่าหมูป่ามาขายครั้งแรก หากท่านลุงและท่านป้าอนุญาตให้ขาย เรายอมจ่ายให้ท่านลุงและท่านป้าหนึ่งร้อยเหรียญทองแดงเป็นค่าตอบแทนเจ้าค่ะ"
ได้ยินว่ายังมีหนึ่งร้อยเหรียญทองแดง สามีภรรยาสองคนมองหน้าเข้าหากัน
หญิงวัยกลางคนคิดอยู่ว่าพวกเขาเป็นนักล่า ไม่ใช่คนขายเนื้อ เป็นไปไม่ได้ที่จะมาขายทุกวัน และวันนี้พวกเขาเองก็ขายเกือบหมดแล้ว ตอนนี้จะขายก็ไม่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา เลยพยักหน้าตกลง
"ได้ หลังจากพวกเจ้าชายเสร็จแล้วเก็บให้สะอาดก็พอ"
"ขอบคุณเจ้าค่ะท่านป้า"
ซูหงซานรีบกล่าวขอบคุณ หยิบหนึ่งร้อยเหรียญทองแดงออกมายื่นให้หญิงวัยกลางคนๆนั้น และถามด้วยรอยยิ้ม
"ท่านป้า มีน้ำร้อนไหมเจ้าคะ?"
ป้าคนนั้นได้รับเงิน ก็กระตือรือร้นมาก ชะโงกดูหมูป่าที่วางอยู่ข้างๆของซูหงซาน อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าแล้วพูดว่า
"ดูแล้วก็รู้ว่าพวกเจ้าไม่มืออาชีพเลย เอาน้ำร้อนเพื่อถอดขนหมูใช่ไหม เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่หั่นเสร็จแล้วค่อยเอามาขาย?อุปกรณ์เอามาพร้อมยัง ถ้าไม่ครบป้ามีครบนะ ถ้าต้องการก็มาเอาเลยนะ"
เดิมทีซูหงซานจะเอาน้ำร้อนให้เด็กหลายคนกิน ในระหว่างทางได้กินแพนเค้ก แต่ไม่ได้กินน้ำสักอึกหน่อย
พอได้ยินคำพูดของหญิงวัยกลางคน อยู่ๆก็อึ้งไปเลย แล้วถึงรู้สึกขึ้นมาได้ว่าหมูป่าของพวกเขายังไม่ได้ถอดขนเลย ไม่สามารถหั่นและขายได้โดยตรง
หญิงวัยกลางคนกระตือรือร้นมาก ไปช่วยเอาน้ำร้อนออกมาให้
ฝั่งนี้ยุ่งมากอยู่หน้าแผง คนที่เดินผ่านล้วนหยุดฝีเท้าดูว่าทำอะไรอยู่ ซูหงซานกระแอมแล้วตะโกนว่า
"ขายเนื้อหมูป่า หั่นให้และขายสดๆ สดและสะอาด อยากได้ชิ้นไหนก็ให้ชิ้นนั้น ค้าขายด้วยความซื่อสัตย์ ไม่โกหกใดๆทั้งสิ้น ขายในราคาหนึ่งโลสามสิบเหวิน"
ตอนที่ซูหงซานพูดกับหญิงวัยกลางคนในเมื่อกี้นี้ ก็ได้แอบถามดูแล้ว รู้ว่าถ้าเป็นเนื้อหมูธรรมดาราคาประมาณโลละยี่สิบห้าเหวิน ส่วนราคาของเนื้อหมูป่าจะแพงหน่อย อยู่ที่สามสิบเหวินขึ้นไป บางที่สามารถขายถึงสี่สิบเหวิน
แต่นักล่าทั่วไปจะล่าหมูป่าแล้วส่งไปที่ร้านอาหารโดยตรง น้อยมากที่จะหั่นและขายโดยตรง ดังนั้นคนขายเนื้อทั่วไปล้วนขายหมูที่เลี้ยงเอง น้อยมากที่จะมีแผงขายเนื้อหมูป่า
ซูหงซานคิดดูแล้ว ก็ตั้งราคาไว้ที่สามสิบเหวิน คิดจะขายถูกเพื่อดึงดูดลูกค้า ขายเสร็จให้เร็วที่สุด พวกเขายังต้องไปซื้อของในเมือง ไม่สามารถกินเวลาใยที่นี่มากไป
พอซูหงซานตะโกนแบบนี้ ก็มีคนไม่น้อยล้วนเข้าใกล้มา
"แม่นาง นี่เป็นเนื้อหมูป่าจริงหรือ?"มีป้าที่ซื้ออาหารเดินขึ้นไปถาม
ดูการแต่งกายน่าจะเป็นคนใช้ของตระกูลใหญ่
ซูหงซานยิ้มตาหยีชี้หมูป่าแล้วพูดว่า"ท่านป้า ข้าเพิ่งถอดขนเองเลย เจ้าดูสิหมูตัวนี้ขนเป็นสีดำ ถ้าเป็นหมูที่เลี้ยงเองจะไม่ใช่แบบนี้หรอก ท่านป้าเอาชิ้นไหน ข้าเหลือไว้ให้"
คนอื่นล้วนชะโงกดู ป้าคนนั้นสังเกตสักครู่หนึ่งแล้วก็พูดว่า"งั้นได้ ขาหลังเหลือให้ข้าที"
"ได้เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านป้ามาอุดหนุน ท่านเป็นลูกค้าคนแรกของข้าเจ้าค่ะ แต่ท่านดูสิว่าข้ายังถอดขนอยู่เลย ยังต้องรบกวนท่านรออีกสักครู่หนึ่งนะเจ้าค่ะ"
ซูหงซานปากหวานมาก เรียกว่าท่านป้า แถมยังพูดด้วยรอยยิ้มอีก ป้าคนนั้นเลยรู้สึกดีต่อนาง จึงโบกมือและพูดด้วยรอยยิ้ม"ไม่เป็นไร ยังไงข้าก็ไม่มีเรื่องอะไร รอสักครู่หนึ่งก็ไม่เป็นไร"
