
บทย่อ
ซุป'ตาร์ทะลุมิติมายุคโบราณ นึกว่าจะได้รับอิสระทว่าดันถูกส่งมาอยู่ในความปกครอง ของท่านอ๋องเจ้าแห่งสงคราม หนวดเคราไม่โกนไม่พอยังมีข่าวลือว่าเกลียดสตรีอีกด้วย ไหนจะเหล่าสตรีชั้นสูงที่อยู่รอบตัวท่านอ๋องอีก ไยพวกนางจึงมองมาที่ข้าด้วยสายตาแบบนั้นกันเล่า!!
บทนำ
แคว้นเซี่ยคือดินแดนที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนานและได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งมหาอำนาจ ยากที่จะมีผู้ใดต่อต้านได้
ต้นเหตุที่มาของความแข็งแกร่งนี้ ตั้งแต่สมัยก่อตั้งแคว้นแรกเริ่มมีการกระจายอำนาจมอบให้ผู้มีฝีมือเก่งกาจ ตระกูลเก่าแก่และยิ่งใหญ่ทั้งสี่ทิศอันได้แก่ทิศทักษิณ บูรพา ประจิมและสุดท้ายทิศอุดรกระจายกันไปปกครองอาณาบริเวณของตนเองโดยมีศูนย์กลางเมืองหลวงอันมีวังหรูอันแสนยิ่งใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางแคว้นมีฮ่องเต้สมัยปัจจุบันอย่างฮ่องเต้หวังซานเย่ ปกครองอยู่
นอกจากวังหลวงเป็นดินแดนศูนย์กลางแล้วยังเป็นศูนย์รวมอำนาจจากสี่ทิศเพราะทุกดินแดนนั้นจะต้องคอยรายงานและส่งทหารของตนเองมารวมกันที่ใจกลางอำนาจแห่งนี้ในทุก ๆ ปีแล้วค่อยจัดสรรแบ่งออกไปใหม่ด้วยนั่นเอง
แนวคิดกระจายอำนาจนี้ทำให้แคว้นเซี่ยทั้งยิ่งใหญ่และมั่นคงมาอย่างยาวนานเพราะมีสี่เกราะกำบังแข็งแกร่งปกป้องจากศัตรูภายนอกแถมยังคอยคานอำนาจกำราบกันเองระหว่างสี่ทิศด้วยไปพร้อม ๆ กัน
ดังนั้นแม้ผู้มากอำนาจทั้งสี่ทิศจะได้รับมอบปกครองดินแดนในทิศของตนเอง พวกเขาก็นับเป็นขุนนางที่มีหน้าที่รับใช้งานฮ่องเต้องค์ปัจจุบันด้วยเช่นกัน
ประชาชนในแคว้นเซี่ยจึงอยู่ดีกินดีมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในเมืองหลวง เมืองอันกว้างใหญ่และเจริญรุ่งเรืองที่สุด ชาวบ้านในเมืองหลวงล้วนสรรเสริญและยกย่องฮ่องเต้แต่ละรัชสมัยว่าเป็น...
เทพเจ้ามาจุติ เป็นผู้ทรงคุณธรรม เป็นผู้มากบารมีทำให้มนุษย์เดินดินอย่างพวกเขาอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข
โดยเฉพาะฮ่องเต้หวังซานเย่องค์ปัจจุบันนี้ที่แม้เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่ถึงสิบปี ชาวประชาก็ยกย่องให้เป็นฮ่องเต้ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
คราที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากฮ่องเต้องค์ก่อน ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้มีพระโอรสสองพระองค์ที่ทรงยังไม่ตัดพระทัยแต่งตั้งให้ผู้ใดเป็นองค์รัชทายาทจึงเกิดการแข่งขันระหว่างสายเลือดกันอยู่ช่วงหนึ่งจนกระทั่งมิรู้ภายในเกิดเหตุอันใด....
ประชาชนภายนอกวังหลวงไม่มีใครรู้
จู่ ๆ ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็มาตกที่องค์ชายคนโตและท้ายที่สุดก็สืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาและปกครองมาถึงปัจจุบัน
โดยปกติหากฮ่องเต้ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์นั้นต้องการความมั่นคงของราชบัลลังก์ตนเองย่อมหมายใจกำจัดองค์ชายอีกคนมากอำนาจไม่แพ้กันเสียก่อนที่อีกฝ่ายจะทำการก่อกบฏเกิดความวุ่นวายเอาเสียก่อน ทว่ามิใช่กับฮ่องเต้ผู้ทรงมีเมตตาของประชาชนพระองค์นี้
ฮ่องเต้หวังซานเย่ทรงรักในพระอนุชาพระองค์นี้ของพระองค์แม้มิได้มีพระราชมารดาคนเดียวกันก็ตาม นอกจากไม่คิดสังหารพระอนุชาแล้วพระองค์ยังมอบบรรดาศักดิ์สูงส่งให้เป็นถึง ฉินอ๋อง
พร้อมดินแดนชัยภูมิที่สำคัญของแคว้นอย่างรัฐชายแดนแถบประจิมซึ่งติดกับชนเผ่าป่าเถื่อนสามแห่งให้ทรงปกครองอีกด้วย
รัฐชายแดนประจิมประกอบไปด้วยสามเมืองชายแดนที่สำคัญของแคว้นได้แก่
เมืองซีฉิน
เมืองเซียนเปย
และเมืองซีเอี้ยน
นอกจากนี้ยังมีข่าวลือเมื่อหลายปีที่แล้วที่บอกว่าฉินอ๋องเดินทางไปรัฐแถบประจิมด้วยขบวนขนสมบัติล้ำค่าที่ฮ่องเต้พระราชทานไปให้เสวยสุขโดยใช้รถม้ากว่าหนึ่งร้อยกว่าคันเลยทีเดียว
เมื่อปีกลายที่แล้วฮ่องเต้ยังทรงมอบองค์หญิงโฉมงามหนึ่งในบรรณาการที่ได้รับจากต่างแคว้นหลังจากทำสงครามชนะมอบให้ไปเป็นนางบำเรอ ของเล่นของฉินอ๋องอยู่เลย
เรียกได้ว่าหากมีสิ่งใดดี สิ่งใดล้ำค่าพระองค์ก็มักนึกถึงพระอนุชาผู้นี้ของตนอยู่เสมอ
ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านในเมืองหลวงจึงเอ่ยขานถึงความเมตตาอย่างหาที่สุดมิได้ข้อนี้ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมาโดยตลอด
กล่าวถึงภายในรั้ววังหลวงอันโอ่อ่าหรูหรา สถานที่ที่ทรงอำนาจมากที่สุดในแคว้นเซี่ย
ภายในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน บนโต๊ะไม้ทรงงานแกะสลักเป็นรูปมังกรทะยานแหวกหมู่นภา มีกองม้วนฎีกามากมายกองสูงท่วมพระเศียรของบุรุษหนุ่มรูปงาม ในสองพระหัตถ์นี้ของชายหนุ่มกอบกำอำนาจมากที่สุดในแว่นแคว้นเซี่ย
ฮ่องเต้หวังซานเย่นั่นเอง
บัดนี้พระขนงโก่งดั่งคันธนูกำลังขมวดเข้าหากันในขณะทรงทอดพระเนตรอ่านข้อความบนฎีกาม้วนแล้วม้วนเล่า
ทว่าอ่านอย่างไร ข้อความบนฎีกาเหล่านั้นก็ล้วนมีใจความไม่ต่างกันสักเท่าไร
“เหล่าขุนนางของข้าดูมิชอบใจในตัวพระอนุชาของข้าสักเท่าไรนัก ดูสิ เรื่องที่พวกเขารายงานข้าแต่ละคนนั้นเพ่งเล็งไปที่ฉินอ๋องทั้งนั้น ทำเอาข้าเริ่มมีใจเอนเอียงเห็นด้วยกับพวกเขาเสียแล้ว”
ในขณะที่พระโอษฐ์เปล่งวาจาออกมานั้นพระหัตถ์ขวาของหวังซานเย่ก็ยกขึ้นมาลูบวนไปบนคางของตนเองราวกับคนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
หัวหน้าขันทีจาง ขันทีที่ปรึกษาส่วนพระองค์เดินขึ้นมาข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อต่อบทสนทนาของเจ้านายตามความคิดของตนเอง
“ฉินอ๋อง ทรงเป็นอดีตองค์ชายความสามารถล้ำเลิศ แม้ฝ่าบาททรงส่งฉินอ๋องไปยังรัฐที่เต็มไปด้วยสงครามกับพวกป่าเถื่อนแล้วก็ตาม คิดไม่ถึงว่าฉินอ๋องนั้นใช้เวลาเพียงห้าปีก็สามารถปราบปรามชนเผ่าเถื่อนพวกนั้นให้สงบได้ แม้เวลานี้ฉินอ๋องไร้การเคลื่อนไหวผิดปกติใด ๆ ทว่าฝ่าบาทมิควรวางพระทัยนะพ่ะย่ะค่ะ พวกขุนนางในราชสำนักเองก็คงระแวงฉินอ๋องมิต่างกัน”
“หลายปีที่ผ่านมานี้เราเองก็ส่งคนของเราไปที่ดินแดนแถบประจิมตั้งมากมายทว่าไร้ข่าวคราวส่งกลับมา น้องชายเรานั้นฉลาดยิ่ง คนของเราคงโดนกำจัดไปหมดแล้วกระมัง”
“พ่ะย่ะค่ะฉินอ๋องทรงฉลาดทว่ามิเทียมเท่าฝ่าบาทผู้มีความคิดหลักแหลมเหนือผู้คนทั้งปวงพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮะ ฮ่า ท่านเอ่ยได้ดี”
ดวงตาของมังกรหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจกับขันทีชราที่ติดตามตนเองมานานผู้นี้
“ขุนนางทั้งหลายล้วนคลางแคลงใจในตัวฉินอ๋อง แล้วฝ่าบาทเล่าพ่ะย่ะค่ะ ทรงคิดเห็นเช่นไร”
“ฉินอ๋องเป็นน้องชายที่รักของเรา สิ่งใดดีเราก็มักมอบให้น้องชายเสมอ ไยฉินอ๋องจะต้องมาคิดร้ายกับเราด้วยเล่า เราพูดถูกหรือไม่ท่านหัวหน้าขันทีจาง”
“ตรัสถูกต้องทุกประการพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ฝ่าบาททรงสูงส่งมิจำเป็นต้องลดตัวลงไประแวงผู้ใดขนาดนั้น”
“หืม หัวหน้าขันที ท่านช่างปากหวานยิ่งนักทำให้เรามีความคิดหนึ่งขึ้นมาพอดี”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรอรับพระราชโองการ”
“ถ่ายทอดคำสั่งเราออกไปว่าให้ท่านเสนาบดีกรมมหาดไทยแต่งตั้งขุนนางมีความสามารถส่งไปเป็นผู้ช่วยปกครองเมืองซีฉิน เนื่องจากฉินอ๋องต้องเหน็ดเหนื่อยจากสงครามกับชนเผ่าเถื่อนมาอย่างยาวนานจำเป็นต้องพักผ่อนเสียบ้าง เราจึงปรารถนาให้ขุนนางมากความสามารถช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านงานบริหารของเขา”
“รับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
