ซุป’ตาร์สาวปราบหัวใจอ๋องทมิฬ

67.0K · จบแล้ว
น้องเหม่ยเหมย
39
บท
2.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ซุป'ตาร์ทะลุมิติมายุคโบราณ นึกว่าจะได้รับอิสระทว่าดันถูกส่งมาอยู่ในความปกครอง ของท่านอ๋องเจ้าแห่งสงคราม หนวดเคราไม่โกนไม่พอยังมีข่าวลือว่าเกลียดสตรีอีกด้วย ไหนจะเหล่าสตรีชั้นสูงที่อยู่รอบตัวท่านอ๋องอีก ไยพวกนางจึงมองมาที่ข้าด้วยสายตาแบบนั้นกันเล่า!!

นิยายรักโรแมนติกนิยายจีนโบราณดาราข้ามมิติจีนโบราณพระชายา

บทนำ

แคว้นเซี่ยคือดินแดนที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนานและได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งมหาอำนาจ ยากที่จะมีผู้ใดต่อต้านได้

ต้นเหตุที่มาของความแข็งแกร่งนี้ ตั้งแต่สมัยก่อตั้งแคว้นแรกเริ่มมีการกระจายอำนาจมอบให้ผู้มีฝีมือเก่งกาจ ตระกูลเก่าแก่และยิ่งใหญ่ทั้งสี่ทิศอันได้แก่ทิศทักษิณ บูรพา ประจิมและสุดท้ายทิศอุดรกระจายกันไปปกครองอาณาบริเวณของตนเองโดยมีศูนย์กลางเมืองหลวงอันมีวังหรูอันแสนยิ่งใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางแคว้นมีฮ่องเต้สมัยปัจจุบันอย่างฮ่องเต้หวังซานเย่ ปกครองอยู่

นอกจากวังหลวงเป็นดินแดนศูนย์กลางแล้วยังเป็นศูนย์รวมอำนาจจากสี่ทิศเพราะทุกดินแดนนั้นจะต้องคอยรายงานและส่งทหารของตนเองมารวมกันที่ใจกลางอำนาจแห่งนี้ในทุก ๆ ปีแล้วค่อยจัดสรรแบ่งออกไปใหม่ด้วยนั่นเอง

แนวคิดกระจายอำนาจนี้ทำให้แคว้นเซี่ยทั้งยิ่งใหญ่และมั่นคงมาอย่างยาวนานเพราะมีสี่เกราะกำบังแข็งแกร่งปกป้องจากศัตรูภายนอกแถมยังคอยคานอำนาจกำราบกันเองระหว่างสี่ทิศด้วยไปพร้อม ๆ กัน

ดังนั้นแม้ผู้มากอำนาจทั้งสี่ทิศจะได้รับมอบปกครองดินแดนในทิศของตนเอง พวกเขาก็นับเป็นขุนนางที่มีหน้าที่รับใช้งานฮ่องเต้องค์ปัจจุบันด้วยเช่นกัน

ประชาชนในแคว้นเซี่ยจึงอยู่ดีกินดีมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในเมืองหลวง เมืองอันกว้างใหญ่และเจริญรุ่งเรืองที่สุด ชาวบ้านในเมืองหลวงล้วนสรรเสริญและยกย่องฮ่องเต้แต่ละรัชสมัยว่าเป็น...

เทพเจ้ามาจุติ เป็นผู้ทรงคุณธรรม เป็นผู้มากบารมีทำให้มนุษย์เดินดินอย่างพวกเขาอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข

โดยเฉพาะฮ่องเต้หวังซานเย่องค์ปัจจุบันนี้ที่แม้เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่ถึงสิบปี ชาวประชาก็ยกย่องให้เป็นฮ่องเต้ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา

คราที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากฮ่องเต้องค์ก่อน ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้มีพระโอรสสองพระองค์ที่ทรงยังไม่ตัดพระทัยแต่งตั้งให้ผู้ใดเป็นองค์รัชทายาทจึงเกิดการแข่งขันระหว่างสายเลือดกันอยู่ช่วงหนึ่งจนกระทั่งมิรู้ภายในเกิดเหตุอันใด....

ประชาชนภายนอกวังหลวงไม่มีใครรู้

จู่ ๆ ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็มาตกที่องค์ชายคนโตและท้ายที่สุดก็สืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาและปกครองมาถึงปัจจุบัน

โดยปกติหากฮ่องเต้ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์นั้นต้องการความมั่นคงของราชบัลลังก์ตนเองย่อมหมายใจกำจัดองค์ชายอีกคนมากอำนาจไม่แพ้กันเสียก่อนที่อีกฝ่ายจะทำการก่อกบฏเกิดความวุ่นวายเอาเสียก่อน ทว่ามิใช่กับฮ่องเต้ผู้ทรงมีเมตตาของประชาชนพระองค์นี้

ฮ่องเต้หวังซานเย่ทรงรักในพระอนุชาพระองค์นี้ของพระองค์แม้มิได้มีพระราชมารดาคนเดียวกันก็ตาม นอกจากไม่คิดสังหารพระอนุชาแล้วพระองค์ยังมอบบรรดาศักดิ์สูงส่งให้เป็นถึง ฉินอ๋อง

พร้อมดินแดนชัยภูมิที่สำคัญของแคว้นอย่างรัฐชายแดนแถบประจิมซึ่งติดกับชนเผ่าป่าเถื่อนสามแห่งให้ทรงปกครองอีกด้วย

รัฐชายแดนประจิมประกอบไปด้วยสามเมืองชายแดนที่สำคัญของแคว้นได้แก่

เมืองซีฉิน

เมืองเซียนเปย

และเมืองซีเอี้ยน

นอกจากนี้ยังมีข่าวลือเมื่อหลายปีที่แล้วที่บอกว่าฉินอ๋องเดินทางไปรัฐแถบประจิมด้วยขบวนขนสมบัติล้ำค่าที่ฮ่องเต้พระราชทานไปให้เสวยสุขโดยใช้รถม้ากว่าหนึ่งร้อยกว่าคันเลยทีเดียว

เมื่อปีกลายที่แล้วฮ่องเต้ยังทรงมอบองค์หญิงโฉมงามหนึ่งในบรรณาการที่ได้รับจากต่างแคว้นหลังจากทำสงครามชนะมอบให้ไปเป็นนางบำเรอ ของเล่นของฉินอ๋องอยู่เลย

เรียกได้ว่าหากมีสิ่งใดดี สิ่งใดล้ำค่าพระองค์ก็มักนึกถึงพระอนุชาผู้นี้ของตนอยู่เสมอ

ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านในเมืองหลวงจึงเอ่ยขานถึงความเมตตาอย่างหาที่สุดมิได้ข้อนี้ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมาโดยตลอด

กล่าวถึงภายในรั้ววังหลวงอันโอ่อ่าหรูหรา สถานที่ที่ทรงอำนาจมากที่สุดในแคว้นเซี่ย

ภายในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน บนโต๊ะไม้ทรงงานแกะสลักเป็นรูปมังกรทะยานแหวกหมู่นภา มีกองม้วนฎีกามากมายกองสูงท่วมพระเศียรของบุรุษหนุ่มรูปงาม ในสองพระหัตถ์นี้ของชายหนุ่มกอบกำอำนาจมากที่สุดในแว่นแคว้นเซี่ย

ฮ่องเต้หวังซานเย่นั่นเอง

บัดนี้พระขนงโก่งดั่งคันธนูกำลังขมวดเข้าหากันในขณะทรงทอดพระเนตรอ่านข้อความบนฎีกาม้วนแล้วม้วนเล่า

ทว่าอ่านอย่างไร ข้อความบนฎีกาเหล่านั้นก็ล้วนมีใจความไม่ต่างกันสักเท่าไร

“เหล่าขุนนางของข้าดูมิชอบใจในตัวพระอนุชาของข้าสักเท่าไรนัก ดูสิ เรื่องที่พวกเขารายงานข้าแต่ละคนนั้นเพ่งเล็งไปที่ฉินอ๋องทั้งนั้น ทำเอาข้าเริ่มมีใจเอนเอียงเห็นด้วยกับพวกเขาเสียแล้ว”

ในขณะที่พระโอษฐ์เปล่งวาจาออกมานั้นพระหัตถ์ขวาของหวังซานเย่ก็ยกขึ้นมาลูบวนไปบนคางของตนเองราวกับคนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

หัวหน้าขันทีจาง ขันทีที่ปรึกษาส่วนพระองค์เดินขึ้นมาข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อต่อบทสนทนาของเจ้านายตามความคิดของตนเอง

“ฉินอ๋อง ทรงเป็นอดีตองค์ชายความสามารถล้ำเลิศ แม้ฝ่าบาททรงส่งฉินอ๋องไปยังรัฐที่เต็มไปด้วยสงครามกับพวกป่าเถื่อนแล้วก็ตาม คิดไม่ถึงว่าฉินอ๋องนั้นใช้เวลาเพียงห้าปีก็สามารถปราบปรามชนเผ่าเถื่อนพวกนั้นให้สงบได้ แม้เวลานี้ฉินอ๋องไร้การเคลื่อนไหวผิดปกติใด ๆ ทว่าฝ่าบาทมิควรวางพระทัยนะพ่ะย่ะค่ะ พวกขุนนางในราชสำนักเองก็คงระแวงฉินอ๋องมิต่างกัน”

“หลายปีที่ผ่านมานี้เราเองก็ส่งคนของเราไปที่ดินแดนแถบประจิมตั้งมากมายทว่าไร้ข่าวคราวส่งกลับมา น้องชายเรานั้นฉลาดยิ่ง คนของเราคงโดนกำจัดไปหมดแล้วกระมัง”

“พ่ะย่ะค่ะฉินอ๋องทรงฉลาดทว่ามิเทียมเท่าฝ่าบาทผู้มีความคิดหลักแหลมเหนือผู้คนทั้งปวงพ่ะย่ะค่ะ”

“ฮะ ฮ่า ท่านเอ่ยได้ดี”

ดวงตาของมังกรหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจกับขันทีชราที่ติดตามตนเองมานานผู้นี้

“ขุนนางทั้งหลายล้วนคลางแคลงใจในตัวฉินอ๋อง แล้วฝ่าบาทเล่าพ่ะย่ะค่ะ ทรงคิดเห็นเช่นไร”

“ฉินอ๋องเป็นน้องชายที่รักของเรา สิ่งใดดีเราก็มักมอบให้น้องชายเสมอ ไยฉินอ๋องจะต้องมาคิดร้ายกับเราด้วยเล่า เราพูดถูกหรือไม่ท่านหัวหน้าขันทีจาง”

“ตรัสถูกต้องทุกประการพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ฝ่าบาททรงสูงส่งมิจำเป็นต้องลดตัวลงไประแวงผู้ใดขนาดนั้น”

“หืม หัวหน้าขันที ท่านช่างปากหวานยิ่งนักทำให้เรามีความคิดหนึ่งขึ้นมาพอดี”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรอรับพระราชโองการ”

“ถ่ายทอดคำสั่งเราออกไปว่าให้ท่านเสนาบดีกรมมหาดไทยแต่งตั้งขุนนางมีความสามารถส่งไปเป็นผู้ช่วยปกครองเมืองซีฉิน เนื่องจากฉินอ๋องต้องเหน็ดเหนื่อยจากสงครามกับชนเผ่าเถื่อนมาอย่างยาวนานจำเป็นต้องพักผ่อนเสียบ้าง เราจึงปรารถนาให้ขุนนางมากความสามารถช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านงานบริหารของเขา”

“รับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”