ตอนที่ 10
“แกว๊กกก แกว๊กกกก!”
ถึงสองสามีภรรยาจะฟังภาษาไก่ไม่ออก แต่รับรู้ได้ถึงความไม่เป็นมิตรในน้ำเสียง ปีกสองข้างกระพือสูงเพื่อข่มขวัญ รู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์กลับตัวไม่ได้ ให้ลุยต่อก็คงไปไม่ถึงอย่างไรชอบกล กระนั้นหลี่อี้เทียนทำใจดีสู้ไก่เอื้อมมือเด็ดผลท้อต่อ
“ท่านพี่ระวังเจ้าค่ะ”
เตือนไม่ทันจบประโยค เจ้าไก่ขี้หวงก็ตีปีกและประเคนเท้าใส่ชายหนุ่มรัวๆ
“โอ๊ยๆ ไปแล้วๆ!” หลี่อี้เทียนหดคอหลบการโจมตีจากไก่คลั่ง ขาขึ้นปีนป่ายอย่างระมัดระวัง แต่ขาลงแทบพุ่งหลาวจากต้นไม้ ยืนบนพื้นแค่อึดใจ ก็มีเสียงตีปีกสลับวิ่งย่ำบนพื้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ชะรอยว่าเสียงแหลมที่แผดก่อนหน้าจะเป็นการตามพรรคพวก ไก่ป่าฝูงใหญ่กำลังกรูมาหาสองสามีภรรยา มองอย่างไรก็หาความปลอดภัยในชีวิตไม่ได้
“น้องหญิง วิ่ง!”
“เจ้าค่ะ!”
มือเล็กรีบห่อผ้าลวกๆ แล้วกอดไว้ในอ้อมแขน หลินจื้ออิงโกยแน่บ พยายามรักษาผลท้อยิ่งชีพ
“กระต๊ากก!”
เจ้าไก่หัวโจกไม่วายส่งเสียงไล่หลัง หากแปลเป็นภาษามนุษย์คงหมายถึงว่า ‘ไปให้พ้นเลยนะ!’
ภารกิจออกสำรวจ จู่ๆ ก็กลายเป็นภารกิจเอาตัวรอด หลี่อี้เทียนคว้าข้อมืออีกคนไว้ ก่อนจะพากันสับขาวิ่งออกจากป่าโดยมีฝูงไก่หัวร้อนตามไปติดๆ เมื่อเห็นผู้บุกรุกพ้นชายป่าไปพวกมันก็เลิกรา
“ท…ท่านพี่ ข…ข้าขอพักหายใจก่อนเจ้าค่ะ”
หันไปดูด้านหลังไม่เจอฝูงไก่ไล่กวด คนตัวเล็กกว่าชะลอจังหวะวิ่งแล้วทิ้งตัวลงนั่ง ชายหนุ่มเองก็รู้สึกเหมือนว่าปอดจะหลุดออกมาด้านนอกจึงทรุดตัวลงนั่งด้วย
พักหายใจหายคอได้ครู่หนึ่ง นัยน์ตาคู่กลมเพิ่งสังเกตเห็นสภาพสามี ผมเผ้าที่เมื่อเช้ารวบอย่างดี บัดนี้ยุ่งเหยิงเพราะไก่ทึ้งไว้ หลินจื้ออิงเม้มปากเบนหน้าไปอีกทาง พยายามอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้เผลอเสียมารยาทหลุดยิ้มออกมา
“น้องหญิงอย่าขำข้า ผมหน้าม้าเจ้าก็แตกเช่นกัน”
หลี่อี้เทียนแซวกลับพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ เขาพอคาดเดาสภาพตัวเองได้ว่ายับเยินแค่ไหน จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปให้ผู้เป็นภรรยา
“กลับบ้านไปตั้งหลักกันก่อนเถิดวันนี้”
“ไก่พวกนั้นดุมากเลยนะเจ้าคะ”
“นั่นสิ”
หลินจื้ออิงนิ่งคิดอยู่ครู่ก่อนทาบมือลงไป ฝ่ามือใหญ่ช่วยดึงนางให้ลุกขึ้นมา แถมยังช่วยจัดผมหน้าม้าอีกฝ่ายให้เข้าทรงตามเดิม จากนั้นพากันเดินไปคุยไปเกี่ยวกับการผจญภัยวันนี้กระทั่งกลับถึงบ้าน
ทั้งคู่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าชีวิตหลังแต่งงานจะมีเรื่องให้ตื่นเต้นเช่นนี้!
การเป็นชาวนาชาวสวนมันไม่ง่ายเลยจริงๆ!
“เอ้า มากินมา”
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น เหมือนดั่งอดีตซูเปอร์สตาร์ตามตีสนิทกับไก่ป่า ถึงขั้นลงทุนทำอาหารไปโปรยให้ ช่วงแรกสองสามีภรรยายังโดนพวกมันขับไล่ กระทั่งผ่านไปหลายวันค่อยเริ่มคุ้นหน้าและยอมให้พวกเขาเข้าไปเก็บลูกท้อได้
แวบหนึ่งหลี่อี้เทียนนึกอยากจับพวกมันไปประกอบอาหาร แต่ก็เปลี่ยนใจเป็นนำไปเลี้ยงเพื่อเก็บไข่กินแทน จัดการสร้างเล้าละแวกแปลงผักซึ่งห่างออกจากตัวบ้าน เลี่ยงไม่ให้มีกลิ่นและเสียงรบกวน เขาเลือกตัวที่เชื่องหน่อยมาดูแล บางส่วนก็ปล่อยไว้ในป่าตามเดิม
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ปิดกั้นอิสรภาพพวกมัน เพราะเข้าใจดีว่าไก่ป่าพวกนี้คุ้นชินกับธรรมชาติมากกว่า การเลี้ยงของเขาจึงเป็นในลักษณะกึ่งปล่อย วันดีคืนดีไก่ก็เดินออกจากเล้าเพื่อไปพบปะสหายในป่าก็มี
หลังให้อาหารไก่เสร็จในแต่ละวัน สองสามีภรรยาจะช่วยกันขยายแปลงผักและเตรียมหน้าดินให้พร้อมก่อนเริ่มการเพาะปลูก พืชบางชนิดสามารถดูแลต่อจากที่หลี่อี้เทียนคนก่อนปลูกไว้ได้เลย แต่บางอย่างต้องปลูกใหม่ สำหรับคนไร้ประสบการณ์ถือว่าท้าทายมากทีเดียว จะรอดหรือร่วงประเดี๋ยวได้รู้กัน
ดีที่ห้องเก็บของมีอุปกรณ์ทำการเกษตรครบถ้วน เมล็ดพันธุ์แยกใส่กระบอกพร้อมเขียนบอกเสร็จสรรพ อีกทั้งยังมีบันทึกวิธีการเพาะปลูกพืชชนิดต่างๆ ที่มาจากการลองผิดลองถูก แสดงว่าหลี่อี้เทียนคนก่อนมีนิสัยละเอียดถี่ถ้วนใช้ได้
“น้องหญิง รับนี่ไป หลุมนึงหยอดสัก 3-4 เมล็ดพอนะ”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่อี้เทียนส่งถ้วยใส่เมล็ดพันธุ์ให้ภรรยาพร้อมอธิบาย จากที่อ่านบันทึกมาเขามองว่าควรปลูกผสมกันระหว่างพืชระยะสั้นและพืชระยะกลาง จะได้มีผลิตผลไว้ขายได้เรื่อยๆ ไม่ขาดตอน ชาวนามือใหม่ตั้งใจปลูกผักบุ้งและหัวผักกาดแดงก่อน หากจะนำไปขายที่ตลาดวันใดค่อยเก็บของในป่ามาเสริมอีกทาง
หญิงสาวทยอยหย่อนเมล็ดหัวผักกาดแดงลงหลุมเล็กที่เตรียมไว้ตามคำกำชับของสามี ส่วนหลี่อี้เทียนย้ายไปอีกแปลงซึ่งห่างออกมา เพื่อไถพรวนดินให้ละเอียดหลังจากตากดินครบสิบวัน ถึงจะมีบันทึกแต่ก็ใช่ว่ามือใหม่จะเข้าใจได้โดยเพียงการอ่านไม่กี่รอบ เขางมอยู่นานกว่าจะทราบว่าการยกแปลงให้สูงนั้นทำอย่างไร
