เทพบุตรหัวใจห้าวรัก / ตอนที่ 8
ภีมวัจน์กระโดดถอยหลัง ลืมตัวร้องลั่นเพราะคาดไม่ถึง
“เล่นอะไรบ้าๆ!”
แทนคำตอบ แขนเรียวยื่นเหยียดสุดแขน เท้าก้าวตามติด ภีมวัจน์โดดหลบเข้าหลังเก้าอี้แต่ร่างบางก้าวตามไม่ลดละ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ จุ๊บ!”
ชายหนุ่มเอ็ดตะโร โกรธขึ้นมาจริงๆ
“ถึงเป็นแค่ฟอยล์ ดาบฝึกไม่มีคมแต่หัวมันแหลม แล้วไอ้ที่สวมปลายอยู่หลุดแล้วนั่นเห็นมั้ย เดี๋ยวได้เลือดตกยางออกกันจริงๆมั่งละ เลิกทำบ้าๆได้แล้ว”
“ว่าจุ๊บทำบ้าเหรอ? ใครว่าทำบ้า เก่งจริงหนีทำไม คิดจะจับเค้าหวดก้นไม่ใช่เหรอ”
เขายิ่งหนี หล่อนก็ยิ่งตาม ภีมวัจน์หันหลังทำท่าคล้ายจะวิ่งหนีปลายฟอยล์เมื่อร่างกะทัดรัดสะอึกเข้าหา แต่ในพริบตาเดียวร่างสูงก็หมุนตัวกลับ ตีมุมโค้งนิดหนึ่งกะว่าพ้นปลายดาบฝึกที่ทิ่มเข้ามา อาศัยความรวดเร็วสับสันมือลงกับข้อมือเล็กข้างกำดาบไล่แทงเขา กะแค่ให้หญิงสาวปล่อยดาบฝึกหลุดจากมือ
เจ้าของมือบางร้อง “อุ๊ย!” ตกใจมากกว่าเจ็บ เมื่อถูกสันมือชายหนุ่มสับลงตรงๆบนข้อมือเล็ก กระทั่งดาบฟอยล์หลุดจากมือ
เธอมองเขาตาเขียว แต่สีหน้าแววตาชายหนุ่มบอกว่าโกรธแรงกว่า
“เลิกบ้าได้แล้ว!”
เขาพูดเสียงเย็น ท่าทางโกรธจัด
“ถ้ายังขืนทำบ้าๆอย่างพวกปัญญาอ่อนอย่าหาว่าผมไม่เตือน จำไว้ให้ขึ้นใจด้วย ผู้ชายเขาจะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษก็แต่กับสุภาพสตรีเท่านั้นแหละ กับผู้หญิงที่ไม่เพียงไม่ใช่สุภาพสตรีแต่ยังชอบทำตัวสะเทินน้ำสะเทินบก ไม่มีผู้ชายคนไหนเขาอยากทำตัวสุภาพด้วยหรอกนะ อย่าว่าอะไรเลย แม้แต่จะคบหาสมาคมด้วยถ้าเลี่ยงได้เขาก็คงเลี่ยง ไม่มีใครหรอกอยากคบผู้หญิงที่ควรจะเป็นกุลสตรีที่น่ารักได้ตามความเป็นจริง แต่กลับทำตัวก๋ากั่นจนไม่เหลือความน่ารักอยู่เลยแบบนี้”
ตาคมสีน้ำตาลเข้มจัดมองมาแน่วนิ่ง ประกายตาหมางเมิน ติฉิน และเย็นเยียบ
ปากบางอิ่มระเรื่อสั่น ตาโตตะลึงมองชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งก่อนอุทานออกมา ฟังคล้ายเสียงสะอื้น จากนั้นก็ผลุนผลันหันหลังวิ่งลับไปจากสายตาคมฉายแววกระด้าง
ภีมวัจน์ยังยืนนิ่งขึง ครู่ใหญ่จึงเดินกลับมาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ยาวตัวเดิมที่เขานอนฟังเพลงอยู่ก่อน
ความโกรธในใจเขาไม่เหลือแล้ว มีก็แต่ความเสียใจ
ภาพดวงตากลมใหญ่สีน้ำตาลใสตะลึงมองเขาอย่างคาดไม่ถึง ก่อนตาสวยใสเบิกกว้างคู่นั้นจะค่อยๆ คลอคลอง ก่อความรู้สึกเหมือนมีอะไรกระแทกแรงเข้าที่หัวใจจนเจ็บแปลบ
เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ไม่เข้าใจว่าเหตุใด ถึงเกิดความสะเทือนใจลึกซึ้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาไม่ควรลุแก่โทสะอย่างนั้น หล่อนยังเด็ก เขาเองเป็นผู้ใหญ่กว่าตั้งมากมาย ควรจะควบคุมอารมณ์ได้มากกว่านี้
เผลอพูดออกไปได้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน
จะโกรธสักแค่ไหนก็ควรแค่หยุดการกระทำที่อาจก่ออันตรายนั้น แล้วเดินหนีเสียก็สิ้นเรื่อง
แต่นี่ ที่เขาพูดไปเหมือนเกลียดขี้หน้ากันมาแต่ไหนไม่รู้ ทั้งที่ความจริงเขาไม่เคยเกลียด
อาจจะหมั่นไส้ หรือรู้สึกขวางถึงขั้นมีโมโหบ้างบางครั้ง แต่ไม่เคยเกลียด
หลังได้รู้จัก ได้รู้ว่าหล่อนถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร โดยพ่อที่รักลูกซึ่งกำพร้าแม่แต่วัยเยาว์ เขาก็พอจะเข้าใจลักษณะนิสัยที่เขาเคยขวางเคยหมั่นไส้ แล้วก็หมดความรู้สึกต่างๆเหล่านี้ เหลือแต่ความเอ็นดูแกมขันในความซุกซน กล้าพูดกล้าทำ ไร้จริตสาว
ภีมวัจน์ยกมือกุมขมับ บีบตาแน่นเข้าหากัน แต่ภาพดวงตาคู่ใหญ่คลอคลองน้ำตายังตามติด
ชั่ววินาทีหนึ่ง เขาเกิดความรู้สึกประหลาด แต่ก็ชวนให้ตกใจ
เขารู้สึกถึงความสิ้นหวัง ทั้งที่ไม่รู้ว่าตนหวังในสิ่งใดไว้
ภีมวัจน์อาจจะได้คำตอบ ถ้าเพียงแต่เขาตั้งใจคิดหาคำตอบจริงจัง แต่แปลกว่าเขากลัว
มันเหมือนกับว่า ทันทีที่เขารู้อะไรเป็นอะไร รู้ว่าสิ่งใดก่อความรู้สึกที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนความหายนะจะเกิดขึ้นแก่เขา
ชายหนุ่มไม่รู้ว่า สิ่งที่เขารู้สึกอยู่นั้นเรียกสัญญาณเตือนภัยสำหรับคนหนุ่มที่ยังรักอิสระ ยังไม่คิดจะละอิสรภาพในเร็ววัน
อย่างไรก็ตาม อาหารค่ำที่ณิชารีย์ปรุงสุดฝีมือที่เขาเคยรู้สึกว่า อร่อยสมกับความเป็นแม่บ้านแม่ครัวเต็มไปด้วยพรสวรรค์ในแต่ละวันที่ผ่านมา ไร้รสชาติตั้งแต่รู้แน่ว่าหญิงสาวที่มีปากเสียงกับเขาเมื่อช่วงกลางวันที่ผ่านมา ไม่ลงมาร่วมโต๊ะอาหารอย่างแน่ๆ
“ยายจุ๊บล่ะ? ไปไหน ทำไมป่านนี้ไม่ลงมา น่าจะรู้เวลา”
ณัฐกานต์พูดขึ้นหลังจากทุกคนเข้าประจำที่ ขาดอยู่คนเดียว ญาติสาวผู้น้อง
“ยายจุ๊บขอตัวจ้ะ เห็นว่าปวดหัว”
ณิชารีย์เป็นคนตอบน้องชาย
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าฮะ” ณฐกิตติ์ถามขึ้น ท่าทางห่วงใยขึ้นมาทันที “ปกติยายจอมซนนั่นเคยเป็นอะไรกับใครเขาที่ไหน หัวแข็งยังกับโต๊ะหิน”
“นั่นสิ” ณัฐกานต์เห็นด้วย “ยายจุ๊บไม่เคยป่วยไข้ พี่ณิชถามดูอาการน้องหรือเปล่าครับ เป็นอะไรมากหรือเปล่า?”
“ถามแล้วจ้ะ”
ณิชารีย์ตอบอย่างใจเย็น ปกติหล่อนก็เป็นคนใจเย็น ไม่เคยรีบร้อน หรือออกท่าทางเกรี้ยวกราดกับใครเป็น
“เห็นบอกว่าปวดหัวอย่างเดียว” หล่อนอธิบายเพิ่มเติมให้น้องๆ สบายใจ “ตัวไม่ร้อน คิดว่าไม่น่าจะมีไข้ สงสัยจะปวดหัวแดด วันก่อนเห็นควบม้าตะลอนไปทั่วทั้งแดดเปรี้ยง แต่พี่ให้ทานยากันไว้แล้วละ”
ข้าวทุกเม็ดที่เคยนุ่มหอม กลายเป็นก้อนกรวดในพริบตาสำหรับภีมวัจน์ เพราะรู้ดีกว่าใครถึงสาเหตุปวดหัวกะทันหัน จนลงมาร่วมโต๊ะอาหารค่ำไม่ได้ของญาติผู้น้องเพื่อนของเขา
