อุบัติรักใต้เงาอสูร / ตอนที่ 9
“มองผม แล้วทำท่าหน้านิ่วคิ้วขมวด มีอะไรในตัวผมที่พจีไม่ชอบใจหรือครับ?”
หล่อนหน้าแดง รีบเมินสายตาไปจากร่างสูงเบื้องหน้า
“เปล่าค่ะ”
“เปล่าอีกแล้ว”
เขาขยับตัวตรง ก้าวล้ำเข้ามาในส่วนที่เป็นห้องพักของหล่อน พจีจำเรียงถอยหลัง ไปยืนอยู่ข้างเตียง
ทรงพิชิตหยุดห่างจากร่างโปร่งอรชร ราวสองก้าว มองหน้าเพรียวที่ดูเซียวไปบ้างอย่างพินิจ
หล่อนมองตอบเขาอย่างระวัง ทำให้เขานึกถึงนางเนื้อ เวลาเห็นนายพรานปรากฏตรงหน้า
“พจีกลัวผมหรือ”
หล่อนทำท่าประหลาดใจ คงไม่คิดว่าเขาจะถามคำถามนี้
“ไม่ต้องกลัวนะ”
เขาพูดต่อด้วยเสียงนุ่มๆ
“พจีไม่มีอะไรจะต้องกลัวผมเลย ผมบอกแล้วไง พจีจะปลอดภัย เมื่ออยู่กับผม มากกว่าจะไปอยู่ตามลำพังเสียอีก”
พจีจำเรียงรู้สึกบอกไม่ถูก กับกังวานหางเสียงนุ่มนวล ฟังอ่อนโยนของเขา
โดยเฉพาะเมื่อเขาเรียกหล่อน ‘พจี’ แทน ‘คุณ’ ซึ่งเป็นไปในแนวเดียวกันกับสายตาของเขา ที่กำลังตรึงสายตาของหล่อนให้มองตอบ ไม่ยอมให้หลบ
หล่อนรู้สึกอึดอัด... ไม่แน่ใจว่าจะได้รับความปลอดภัยจริง แต่ก็รู้สึกอบอุ่น ระคนวาบหวาม อธิบายไม่ถูกเลยจริงๆ
กำลังคิดพิจารณาความรู้สึกของตัวเองว่า เป็นไปในแนวไหนแน่ ก็รู้สึกว่า ร่างสูงเคลื่อนเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น
หล่อนกระพริบตา
แต่ถึงตอนนี้ จะถอยก็ถอยไม่ทันเสียแล้ว และยังถูกต้อนเข้ามุมคับขัน
ช่วงขาสัมผัสเตียง แปลว่าหล่อนถอยต่อไปไม่ได้ เว้นเสียแต่จะปีนขึ้นไปบนเตียง ซึ่งก็ยิ่งอันตราย
กำลังมองหาทางหนีทีไล่ มือสีน้ำตาลอ่อนประกอบด้วยนิ้วยาวเรียว ที่น่าจะทรงพลังในการหยิบจับ หรือถ้าถูกกำเข้าหากันก็คงกลายเป็นหมัดที่แข็งแกร่ง ... แตะลงบนหัวไหล่หล่อน กำเข้าช้าๆ จากนั้น ก็ออกแรงดึงเอาหล่อนเข้าไปหาร่างสูงของเขา
ทั้งหมดนี้ ดำเนินไปช้าๆ เนิบนุ่ม หล่อนจึงไม่ทันคิดว่าควรออกแรงผลักไส หรือสะบัดตัว ให้พ้นมือที่เกาะกุมหัวไหล่ทั้งสองข้าง
กว่าจะคิดได้ ว่าตัวเองกำลังจะถูกกอด ชายหนุ่มก็เลื่อนมือ ขยับแขน เปลี่ยนมาเป็นสวมกอดหล่อนเอาไว้ทั้งตัวแล้ว
“ปล่อยค่ะ”
คำพูดห้ามนี้ ช้าไปอีกตามเคย เพราะหลุดจากปากเผยอขึ้นด้วยความตกใจของหล่อน ก็เมื่อใบหน้าสะอาดคมสันก้มลงมาแล้ว โดยมีใบหน้าของหล่อนเป็นเป้าหมาย และเรียวปากของหล่อน คือปลายทาง
พจีจำเรียงมีโอกาส... หรืออันที่จริงต้องพูดว่ามีสติคิดยับยั้งการรุกรานอย่างอุกอาจ ที่เป็นไปอย่างมั่นใจของชายหนุ่ม ไม่ถึงอึดใจ ... ทุกอย่าง แม้แต่สัมปชัญญะที่เคยมีติดตัวตลอดมา ก็ค่อยๆ เลือนหาย และลอยห่าง
พจีจำเรียงไม่เคยถูกจูบมาก่อน จากผู้ชายหนุ่ม ไม่ว่าจูบลักษณะไหน
ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ... และชายหนุ่มที่จูบหล่อน ก็เป็นคนที่หล่อนออกจะมีความต้องตาในรูปลักษณ์ของเขา อย่างที่ไม่เคยสะดุดตา สะดุดใจ ในชายใดมาก่อน
ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด การกระทำของเขา ไม่ทำให้หล่อนรู้สึกเลยว่า ถูกเขารุกราน รังแก
อ้อมกอดของเขาอบอุ่น ริมฝีปากของเขาอ่อนนุ่มกว่าที่คิด และตั้งแต่เขาเริ่มแตะตัวหล่อน กระทั่งสวมกอดเอาไว้ ด้วยมัดแขนมั่นคง เลยมาถึงจูบแรก หลังจากริมฝีปากแตะกัน ล้วนแต่เป็นไปอย่างนุ่มนวล
ถ้าเขาไม่ช่ำชองอย่างเหลือเกิน ในการเข้าถึงตัวผู้หญิง และทำให้ผู้หญิงเกิดความไว้วางใจ กระทั่งยอมให้เขาจับจูงได้ตามอำเภอใจ ไม่ว่าเขาจะพาขึ้นเขา ลงห้วย ดำน้ำ หรือย่ำไฟ... เขาก็คงมีเวทย์มนตร์สะกดสาว
ไม่เช่นนั้น มีหรือ แม้แต่หล่อน ซึ่งไม่เคยปล่อยตัวให้ผู้ชายหน้าไหน ใกล้ชิดสนิทสนมเกินเลยไปจากความเป็นเพื่อน จะยอมเขาง่ายๆ เช่นนี้
พจีจำเรียงไม่รู้เลยจริงๆ ทรงพิชิตจะจูบหล่อนไปนานแค่ไหน หรือจะหยุดลงเมื่อใด
ในสมองหล่อน ปราศจากคำถาม ไร้อดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่อนาคต
เหมือนกับว่า หล่อนกลายเป็นสิ่งไร้ตัวตน หรือถ้ามีตัวตน ก็คงเล็กนิดเดียว ไม่ก็น้ำหนักเบายิ่งกว่าขนนก ไม่เช่นนั้นหล่อนคงไม่กำลังลอยลิ่วปลิวลมสูงขึ้นๆ สู่อีกห้วงบรรยากาศ ที่มีแต่แสงสีสวยงาม พราวระยับจับตา ท่ามกลางอุณหภูมิที่พอดี ไม่อุ่นไป หรือหนาวไป
“พจี...”
เสียงใครเรียกหล่อน? แล้วเรียกมาจากไหนละนั่น?
“พจีจ๋า”
ร่างไร้น้ำหนักของหล่อน ที่กำลังลอยขึ้นสัมผัสบรรยากาศชวนสบาย ตกกลับลงมาอย่างรวดเร็ว
หล่อนกลับคืนสู่โลกความเป็นจริง มีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สมองกลับมาทำงาน ทำให้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“อุ๊ย!”
คำอุทานของหล่อนฟังน่าขัน และคนที่ยังกอดหล่อนหลวมๆ ก็หัวเราะใส่หน้าหล่อนเบาๆ ... ไม่ใช่หัวเราะเยาะ หรือดูแคลน แต่ฟังคล้ายเขาจะขัน หรือเอ็นดูหล่อนมากกว่า แต่คำพูดจากปากที่เพิ่งหุบยิ้ม โดยสีหน้ายังเปื้อนยิ้ม ก็ทำเอาหล่อนตีหน้าไม่ถูก
“ผมอาจคิดผิด ที่บอกพจีว่าจะปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้ผม”
“คุณ...”
“ผมว่าพจีต้องช่วยผมหน่อยละนะ ถ้าไม่อยากให้ผมเสียคน เพราะคำพูดเชื่อถือไม่ได้”
“ช่วย... ช่วยอะไรคะ?”
ดูเหมือนสมองของหล่อนที่เคยคมไว จะเฉื่อยชาไปเสียแล้ว
“ช่วยห้าม เวลาผมนึกอยากจูบพจีขึ้นมาน่ะสิ”
“คุณ...”
“นะครับ คนดี ช่วยผมหน่อย อย่าเพิ่งให้ผมเสียสัจจะ หรือความตั้งใจ ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เราจะต้องอยู่ร่วมกันเลย”
“แต่คุณ... นะคะ เริ่มก่อน”
กล่าวหาเขาเสียเลย อย่างน้อยก็จะได้ลดความรู้สึกอับอาย แม้จะไม่ถึงขายหน้า
“ผมไม่ปฏิเสธ”
เขาพูดยิ้มๆ อย่างชวนให้หล่อนชักหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ
“เพราะงั้น ถึงอยากขอร้อง ให้พจีช่วยผมหน่อย เพราะผมอาจจะเริ่มอีก ไม่ใช่แค่ครั้ง หรือสองครั้ง คงมีบ่อยๆ อาจจะทุกนาทีเลยก็ได้ พจีไม่รู้ตัวหรือไงนะว่า น่ารักและมีปากชวนจูบแค่ไหน เห็นทีแรกผมก็นึกอยากจูบแล้ว!”
“จี... ฉัน ... ฉันว่า ฉันกลับขึ้นฝั่งดีกว่า”
หล่อนพูดเสียงไม่มั่นใจ เดินเลี่ยงร่างสูงไปยืนห่างออกไป ความจริงไม่แน่ใจมากกว่า สิ่งที่ตัวเองพูดออกมานั้น ตนต้องการเช่นนั้นจริงๆ หรือเปล่า
