อุบัติรักใต้เงาอสูร / ตอนที่ 2
“ลุงเสียใจด้วยจริงๆ แต่ไม่ใช่หนูกับคุณแม่ของหนูเท่านั้น ที่รู้สึกว่าได้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ลุงเองก็ได้เสียเพื่อนรัก ที่มีน้ำใจกับลุงมาตลอดไปเหมือนกัน”
เชี่ยวศักดิ์มองหน้าแห้งโหย แต่กลับไม่มีน้ำตาให้เห็นสักหยด กล่าวสืบไป เพราะเห็นจำเป็น
ออกสู่ท้องตลาดเพียงอย่าง สองอย่าง เป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องสำอาง
“ลุงอยากขอร้องให้หนูละความเศร้าโศกไว้ก่อน เราควรมากะการณ์กันว่า จะทำยังไงต่อไป เรื่อง...จัดงานฌาปนกิจ ลุงเห็นว่าคงต้องทำ แม้จะไม่มี... ศพ ก็ตามที”
“หนู... หนูคงต้องขอปรึกษากับแม่ดูก่อน เรื่องนี้”
เชี่ยวศักดิ์ต้องถอนใจ
“ลุงเข้าใจ เอาเถอะเรื่องทำพิธีทางศาสนาเอาไว้ทีหลังก็ได้ แต่เรื่องบริษัท ลุงอยากให้หนูเริ่มคิดได้แล้วว่าจะทำยังไงต่อไป... หนูก็รู้ไม่ใช่หรือ ขาดพ่อของหนูเสียคน เรามีปัญหาแน่ เว้นแต่เราจะให้มีการเข้ามาร่วมทุน”
พจีจำเรียงนิ่วหน้า ลืมความเศร้าโศกไปชั่วขณะ
“หมายความว่ายังไงคะ คุณลุง?”
อีกครั้งที่เชี่ยวศักดิ์ต้องถอนใจ
“ลุงไม่รู้ว่าหนูรู้หรือเปล่า สองปีหลังมานี้บริษัทของเราถูกแย่งลูกค้าไปมาก จากบริษัทคลื่นลูกใหม่บ้าง บริษัทใหญ่ๆกว่าเรา ที่คอยคิดค้นสิ่งใหม่ๆออกสู่ตลาดเรื่อยๆบ้าง ขณะที่ของเรา ย่ำอยู่กับที่ ... ลุงพูดได้ว่า บริษัทเราเวลานี้ นอกจากจะขายแต่สินค้าตัวเดิม ที่นับวันความนิยมจะลดลง เพราะภาพลักษณ์ด้านคุณภาพ เริ่มสู้ของใหม่ไม่ได้ เราไม่มีการปรับปรุง ให้สู้กับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ๆจากบริษัทอื่นๆที่มีเพิ่มมากขึ้น เรามีสินค้าตัวเดียวเท่านั้นเวลานี้ ที่ยังครองตลาดในอันดับต้นๆคือแป้งเย็น ที่ช่วยยับยั้งผดผื่นคัน และช่วยระงับกลิ่นกาย”
“หนูรู้ว่าเราไม่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกสู่ท้องตลาดเลยในช่วงหนึ่งปีมานี้ แต่ไม่คิดว่า จะถึงกับทำให้บริษัทขาดสภาพคล่อง ต้องถึงกับระดมทุน ให้มีคนภายนอกเข้ามาถือหุ้น?”
“เวลานี้อาจจะยัง แต่อีกไม่นาน เราเจอปัญหาแน่ ลุงพูดขึ้นมา ก็เพราะอยากปรึกษาหนู อยากให้หนูรีบคิดหาทางแก้ไขแต่เนิ่นๆคงน่าเสียดาย ถ้าบริษัทต้องมาปิดตัวตามผู้ก่อตั้ง คือคุณพ่อของหนู โดยที่เรามัวแต่ชะล่าใจ”
“คุณลุงคิดว่า การระดมทุน ปล่อยให้ค่อยนอกเข้ามาถือหุ้น จะเป็นทางออกที่ดีอย่างนั้นหรือคะ?”
“เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ เวลานี้ ... ผู้ถือหุ้นจริงๆก็มีเพียงลุงกับครอบครัวของหนูเท่านั้น หากจะมีนายทุนเงินหนาหน่อย เข้ามาอีกสักรายสองราย ก็ไม่น่าจะมีปัญหา มีแต่จะช่วยแก้ปัญหา ... ลุงเองมีหุ้นอยู่ยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถือเป็นส่วนน้อย แค่หนึ่งในสี่ ลุงจึงเห็นว่า น่าขายหุ้นส่วนที่เป็นชื่อคุณพ่อของหนู ที่มีอยู่สามสิบเปอร์เซ็นต์ เหลือไว้แต่ส่วนของหนูกับคุณแม่ของหนูสี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ก็น่าจะเพียงพอ ยังไงก็ยังเป็นหุ้นส่วนใหญ่”
“หนู... คงต้องขอเวลาคิดก่อน หนูบอกคุณลุงตามตรง เวลานี้หนูยังคิดอะไรไม่ออก”
“ลุงเข้าใจ... ลุงเข้าใจ ที่รีบพูดขึ้นมา ก็เพื่อจะให้หนูได้มีเวลาคิดและตัดสินใจ อย่างว่าแหละนะ ทั้งหนูทั้งคุณแม่ของหนู ดูจะไม่มีใครรู้เรื่องธุรกิจ หนูเองมีความรู้ก็จำกัดอยู่แค่กลไกการผลิตสินค้าว่ามีขั้นตอนยังไง รายละเอียดด้านวิจัยคิดค้น ก็คงยังไม่เชี่ยวชาญ คุณพ่อของหนู เขาเก่งเรื่องคิดค้นต่างๆ ข้อนี้ต้องยอมรับ ขาดเขาซะคนก็เหมือนบริษัทขาดกลไกสำคัญ นี่ลุงก็คงต้องเริ่มมองๆ หาคนที่จะมาคุมงาน ดูแลในส่วนที่พ่อของหนูเคยทำ เราสูญเสีย เราเศร้าโศก แต่ชีวิตเราก็ต้องก้าวต่อไป หนูจำคำของลุงไว้นะ”
เชี่ยวศักดิ์ขอตัวกลับหลังจากนั้นอีกไม่นาน
พจีจำเรียงยังนั่งนิ่ง ตามองตรงไปที่ผนัง
ในม่านตาของหล่อน คือภาพบิดาอันเป็นที่รัก
พ่อของหล่อนเป็นผู้ชายน่ารัก รูปร่างสันทัด หน้าตาดี และเป็นสามีที่ดี พอๆ กับเป็นพ่อที่ดี แม้บางครั้ง งานในห้องทดลองจะเอาเวลาของเขาไปจากภรรยา และลูกสาว แต่เขาก็ไม่เคยละเลยแม่ลูก ที่เป็นคนสำคัญยิ่งในชีวิตของเขา
“เมื่อพ่อเจอแม่ของหนูครั้งแรก มันเหมือนกับว่า... แสงอรุณรุ่งโผล่ขึ้นที่ขอบฟ้าอีกครั้งของวัน แม่ของหนูสดชื่น แจ่มใส มีชีวิตชีวาไม่มีอะไรเปรียบ เมื่อเขาก้าวเข้ามาในชีวิตของพ่อ เขาก็พาความสดชื่นแจ่มใสนั้นมาด้วย ปกติชีวิตของพ่อ ไม่ค่อยเห็นเดือนเห็นตะวัน อยู่แต่ห้องสี่เหลี่ยม ผนังเต็มไปด้วยชั้นวางขวดแก้วบรรจุสารเคมีชนิดต่างๆ แม่ของหนูช่วยดึงพ่อออกมาสู่โลกกว้าง ที่พ่อไม่ได้พบเจอเสียนานแล้ว ... พ่อพูดได้เต็มปาก แม่ของหนู ช่วยเติมเต็มชีวิตพ่อที่ยังขาดหายให้สมบูรณ์”
เป็นคำพูดที่พ่อ เคยพูดถึงแม่ของหล่อนเอาไว้ และเป็นความประทับใจที่พจีจำเรียงไม่เคยลืม จนกลายเป็นความจำฝังใจ ในความรักที่พ่อมีต่อแม่ ขณะที่แม่เองก็แอบกระซิบกับลูกสาว อย่างตั้งใจให้พ่อได้ยิน...
“พ่อของหนู เขาเคยว่าแม่เหมือนนกหงส์หยก”
พ่อหัวเราะชอบใจ ยอมรับอย่างหน้าชื่น
“จริงๆ นี่จ๊ะ ก็แม่ช่างแต่งตัว รักสวยรักงาม และสะอาดเอี่ยมอ่องแต่เส้นผมจรดปลายเล็บเท้า ตัวหอมกรุ่นท้าง—วัน! ขณะที่พ่อไม่เอาไหนเลย แต่งตัวไม่เคยตามแฟชั่นสมัยนิยม ผมเผ้าไม่สนใจจะหวีให้เรียบร้อย ดีนะว่า พ่อไม่ถึงกับปล่อยหัวหูเป็นกระเซิง อีกทั้งไม่มีท่าทางป้ำๆ เป๋อๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น แม่คงเห็นพ่อเป็นพวกนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ที่แม่ไม่คิดจะเข้าใกล้ ทีนี้หนูคงไม่ได้มาเกิดเป็นลูกพ่อกับแม่”
“อุ๊ย! พ่อก็พูดเกินไป!”
แม่ของหล่อนค้อนพ่อ สีหน้ายิ้ม แววตาเป็นประกายระยับด้วยความสุข ... ภาพเช่นนี้ ชินตาพจีจำเรียง
“พจีอย่าไปฟังนะ ลูก”
แม่หันมาพูดกับหล่อน ที่นั่งอมยิ้ม ฟังพ่อแม่หยอกล้อกัน
“แม่จำได้ว่า ครั้งแรกที่ได้พบพ่อของหนู เขาแต่งตัวเนี๊ยบเป็นนักธุรกิจหนุ่มเต็มตัวเชียวล่ะ เราเจอกันที่งานเลี้ยงรับรองทูตพาณิชย์ แม่จำได้ไม่เคยลืมว่า เมื่อแม่เห็นพ่อ...”
“นับแต่วินาทีนั้น...” พ่อต่อให้ และถามเสียงหวานปิดท้าย“ก็ไม่ใครอีกเลยสำหรับเรา แม่จะพูดอย่างนั้นใช่มั้ยจ๊ะ?”
แม่หัวเราะคิกๆ ที่พ่อมักจะมองด้วยสายตาเอ็นดู และเปี่ยมไปด้วยความสนิทเสน่หา
“ใครบอก พ่อจ๊ะ? แม่จะบอกลูกแค่ว่า... ทำให้แม่แทบจะลืมหายใจไปเท่านั้นเอง ต่างหากล่ะ”
“หลังจากแทบจะลืมหายใจ หัวใจก็เต้นแรงขึ้น พ่อพูดถูกหรือเปล่าเอ่ย?”
“ถูกก็ได้” แม่ทำเสียงยอมรับ เนียนแก้มชักจะเป็นชมพู เมื่อสบสายตาหวานๆ ของพ่อที่ส่งมาให้
“ต่างกับพ่อ” พ่อพูดต่อ
“แปลว่าพ่อไม่รู้สึกอะไรเลย อย่างนั้นหรือจ๊ะ” แม่ทำเสียงหยอกเอิน
“ใครว่า... พ่อซิ อาการหนักกว่าแม่ตั้งมากๆ เพราะทันทีที่สบตาแม่ที่มองมายังพ่อ พ่อก็รู้สึกเหมือนกับว่าถูกสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อม แทบจะกลายเป็น ดอกเตอร์เป๋อ นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องไปจริงๆ”
นั่นเพียงแค่เสี้ยวส่วน ที่พจีจำเรียงซึมซับในความรัก ความผูกพันที่ไม่เคยจืดจาง ระหว่างพ่อกับแม่
หล่อนเป็นแค่ลูก มาทีหลัง ยังรู้สึกเหมือนชีวิตส่วนหนึ่ง ได้แหลกสลายลงไป เมื่อรู้ข่าวการจากไปของคนเป็นพ่อ
แต่แม่... แม่ที่รู้จัก และรักพ่อมาก่อน มีความผูกพันแนบแน่นมานานกว่าหล่อน ความรู้สึกจะเป็นฉันใด?
คงเหมือนโลกส่วนตัวแตกดับไปพร้อมดวงตะวันที่ลับขอบฟ้า ต่างกันแต่เพียงว่า เมื่อวันใหม่มาเยือน ดวงตะวันจะสาดแสงอีกครั้ง ขณะที่ดวงประทีปแห่งชีวิตของแม่ ที่จะนำแม่ให้พบกับความสุข ความร่าเริง เช่นที่เคยมีมา จะไม่มีวันหวนคืนมาสู่แม่อีกแล้ว
ไม่!
ไม่หรอก... พ่อของหล่อนยังอยู่ ... พ่อของหล่อนยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง!
จู่ๆ ความรู้สึกนี้วูบเข้ามากลางใจ
บางที... อาจจะเป็นสัญชาตญาณความผูกพันระหว่างพ่อลูก ที่สืบสายเลือดเดียวกัน มีความสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่งก็ว่าได้
