บทย่อ
"เมื่อโลกของเขาคือควันปืน...แต่หัวใจของเธอคือเปลวไฟ หนึ่งหมั้นหมายเปลี่ยนชะตา สองชีวิตกลางเพลิงแค้นจะลงเอยที่รักหรือเลือด..." เธอหนีเพื่อจะมีชีวิตที่เลือกเอง แต่เขากลับเป็นคนเดียวที่ยืนหยัดปกป้องเธอในวันที่มืดมนที่สุด" รักที่เริ่มจากการหลบหนี สู่การยอมอยู่เคียงข้างกันด้วยหัวใจทั้งหมด" "เขาไม่ใช่แค่ลูกเจ้าพ่อ...แต่เป็นชายคนเดียวที่เสี่ยงชีวิตเพื่อเธอ" กลางเสียงปืนและไฟแค้น หัวใจของเธอกลับเงียบสงบ เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขา
1
เสียงเพลงคลาสสิกบรรเลงแผ่วเบาภายในคฤหาสน์หรูใจกลางกรุงเทพมหานคร ค่ำคืนนี้แสงไฟระยิบระยับจากโคมระย้าขนาดใหญ่ฉายความงดงามเหนือกาลเวลาให้กับห้องโถงที่ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง แขกเหรื่อในชุดราตรีและทักซิโด้เดินเฉิดฉายส่งยิ้มทักทายกันอย่างคุ้นเคย
ท่ามกลางงานเลี้ยงประกาศหมั้นที่ถูกเตรียมการไว้อย่างสมบูรณ์แบบ หญิงสาวในชุดราตรีสีมุกถือแชมเปญยืนอยู่ใต้แสงไฟอย่างสง่างาม ใบหน้าเรียวสวยเฉียบ คิ้วได้รูป ดวงตากลมโตฉายแววดื้อรั้นจาง ๆ ริมฝีปากแดงจัดขบเม้มเบา ๆ อย่างพยายามเก็บความรู้สึกไว้ภายใน
ธารา ลูกสาวคนเดียวของเจ้าสัวทรงยศ เจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการค้าอสังหาริมทรัพย์และเครือข่ายธุรกิจมืดในกรุงเทพฯ
เธอไม่อยากอยู่ตรงนี้เลยสักนิด
เธอไม่ได้เกลียดงานเลี้ยงหรูหรา ไม่ได้กลัวคำว่า "เจ้าสาว" แต่เธอเกลียดความรู้สึกที่ต้องตกเป็นหมากของคนอื่นในเกมที่ตัวเองไม่ได้เลือกเล่นต่างหาก
เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อเจ้าสัวทรงยศก้าวขึ้นเวที มือหนาของเขากุมไมโครโฟนอย่างมั่นคง ใบหน้าคมเข้มปรากฏรอยยิ้มทรงอำนาจขณะกล่าวเปิดงาน
"ขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกับครอบครัวของเราในวันนี้"
ธาราก้มหน้านิ่ง ขณะเสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวขึ้นเวทีด้วยท่าทีสุขุมและสง่างามไม่แพ้กัน
คีรินทร์ ลูกชายของเสี่ยวรา เจ้าพ่อฝ่ายเหนือ หนึ่งเป็นพันธมิตรผู้แข็งแกร่งของตระกูลเธอ
เขาสวมสูทสีดำสนิท ผิวขาวจัดตัดกับชุดดูดีมีระดับ ดวงตาคมลึกดุจดั่งพญาเหยี่ยวจ้องมองไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ เขาไม่ยิ้ม ใบหน้านิ่งเฉยติดจะเย็นชาเสียด้วยซ้ำ แต่ทว่าท่าทีนั้นกลับทำให้ทุกคนมองอย่างไม่อาจละสายตา
“หล่อชะมัด” ธาราคิดในใจแวบหนึ่งแล้วก็รีบสลัดออกไปจากหัว
บิดาของเธอไม่ได้ถามว่าเธอสำคำว่ารักเขาไหม ไม่ถามด้วยซ้ำว่าเธอเต็มใจหรือเปล่า มีเพียงข้อเสนอทางธุรกิจที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "การแต่งงานเพื่อความมั่นคงของสองตระกูล"
ธารารู้สึกหงุดหงิดเป็นที่สุดที่ตัวเธอเป็นแค่ผลประโยชน์ระหว่างครอบครัว
หลังพิธีประกาศหมั้นผ่านพ้น แขกเริ่มทยอยล้อมวงพูดคุยและดื่มด่ำกับค็อกเทลหลากสี ธาราแอบเบือนหน้าหนีเพราะเบื่อหน่าย เธอออกมายืนรับลมอยู่ตรงระเบียงยาวของคฤหาสน์
“หนีอีกแล้ว” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นทางด้านหลัง เธอหันขวับไปมอง พบดวงตาคมของคีรินทร์จ้องมองเธออยู่
“ฉันไม่ได้หนี แค่เบื่อ” เธอทำหน้าว่าเบื่อจริง ๆ
“งั้นก็พูดตามตรงว่าคุณไม่อยากหมั้นกับผม”
ธาราสบตาเขานิ่ง ก่อนที่จะพูดบ้าง
“คุณเองก็ไม่ได้อยากหมั้นและแต่งงานกับฉันใช่ไหมล่ะ”
“รู้ได้ยังไง”
“เดาเอา”
“ผมรู้จักคุณมากกว่าที่คุณคิดเสียอีก” คำพูดนั้นทำให้เธอชะงัก ก่อนจะเบือนหน้าหนีอีกครั้ง เธอไม่อยากถามว่าเขาหมายถึงอะไร เพราะไม่ว่าเขาจะตอบอะไร มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าเธอรู้สึกไม่โอเคกับสถานการณ์ในครั้งนี้
คืนนี้หลังงานเลี้ยงจบ ธาราเดินกลับขึ้นห้องแล้วปิดประตูเบา ๆ ด้วยหัวใจหนักอึ้ง เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูแผนที่ และค้นหาสถานที่ที่เธอคิดไว้นานแล้ว
สถานที่ท่องเที่ยวที่เล็งเอาไว้คืออำเภอเล็ก ๆ ที่อาจให้อิสระกับหัวใจได้บ้าง
เธอแพ็กกระเป๋าแบบลวก ๆ ก่อนทิ้งร่างลงบนเตียง พรุ่งนี้เช้าเธอจะหนีไปที่นั่นคนเดียว ไม่มีบอดี้การ์ด ไม่มีพ่อ ไม่มีผู้ชายที่ชื่อคีรินทร์
เธออยากออกจากกรงนี้เต็มที ทุกอย่างถูกวางเอาไว้ในกรอบ และบิดาก็คือคนที่รักเธอที่สุด แต่ก็จำกัดทุกอย่างจนเธอแทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ เธอรู้ว่าท่านเป็นห่วง แต่เธอก็อยากมีชีวิตอิสระเป็นของตัวเองบ้าง
เธอหลับไปพร้อมกับความตั้งใจแน่วแน่ พรุ่งนี้หนีไปพักใจสักนิด ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น โดยเฉพาะความรู้สึกของเธอ
ซึ่งเธอไม่รู้เลยว่าโลกข้างนอกนั้นไม่ได้มีแค่ลมหนาวกับหมอกจาง แต่มันยังซุกซ่อนเงามืด ที่อันตรายยิ่งกว่าทุกอย่างที่เธอเคยเผชิญ
แสงแดดยามเช้าส่องลอดม่านลงมาอย่างอ่อนโยน ธาราตื่นแต่เช้า รีบอำลาคฤหาสน์โดยทิ้งโน้ตเพียงไม่กี่บรรทัดไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง บอกว่าเธอจะไปพักผ่อน ไม่ต้องตาม ไม่มีบอดี้การ์ด ไม่มีใครเลย เพราะเธอตั้งใจว่าจะไปเพียงลำพัง
เธอเดินทางโดยเครื่องบินไปยังเชียงใหม่ แล้วต่อรถตู้สู่อำเภอเล็ก ๆ ที่งดงามและอากาศดี เมืองเล็กกลางหุบเขาที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เธอเลือกรีสอร์ตเล็ก ๆ ริมลำธารเพื่อหลีกหนีความวุ่นวายจากโลกภายนอก
อากาศเย็นจัดในยามค่ำคืน เสียงน้ำไหลกระทบโขดหินกล่อมเธอให้หลับตาพริ้ม รู้สึกสบายจัง อยากมาเที่ยวแบบนี้นานแล้ว แต่น่าแปลกที่เธอสามารถเดินทางมาที่นี่ได้โดยไม่มีคนของบิดาตามมาด้วย ปกติเธอออกจากบ้านก็โดนประกบแล้ว หรือบิดาเบื่อที่จะให้คนคอยตามดูแลเธอเพราะเห็นว่าเธอโตแล้วกันนะ
หญิงสาวยิ้มอย่างมีความสุข ทว่าความสงบสุขนั้นอยู่ได้ไม่นาน
คืนวันที่สาม ขณะที่ธารานั่งเขียนไดอารี่ที่ระเบียงไม้ ลมหนาวที่ทำให้บรรยากาศรอบกายสดชื่น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากในพุ่มไม้ เธอลุกขึ้นทันที ก้าวถอยหลังช้า ๆ ด้วยสัญชาตญาณ ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงไปด้วยมือหนาของใครบางคนที่เอาผ้ามาอุดปากและจมูกของเธอเอาไว้จากทางด้านหลัง
เธอฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองในเพิงไม้เก่าโทรมขนาดเล็ก กลิ่นอับชื้นและควันไฟคละคลุ้ง เธอถูกมัดมือไว้แน่น มีชายสวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้าสองคนยืนเฝ้าอยู่ที่มุมห้อง
“ปล่อยฉันนะ พวกแกเป็นใคร”
“ไม่ต้องรู้หรอกว่าพวกเราเป็นใคร” หนึ่งในนั้นแค่นเสียงหัวเราะเย็นยะเยือก
เวลาผ่านไปช้า ๆ ความหวาดกลัวแล่นเข้าเกาะกินทุกอณูเนื้อ ธาราเริ่มเข้าใจแล้วว่าโลกที่เธอคิดว่าโหดร้าย จริง ๆ แล้วมันโหดร้ายกว่านั้นหลายเท่า
คืนเดียวกันนั้นเอง คีรินทร์เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวไปถึงเชียงใหม่ในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง พร้อมลูกน้องคู่ใจอีกสองคน จากนั้นพวกเขาก็ขับรถสู่จุดหมายโดยไม่พัก การที่คู่หมั้นของเขาออกจากบ้าน ไม่ได้เป็นความลับ และมีคนคอยส่งข่าวให้ตลอด เขาจึงทราบที่อยู่ของเธอได้ไม่ยากว่าเธอเดินทางไปที่ไหน

