ตอนที่ 2 เจ้าของเส้นผมแสนหอม
ตอนที่ 2 เจ้าของเส้นผมแสนหอม
หลังจากที่ทุกคนตามหาโยธกาทั้งคืนแต่ไม่เจอ เช้านี้ก็วางแผนไว้ว่าจะไปแจ้งความตามหาคนหาย แต่พอออกจากห้องก็เจอโยธกายืนอยู่
“ยัยโย! หายไปไหนมาทั้งคืน พวกเราเป็นห่วงเธอมากรู้มั้ย” อินทุอรเป็นคนเปิดประตูเจอเพื่อนคนแรก
“โย... เธอไม่เป็นอะไรใช่มั้ย พวกเราใจคอไม่ดีเลย” นาดาจับมือเพื่อนกวาดตามองหาร่องรอยบาดแผลที่อาจจะมีขึ้นบนเนื้อตัวของโยธกา แต่ก็ไม่เห็นอะไร
“โยทำไมไม่พูด หายไปไหนมา นี่พวกเรากำลังจะไปแจ้งความให้ตำรวจช่วยตามหาเธอเลยนะ” ณหทัยรู้สึกแปลกๆ เมื่อเพื่อนไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรทั้งนั้น
“ฉันกลับมาแล้ว ไม่เป็นไรแล้วล่ะ” โยธกาตอบแล้วแทรกตัวเข้าไปในห้องพัก ตอนที่เธอเดินผ่านหน้าไป ทุกคนได้กลิ่นเหล้าฟุ้งออกมาจากร่างสูงโปร่ง
“เธอกินเหล้าหรือโย หืม... กลิ่นละมุดฟุ้งเชียว นี่ไปกินเหล้ากับใครมาทั้งคืน ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเธอกินเหล้าด้วย” ณหทัยขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางโยธกาแปลกๆ หรือจะเป็นอาการคนเมาค้าง แล้วเพื่อนเธอไปเมาอยู่ที่ไหนถึงไม่กลับห้อง
“ฉันกินเหล้าเป็น พวกเธอไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ ยังไงฉันก็กลับมาแล้วนี่ ตอนนี้อยากอาบน้ำนอนเต็มที จะเป็นอะไรมั้ยถ้าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักวัน ฉันคงขึ้นรถกลับไม่ไหวแล้วล่ะ”
นาดาส่ายหน้า ไม่มีใครรู้สาเหตุในเมื่อโยธกาไม่ยอมเปิดปาก และเธอก็เป็นคนสรุปว่าต้องค้างที่นี่ต่ออีกคืนแล้วค่อยขึ้นรถทัวร์พรุ่งนี้
“ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าห้องนะ เดี๋ยวน้ำค้างจะออกเอง ยังไงถ้าโยไม่ไหวเราก็คงกลับไม่ได้ รอให้โยฟื้นก่อนดีกว่า” เธอปรายตามองเพื่อนที่คว้าผ้าขนหนูหายเข้าห้องน้ำไปเงียบๆ
“ยัยโยมันไปไหนมา ปกติมันจะบอกก่อนนะถ้าจะไปไหนหรือเจอใคร นี่มันหายไปเฉยๆ” อินทุอรกอดอกมองประตูห้องน้ำ ได้ยินเสียงน้ำไหลสาดเรือนร่างของคนในนั้นเป็นระยะ
“นั่นสิ ยัยนี่กำลังมีความลับนะเนี่ย หรือมันจะไปหาฝรั่งคั่วเล่น” ณหทัยพูดกลั้วหัวเราะขำๆ ไม่คิดว่าความคิดของเธอจะเป็นจริงไปได้
“จะเพราะอะไร ถ้าโยไม่อยากเล่าก็ปล่อยเค้าไปเถอะ บางอย่างก็เป็นเรื่องส่วนตัว เราอย่าละลาบละล้วงไปหน่อยเลย ถึงโยจะเป็นเพื่อนรักเพื่อนซี้ก็ใช่ว่าจะทุกเรื่องที่เพื่อนอย่างเราต้องรู้นะ”
ทุกคนเห็นด้วยกับนาดาแม้จะเคลือบแคลงระแวงสงสัยอยู่มาก ทว่าเรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัวอย่างที่นาดาบอก ดังนั้นทุกคนจึงรอให้โยธกาออกจากห้องน้ำแล้วหลับปุ๋ยจึงลงไปชำระเงินค่าห้องเพิ่มอีกคืน
บ้านพจนะนนทกิจ ภายในห้องนอนสีชมพูหวานแหววของบ้านหลังใหญ่ นาดากำลังก้มหน้าดูสร้อยทองเส้นเล็กพลันสงสัยว่าผู้ชายถ้าชอบใส่สร้อยทองก็มักจะใส่เส้นใหญ่ๆ หรือไม่ก็แบบเลสเส้นแบนๆ แต่นี่เจ้าของสร้อยตัวสูงใหญ่กลับใส่สร้อยคอลายโซ่เส้นเล็ก จะว่าไปความยาวของสร้อยก็ไม่น้อย ถ้าเขาจะใส่ติดคอง่ายๆ ก็คงไม่เป็นไร สายตากลมโตมองจี้รูปหัวใจ ถ้าไม่ใช่เพศที่สามสร้อยเส้นนี้เจ้าของคงจะได้มาจากแฟนสาว เห็นทีเธอคงต้องรีบนำสร้อยเส้นนี้ไปคืนเขาเพราะหากแฟนสาวไม่เห็นเขาใส่สร้อยเหมือนเคยอาจจะมีปัญหากันได้
“น้ำค้าง... น้ำค้างเปิดประตูให้พ่อหน่อยสิลูก”
นาดาลุกขึ้นเก็บสร้อยคอเข้าที่แล้วเดินไปเปิดประตูให้บิดา คุณภูวดล พจนะนนทกิจ ทอดสายตาอบอุ่นให้บุตรสาวก่อนจะวางมือบนศีรษะยอดดวงใจพ่อ ไม่มีอะไรจะเทียบความรักที่เขามีต่อบุตรสาวเพียงคนเดียว ดวงตาคมอ่อนแสงทอดเอื่อยยามสบนัยน์ตาคู่สวยที่ถอดแบบภรรยาสุดที่รักราวกับพิมพ์เดียวกัน รอยยิ้มอ่อนโยนจนกระจ่างบนใบหน้าเข้มที่แม้จะมีวัยล่วงเลย 58 ปีแล้ว แต่คุณภูวดลก็ยังดูหล่อภูมิฐานไม่ต่างจากชายวัย 40 กว่า
“พ่อเห็นไฟยังเปิดก็เลยเข้ามาดู หนูกำลังทำอะไรอยู่เหรอ สี่ทุ่มแล้วทำไมยังไม่นอน”
“น้ำค้างเพิ่งจะดูซีรี่ย์เกาหลีจบเองค่ะคุณพ่อ ว่าจะนอนแล้วเหมือนกัน”
“ไปเที่ยวเพิ่งกลับมา พ่อนึกว่าหนูจะเหนื่อยจนหลับง่ายเพราะเพลียจัด ที่แท้ก็ยังมีแรงดูซีรี่ย์เกาหลีนี่เอง”
“น้ำค้างติดนี่คะ แต่ดูจบแล้วก็ไม่มีอะไรทำแล้วเหมือนกันค่ะคุณพ่อ ให้น้ำค้างไปช่วยงานคุณพ่อที่ออฟฟิศนะคะ”
ปกติบิดามักจะเอ่ยชวนเธอให้ไปทำงานด้วยกัน แต่วันนี้สีหน้าของคุณภูวดลเปลี่ยนไปมีริ้วรอยความครุ่นคิดคล้ายจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง
“พ่อว่าอย่าเพิ่งไปทำเลยลูก งานพ่อช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรที่หนูพอจะช่วยได้ ถ้าน้ำค้างอยากไปเที่ยวที่ไหนต่อก็ไปได้นะลูก”
เมื่อบิดาพูดอย่างนั้นนาดาก็นึกถึงสร้อยทองเส้นเล็กของวินพวินขึ้นมา ถ้าตอนนี้เธอยังไม่ได้ทำงาน เธอก็ว่างพอจะเอาสร้อยไปคืนเขา
“ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าคุณพ่อมีอะไรให้น้ำค้างช่วยก็บอกนะคะ น้ำค้างไม่อยู่นั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ ค่ะ”
“ถ้าพ่อมีงานเอกสารค้าง พ่อจะเอากลับมาให้น้ำค้างช่วยนะลูก”
“ค่ะคุณพ่อ”
“ถ้างั้นพ่อไปนอนก่อน ลูกก็อย่านอนดึกมากนะน้ำค้าง” ท่านเตือนด้วยความหวังดี ลูบเรือนผมสลวยของบุตรสาวอย่างรักใคร่ พลางนึกถึงภรรยาสุดที่รักซึ่งจากไป ถ้ามิรินยังอยู่ก็ดีเพราะเรื่องบางเรื่องไม่สมควรจะพูดให้ลูกฟัง ถ้าภรรยายังอยู่เธอจะเป็นกำลังใจให้เขาหาทางแก้ได้ดีที่สุด
ลับหลังบิดา นาดาก็หยิบสร้อยคอออกมาจากลิ้นชักพร้อมทั้งนามบัตรแจ้งที่อยู่ชัดเจน พรุ่งนี้เธอจะเอาสร้อยเส้นนี้ไปคืนเขา... วินพวิน อัลริโอร็อคซี่
“กริ๊งๆ” เสียงโทรศัพท์มือถือดังกังวานเรียกให้คุณภูวดลต้องวางปากกาลงบนแฟ้มแล้วกดรับสาย แม้จะต้องถอนใจเมื่อเห็นชื่อคนโทร.เข้า
“สวัสดีครับพี่ชัญญา”
“สวัสดีค่ะคุณภู พี่ขอโทษที่โทร.มารบกวนค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“พี่อยากทราบว่าคุณภูตกลงใจหรือยังคะ เรื่องเด็กๆ”
ได้ยินคำถามคุณภูวดลก็กลืนน้ำลายยากลำบาก การบังคับจิตใจนาดาให้ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จัก คงไม่มีพ่อที่ไหนอยากทำอย่างนั้น หากแต่ข้อเสนอของคุณชัญญาและคุณร็อบก็ทำให้คนเป็นพ่อที่ต้องพยุงฐานะของบริษัทให้ได้นานที่สุดถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ลูกก็รักแต่หลายชีวิตของพนักงานในกำมือก็สำคัญไม่น้อย เขาไม่อยากให้บริษัทที่สร้างขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรงต้องพังครืน ไม่อยากลอยแพพนักงานหลายร้อยชีวิต แต่ยังไม่มีทางออกใดส่องแสงสว่างให้เห็น นอกจากปลายสายที่โทร.หาสม่ำเสมอ พูดคุยเรื่องลูกๆ ให้ฟังแล้วทางโน้นเกิดติดใจเพียงแค่เห็นรูปถ่ายอยากได้ไปเป็นลูกสะใภ้
ถ้าคุณภูวดลยังยิ่งใหญ่เช่นเดิม เขาจะปฏิเสธทันทีอย่างละมุนละม่อมเพราะถึงยังไงก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน แต่ในเมื่อคุณร็อบและคุณชัญญาสองสามีภรรยารู้ตื้นลึกหนาบางในแวดวงธุรกิจ รวมถึงรู้ความเป็นไปภายในบริษัท มิรินนาดา อิมปอร์ต-เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด ค่อนข้างดีไม่น้อย ย่อมจะจับจุดอ่อนและพร้อมจะยื่นข้อเสนอดีๆ ให้เสมอ
“ผมยังไม่ได้คุยกับลูกเลยครับพี่ชัญญา”
“พี่ไม่อยากรอแล้วนะคะคุณภู ตาวินสมควรจะมีใครสักคนปราบเขาเสียที ในเมื่อพ่อกับแม่อย่างเราๆ ปราบเขาไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของภรรยาที่ต้องทำแทน”
“ได้ยินพี่ชัญญาพูดแบบนี้ ผมชักสงสารลูก ถ้าวินเซนโซ่ไม่ได้รักได้ชอบน้ำค้างเลยเกรงว่าจะเกิดปัญหาตามมา คนที่จะเสียก็มีแต่น้ำค้างเท่านั้นนะครับ”
“ตาวินไม่มีประวัติทำร้ายผู้หญิงหรอกนะคะคุณภู และพี่ก็เชื่อว่าหนูน้ำค้างต้องปราบเจ้าวินได้อยู่หมัด”
“ขอผมไปคุยกับน้ำค้างก่อนนะครับ”
“พี่พร้อมจะช่วยคุณภูทุกเรื่องที่กำลังเดือดร้อนในตอนนี้นะคะ เมื่อเราดองกันแล้วบริษัทส่งออกและนำเข้าของคุณภูจะยืนหยัดได้ดังเดิมพี่สัญญาด้วยเกียรติ”
“เอ่อ... คือ” ลองมาแบบนี้คุณภูวดลก็อึดอัดจนพูดไม่ออกเหมือนกัน เพราะนั่นก็คือสิ่งที่เขาต้องการอย่างที่สุด พอๆ กับต้องการให้นาดามีความสุข
“ให้เด็กๆ หมั้นกันไว้ก่อนก็ได้ค่ะ” คุณชัญญาพูดออกไปเพราะตอนนี้เธอรู้แล้วว่าบุตรชายหายตัวไปอยู่ไหน ที่แท้วินเซนโซ่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล เขาไปดูงานที่สาขาในประเทศไทยนั่นเอง มดเข้าไปใกล้น้ำตาลมากพอสมควรถึงเวลาที่มดจะเห็นน้ำตาลก้อนนี้เสียที
“จะหมั้นอย่างไรครับพี่ เด็กๆ ยังไม่เคยเจอกัน”
“ตาวินลูกชายตัวดีของพี่อยู่ที่ไทยนะคะคุณภู เดี๋ยวพี่จะให้ตาวินไปหาคุณ”
“จะเอาอย่างนั้นเหรอครับพี่ชัญญา คุณร็อบว่าอย่างไรบ้างครับ”
“สามีพี่อยากให้ลูกแต่งงานมากค่ะ ยิ่งกับหนูน้ำค้างยิ่งไม่จำเป็นต้องถามความเห็น เพราะคุณร็อบพูดเสมอว่าหนูน้ำค้างหน้าตาน่ารัก ถ้ามีโอกาสอยากเห็นตัวจริง”
“ครับ ถ้างั้นก็เอาตามที่พี่ชัญญาว่าแล้วกันครับ ทางผม... ส่วนตัวผมยินดีที่จะได้ดองกันแต่น้ำค้างจะว่ายังไงคงต้องรอดูอีกทีนะครับ”
“บอกก่อนว่าพี่จะไม่ยอมให้คุณภูปฏิเสธนะคะ ไม่ได้อยากทำให้คุณภูกังวลใจแต่เราแค่เห็นหน้าหนูน้ำค้างจากรูปถ่าย เราก็รู้สึกรักและถูกชะตากับแกมาก พูดตามตรงนะคะคุณภู พี่ก็มองไม่เห็นใครเหมาะสมที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ของเรามากกว่าหนูน้ำค้างอีกแล้วค่ะ เอาเป็นว่าพี่ไม่อยากใจร้ายบังคับฝืนใจคุณนะคะ ให้เวลาคุณคิดพี่ขอคำตอบตอนที่ตาวินเจอหนูน้ำค้างเพราะพี่เชื่อว่าตาวินต้องไม่ปฏิเสธแน่นอน แค่นี้นะคะ พี่ไม่รบกวนคุณแล้ว สวัสดีค่ะ”
“ครับ สวัสดีครับ”
หลังวางสายคุณภูวดลต้องคลึงหัวคิ้วไปมา เขาคงจะต้องบอกเรื่องฐานะทางการเงินให้นาดารู้เสียแล้ว หากจะขอให้ลูกแต่งงานกับวินเซนโซ่ก่อนแล้วค่อยบอก ก็เกรงว่าจะทำให้นาดาต้องเสียใจที่ถูกบังคับ ถ้านาดารู้เรื่องก่อนลูกคงจะเข้าใจสาเหตุที่พ่อคนนี้จำเป็นต้องทำ
“มิริน ผมอยากให้คุณช่วยดลจิตดลใจลูกให้รักให้ชอบวินเซนโซ่ทันทีที่เห็นหน้าด้วยเถอะ ผมไม่อยากบังคับฝืนใจลูกเลย” คุณภูวดลเชื่อว่าภรรยาผู้จากลาจะต้องรับรู้ถึงคำอ้อนวอนของเขาและช่วยดลใจให้นาดากับวินเซนโซ่เป็นรักแรกพบ สายลมที่ไหววูบเข้ามาจนแผ่นกระดาษบนโต๊ะกระพือขึ้นทั้งที่ไม่ได้เปิดหน้าต่าง น่าจะยืนยันได้ว่าภรรยาผู้ล่วงลับรับรู้คำอ้อนวอนของเขาและพร้อมจะเป็นกามเทพช่วยเหลือ
ภายในห้องทำงานบนชั้นสูงสุดของตึกสูง 29 ชั้น ของบริษัท เทลโมวิน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ ซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ และให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม วินเซนโซ่กำลังเปิดคอมพิวเตอร์ดูข้อมูลการดำเนินงานของแต่ละแผนก เขาจะมาควบคุมดูงานที่สาขานี้เพียงปีละ 2 ครั้ง บางปีบิดาก็เป็นคนมาดูแลเองแต่ไม่เคยมีปัญหาใดๆ ทุกอย่างยังดำเนินไปได้ด้วยดี เขาและบิดาตัดสินใจขยายฐานการผลิตส่งออกไปทั่วเอเชียโดยใช้ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางและจะกระจายไปทั่วทวีปเอเซีย แต่งานที่ประเทศไทยก็ไม่มีปัญหาเพราะได้คนดูแลดีไว้ใจได้และเต็มไปด้วยความสามารถอย่างโดมินิค ทริคแมนฟลอยด์ เป็นผู้ควบคุมงาน
“นายทำงานได้ดีเสมอต้นเสมอปลายนะนิค”
โดมินิคอายุ 37 ปี ยังไม่มีครอบครัว รู้จักและสนิทสนมกับวินเซนโซ่มานานเพราะเคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน ตอนนั้นโดมินิคขึ้นชื่อว่าเป็นหัวหน้าแก๊งมนุษย์น้ำแข็งสมญานามที่สาวๆ ตั้งให้ เรียนเก่งแต่ไม่ขยันอยากเรียนมักจะโดดเรียนเป็นประจำ มั่วสุมอยู่ในวงการรถแข่งผีผิดกฎหมาย แต่เพราะทางบ้านฐานะค่อนข้างดีจึงใช้เงินยัดใต้โต๊ะเพื่อให้ลูกชายคนเดียวของตระกูลได้ร่ำเรียนจนจบ ที่โดมินิคต้องมาเจอกับวินเซนโซ่เพราะทั้งคู่ต่างกันลิบลับ วินเซนโซ่เรียนเก่งตั้งใจเรียนควบคู่ไปกับความเจ้าชู้จึงทำให้เรียนเร็ว ส่วนโดมินิคเกเรโดดเรียนบ่อยจึงเลื่อนคลาสเรียนช้าและในที่สุดทั้งคู่ก็ได้มาเจอหน้ากัน
อายุห่างกัน 5 ปี ที่จริงแล้วโดมินิคต้องเรียนจบไปก่อนวินเซนโซ่จะเข้าเรียนด้วยซ้ำ ทว่าความแตกต่างก็เหมือนพรหมลิขิตที่ทำให้ทั้งคู่ต้องมาเจอกัน วันหนึ่งในขณะที่วินเซนโซ่เกือบจะถูกรุมทำร้ายเพราะเกี้ยวพาราสีสาวผิดตัว ไปเจอคนมีเจ้าของแล้วก็เกือบถูกเจ้าของรุมซ้อม โชคดีที่โดมินิคมาช่วยไว้ทำให้ 2 คนล้ม 3 คนได้ไม่ยาก หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนรักกันแม้โดมินิคจะเรียนช้าแต่ก็ยังเรียนอยู่ในคลาสปีที่สูงกว่าวินเซนโซ่ ฉะนั้นเมื่อโดมินิคเรียนจบก่อนวินเซนโซ่จึงให้บิดารับโดมินิคเข้าทำงาน เพราะเชื่อว่าโดมินิคหัวไวฉลาดหลักแหลมไม่ใช่คนเรียนไม่เก่ง แค่ไม่ตั้งใจเรียนเพราะสนุกกับการเที่ยวเล่นกับเพื่อนมากกว่า ที่สำคัญตั้งแต่โดมินิคเข้ามาทำงานเพื่อนรักคนนี้ก็ยังไม่ทำให้ต้องผิดหวัง
“แหงล่ะ คนเก่งก็อย่างนี้”
“ติ้ง!” เสียงแจ้งเตือนไลน์ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือในค่ายเทลโมวินรุ่นล่าสุด วินเซนโซ่หุบยิ้มแล้วกดเปิดอ่าน สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือรูปถ่ายของสาวน้อยใบหน้ารูปไข่สวยหวาน ผมของเธอยาวหยักศกสีน้ำตาลเข้ม แต่ในรูปมันสะท้อนกับแสงแดดทำให้ดูสว่างขึ้น เมื่อล้อมกรอบใบหน้าสวยหวานประดับด้วยดวงตากลมโต จมูกโด่งรั้นนิดๆ ริมฝีปากอิ่มเล็กจิ้มลิ้มน่ารัก ทุกอย่างที่ประกอบอยู่บนใบหน้าเธอช่างรับกันอย่างเหมาะเจาะ
“อะไรวะวิน” โดมินิคถามเพื่อนรักที่เป็นกึ่งเจ้านายอย่างอยากรู้
ชายหนุ่มรุ่นน้องกำลังตกตะลึงในความงดงามจึงไม่ได้ตอบ โดมินิคจึงเดินอ้อมโต๊ะทำงานตัวใหญ่ถือวิสาสะชะโงกหน้าดูโทรศัพท์ของวินเซนโซ่ แล้วมีอาการไม่ต่างกัน
“ใครวะวิน”
“คนที่คุณแม่อยากให้แต่งงานด้วย” ภายในใจของวินเซนโซ่ไม่เหลือข้อกังขาใดๆ ที่เคยมี จากเคยคิดว่าผู้หญิงที่มารดาหาให้ต้องไม่สวย ไม่มีใครเอา หรือถ้าสวยก็คงไม่ใช่สเปค ทว่าคนในรูปถ่ายที่มารดาส่งมาให้ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง นี่เลยผู้หญิงในสเปคของเขา
“น่ารักนี่หว่า ทำไมต้องอึ้ง ไม่เคยเห็นกันเหรอ”
“เพิ่งเห็นเธอครั้งแรก” วินเซนโซ่ตอบทั้งที่สายตายังไม่ละจากหน้าจอมือถือราคาแพงรุ่นล่าสุด
“สวยๆ แบบนี้ไม่เอาก็บอก” โดมินิคมองเจ้านายตัวเองอย่างรู้ใจ ถ้าไม่ชอบ ต่อให้แก้ผ้าเปลือยเปล่าตรงหน้าสองตาของวินเซนโซ่ก็ไม่เหลียวมอง นี่คงถูกกามเทพแผลงศรใส่เข้าแล้ว
“คุณพ่อคุณแม่อุตส่าห์หาให้ทั้งที ไม่เอาได้ไงวะ”
“อ้าวเหรอ เห็นแข็งข้อกับท่านตลอดนี่หว่า ไม่ชอบให้ใครบังคับจิตใจ อยากเลือกเองไม่ใช่หรือไง” คนตัวสูงใกล้เคียงกันยิ่งพูดเสียดแทงใจดำ วินเซนโซ่ตวัดสายตาคมกริบใส่ก่อนจะเห็นที่อยู่ของสาวเจ้าที่มารดาส่งมาให้
‘ว่างๆ ก็ไปทำความรู้จักกับน้องซะนะวิน น้องชื่อน้ำค้าง หวังว่าวินจะถูกใจน้องบ้าง’
ข้อความที่มารดาส่งต่อมาทำให้วินเซนโซ่ต้องหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะอารมณ์ดีตอบกลับไปบ้าง
‘คุณแม่สายตาแหลมคมมากครับ’
เงียบไปสักพักมารดาของเขาก็ส่งวิดีโอคอลข้ามทวีปมาเลย
“วินชอบน้องหรือเปล่าลูก”
โดมินิคหูผึ่งแต่แอบอมยิ้มเพราะแน่ใจว่ารู้คำตอบอยู่แล้ว แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้หยิบแฟ้มสีดำมาพลิกเปิดเล่นๆ แต่สายตาคมเฉียบของวินเซนโซ่ก็แอบเห็นใบหูของอีกฝ่ายกระดิกระริกเชียว
“ก็น่ารักดีนะครับคุณแม่”
“จริงหรือเปล่า แม่ดีใจจังที่วินชอบน้อง”
“แต่หน้าตาก็ใช่ว่าจะสำคัญสำหรับผมเพียงอย่างเดียวนี่ครับคุณแม่ อุปนิสัยใจคอเป็นอย่างไร ผมยังไม่เคยรู้”
“ก็เพราะอย่างนี้แม่ถึงอยากให้วินไปเจอน้อง จะได้เห็นตัวเป็นๆ”
“อ้อ... ผมเพิ่งรู้นะครับว่าเขาเป็นปลา ถึงต้องเลือกเอาที่ยังเป็นๆ สดๆ” ชายหนุ่มพูดจบก็หัวเราะจนตัวโยน สร้างความหมั่นไส้ให้โดมินิคจนต้องกระแทกสะโพกลงบนโซฟา
“ตาวินนี่ยังไง ไปว่าน้องเป็นปลาได้ นี่ถ้าเจอตัวจริงคงพูดไม่ออก”
“ผมคงอึ้งเพราะเด็กคนนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง ใช่มั้ยครับคุณแม่” เสียงหัวเราะยังดังต่อเนื่อง เรียกให้คนหูผึ่งตวัดตาคมผ่านแว่นสายตาแบรนด์ดังแล้วบิดริมฝีปากนิดๆ
“ตาวิน! แล้วแม่จะคอยดูว่าวินจะอึ้งเพราะอะไร อย่าลืมไปหาน้องและไปไหว้คุณอาภูวดลนะลูก คุณอากับคุณพ่อสนิทกัน”
“เหรอครับ ผมนึกว่าสนิทกับคุณแม่เสียอีก”
“ก็ทั้งคู่เลยล่ะลูก พ่อกับแม่รู้จักคุณอามานาน วินน่าจะเคยได้ยินชื่อคุณอาอยู่บ้างนี่ลูก แม่จำได้ว่าเคยชวนวินไปเยี่ยมคุณอาสมัยที่คุณอาผู้หญิงยังอยู่ แต่วินก็ไม่ยอมไปเสียที คราวนี้ยังไงก็ต้องไปไหว้คุณอาภูวดลให้ได้นะลูก เพราะหลังจากนี้ยังไงเราก็ต้องดองกันอยู่แล้ว”
“ดูเหมือนคุณแม่จะเชื่อมั่นว่าผมต้องตกหลุมรักเด็กคนนั้นนะครับ”
“แม่เชื่อมั่นมากต่างหากวิน และถึงวินจะไม่ชอบหนูน้ำค้าง วินก็ปฏิเสธแม่ไม่ได้แล้ว เพราะประมาณอาทิตย์หน้าพ่อกับแม่จะไปหมั้นหนูน้ำค้างให้วิน”
เรื่องที่เพิ่งรู้นี้ทำให้ทั้งวินเซนโซ่และโดมินิคถึงกับเบิกตากว้างแล้วหันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่โดมินิคจะกำมือแล้วยกขึ้นชิดริมฝีปากแล้วหัวเราะเสียงแผ่วให้เจ้านายตัวดีของเขาได้ยิน
“คุณแม่ครับ ผม...”
“แค่นี้นะวิน อย่าเพิ่งกลับมานะ รอกลับพร้อมกันเลยทีเดียว”
“คุณแม่ครับ เดี๋ยวสิครับคุณแม่” ไม่ทันแล้ว ภาพวิดีโอคอลของมารดาหายไปต่อหน้าต่อตา คราวนี้เสียงหัวเราะที่ดังแผ่วๆ จนวินเซนโซ่อยากลุกไปเตะสักป้าบก็ดังกระหึ่ม
“ฮ่าๆ” โดมินิคหัวเราะจนตัวงอ
“นายหัวเราะขำมากใช่ไหมนิค” คนวางสายหน้าบูดบึ้งไม่พอใจที่กลายเป็นตัวตลกให้เพื่อนสนิทหัวเราะขำขัน
“มาก นายก็อย่าเล่นตัวนักเลยวิน สาวน้อยน่ารักขนาดนั้นยังทำปากแข็งได้อีก” โดมินิคแซว
“ถึงหน้าตาจะสวยน่ารัก แต่ถ้านิสัยแย่ ฉันก็ไม่อยากเอามาทำแม่พันธุ์หรอกนะโว้ย” วินเซนโซ่หัวเสีย
สมัยนี้ภาพคนไม่สวยก็เอามาตกแต่งด้วยแอพฯ จนสะสวยขึ้นมาได้ราวกับเป็นคนละคน แล้วเขาจะแน่ใจได้ยังไง ตัวจริงอาจจะดูไม่ได้ หรือถ้าสวยจริงก็อาจทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง ทั้งงานครัว งานบ้าน และไหนจะเรื่องบนเตียงก็อีก ถ้าเจ้าหล่อนเรื่องมากนิสัยไม่ดีจะทำยังไง ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่อาจจะวางตัวดีน่ารัก ตัวตนจริงๆ อาจจะยิ่งกว่าปลาในตลาดที่ต้องหาตัวสดๆ ให้เจอ เผลอๆ หาทั้งตลาดก็ยังไม่เจอปลาสดด้วยซ้ำ
“งั้นส่งต่อมาให้ฉันแล้วกัน คนนี้น่ารักสเปคฉันเลยเชียว”
“อยากได้ก็เอาไปเลย”
“ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขัดจังหวะ วินเซนโซ่จึงระงับโทสะที่เกิดขึ้นเป็นริ้วๆ อย่างไม่มีสาเหตุแล้วบอกให้คนที่เคาะประตูเข้ามา
“ขอประทานโทษค่ะบอส มีแขกมาขอพบคุณวินพวินค่ะ” พนักงานทุกคนในตึกนี้รวมถึงที่โรงงานจะเรียกวินเซนโซ่ด้วยชื่อไทย และทุกครั้งที่สาวๆ เห็นบอสใหญ่ก็ต้องหลุบตาลงอมยิ้มเคอะเขินจนแก้มแดงเหมือนเลขาหน้าห้องของโดมินิคคนนี้
“ใคร” โดมินิคถาม
“เธอบอกว่าชื่อคุณนาดาค่ะ นาดา พจนะนนทกิจค่ะ เธอบอกว่าคุณวินพวินให้เอาของมาคืนค่ะ”
วินเซนโซ่หันไปสบตาโดมินิค คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ถ้าเขาจำไม่ผิดนามสกุลนี้เป็นนามสกุลของคุณอาภูวดล เรื่องครอบครัวเพื่อนชาวไทยของบิดามารดา เขาเคยได้ยินบ่อยครั้งจริงๆ และรู้สึกคุ้นหูกับนามสกุลนี้ ใช่แน่ๆ คนที่มาพบเขาต้องเป็นญาติกับคุณอาภูวดล
“ให้เธอเข้ามา” วินเซนโซ่ตัดสินใจตอบรับ เลขาหน้าห้องของโดมินิคสะบัดสะโพกดินระเบิดจากไป ชายหนุ่มจึงหันไปหาเพื่อนสนิท “หรือจะเป็นลูกสาวของคุณอาภูวดล นี่เด็กนั่นถึงขั้นมาหาฉันก่อนเลยหรือวะ ถ้ากล้าขนาดนี้ก็ร่านอยากได้ฉันจนตัวสั่นกระมัง”
“เอาน่ะ บอกแล้วไง ส่งต่อมาให้ฉันถ้านายไม่สน” โดมินิคยังยืนยันคำเดิม และภายในใจก็ยังเชื่อมั่นว่าเพื่อนรักจะต้องชอบเด็กสาวคนนั้นอย่างไม่มีเงื่อนไข
ร่างอวบอิ่มกระตุ้นต่อมหื่นได้ไม่ยากเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าชายสองคนที่เอาแต่จ้องเธอไม่วางตา คนหนึ่งยืนกอดอกพิงกรอบหน้าต่างอีกคนนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงาน ทั้งสองคนนิ่งขึงราวถูกสะกดจนนาดาสองจิตสองใจว่าควรจะยืนนิ่งๆ แบบนี้หรือทักทายพวกเขาก่อนดี
โดมินิคได้สติก่อนจึงสะกิดวินเซนโซ่เรียกเตือน เพื่อนรักถึงกับต้องถอนใจก่อนกะพริบตากวาดมองสาวน้อยตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สายตาของเขาทำให้นาดาหน้าเห่อร้อนจะเหนียมอายก็ไม่ใช่จะโมโหก็ไม่เชิง เธอไม่เคยถูกใครกวาดมองด้วยสายตาแบบนี้ สายตาที่กวาดต้อนราวกับประเมินค่าความสาวก่อนจะฉายแววเป็นประกายราวกับพึงพอใจ ทว่ามันจางหายไปอย่างรวดเร็วและกลายเป็นเธอที่ต้องกะพริบตาปริบๆ
“เอ่อ... ฉันมาพบคุณวินพวินค่ะ” เสียงหวานของเธอเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ โดมินิคกำมือขึ้นชิดปากแล้วลอบยิ้ม สาวน้อยคนสวยที่ปรากฏอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์กับตรงหน้าคือคนเดียวกัน นอกจากจะทำให้เขาถึงกับลืมหุบปากยังทำให้เพื่อนรักแทบลืมหายใจ
‘ถ้ามันปฏิเสธตอนถามว่ายังหายใจเป็นปกติ เขาจะต่อยมันตาแตกเพราะเห็นอยู่ว่ามันกลั้นหายใจไว้นานแค่ไหน’
“คุณต้องการพบผม?” คราวนี้คิ้วหนาของวินเซนโซ่เลิกขึ้นสูง หรือนางฟ้าน้อยตรงหน้าจะรู้จักเขามาก่อนแล้ว
นาดาหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินของตนแต่สิ่งของในนั้นเป็นของเขาส่งให้
“ฉันเอาของมาคืนคุณค่ะ”
“ของ? อะไร?” วินเซนโซ่รับกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินจากมือบาง ปลายนิ้วของเขาสัมผัสปลายนิ้วเรียวสวยอย่างจงใจ ในขณะที่ไฟฟ้าสถิตช็อตเข้ากับมือเล็กจนเจ้าของมือสะดุ้งนิดๆ เปลือกตาของวินเซนโซ่ก็หลุบลงปิดกั้นประกายตาบางอย่าง
วินเซนโซ่เปิดกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเมื่อเห็นสร้อยคอทองคำเส้นเล็กที่ร้อยเรียงอยู่ข้างในเรียบร้อยก็นิ่งไป นาดาหลุบตามองสร้อยในกล่องกำมะหยี่ก่อนที่ปลายนิ้วจะเกี่ยวเอาสร้อยเส้นเล็กขึ้นมาในระดับสายตาของเขา ดวงตาคู่นั้นไหววาบราวกับเรืองแสงแพรวพราว แต่แสงนั้นก็ดูจะจืดจางไปอย่างรวดเร็วและเพียงแค่เจ้าของหลุบเปลือกตาลงต่ำ นาดาก็อยากครางแผ่วออกมาอย่างเสียดาย
“ไม่คิดว่าเราจะได้พบกันอีกจริงๆ นะสาวน้อย”
“คุณคงลืมไปแล้วว่าเคยบอกให้ฉันเอาสร้อยมาคืน”
“ใช่ ลืมไปแล้ว และไม่คิดว่าเธอจะ...”
“ฉันไม่ใช่คนมักง่ายขนาดฉกฉวยของมีค่าของคนอื่นมาเป็นของตัวเองหรอกนะคะ” ถ้าเขาจะคิดว่าเธอเป็นพวกฉวยโอกาสก็คิดไปไม่น้อยล่ะ คนอย่างเธอต่อให้ไม่มีอันจะกินก็ไม่ขโมยของคนอื่นไปขายหรอกน่ะ หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นทำคอแข็ง ไม่พอใจถ้าเขาจะคิดแบบนั้นกับเธอ
“ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นนะสาวน้อย เพียงแต่...”
“เพียงแต่ไม่คิดจริงๆ ว่าฉันจะเอามันมาคืนคุณได้ อย่างนั้นใช่มั้ยคะ”
“เปล่าเลย ฉันกำลังจะบอกว่าดีใจที่ได้เจอกันอีกต่างหากล่ะ นั่งก่อนสิ” วินเซนโซ่ร้อยสร้อยเข้ากับที่ล็อกแล้วเก็บกล่องกำมะหยี่ใส่ลิ้นชัก ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญ
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ดีกว่า ฉันคืนของให้คุณแล้วก็หมดธุระของฉันแล้ว ถ้างั้นฉันคงต้องลาค่ะ” นาดาหมุนตัวกลับ หากแต่เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังก็ตรึงร่างเธอให้ชะงักงันอยู่กับที่
“อย่าเพิ่งไปสินาดา”
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นนี้มันคืออะไร ทำไมแค่เห็นชายหนุ่มรูปงามถึงกับต้องอกสั่นขวัญแขวนได้ขนาดนี้ ไม่อยากอยู่ในห้องนี้ที่มีหนุ่มหล่อถึงสองคนและเธอตกเป็นเป้าสายตาของพวกเขา แทบจะก้าวขาสั่นๆ ไม่ไหว ที่อยากจะออกไปจากที่นี่ก็เพราะอยากระบายลมหายใจที่ชวนอึดอัดยิ่งออกจากรูจมูก แค่น้ำเสียงชวนฟังก็ทำให้แก้มสาวแต้มสีระเรื่อก่อนกระจายไปทั่วดวงหน้า สายตาเธอเหลือบไปยังชายหนุ่มอีกคน ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจแต่เธอก็เห็นริมฝีปากเขากระตุกนิดๆ เหมือนกำลังยิ้มให้กับอะไรบางอย่าง
โอ้... พระเจ้า นี่ถ้าเธอยังอยู่ในห้องนี้ อีกไม่นานร่างกายของเธอคงอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเพราะมนตร์สะกดของชายหนุ่มรูปงามทั้งคู่
หญิงสาวตัดสินใจหันกลับ บุคคลที่เธอต้องการมาพบบัดนี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เขาสูงประมาณ 185 ซม.เห็นจะได้ ในขณะที่เธอสูงเพียง 160 ซม. เมื่อต้องเผชิญหน้ากันในระยะนี้ไม่แปลกที่ลำคอระหงจะเชิดตรงและใบหน้างามนั้นตั้งขึ้น
“ฉันว่าเราน่าจะได้ทำความรู้จักกันให้มากขึ้นอีกสักนิด”
“ทำความรู้จักกัน? เอ่อ... ฉันไม่เห็นความจำเป็นนอกจากจะต้องเอาของมีค่ามาคืนให้คุณเลยนี่คะ” ถ้าเสน่ห์ของเขาจะไม่เร้าใจขนาดนี้ เธอคงจะกล้าอยู่คุยกับเขาต่อด้วยเรื่องสัพเพเหระต่างๆ นานา
วินเซนโซ่สาวเท้าเข้ามาใกล้อีกก้าว มันใกล้พอจะทำให้เขาได้กลิ่นลมหายใจของเธอ และสาวน้อยหน้าตาน่ารักก็คงจะได้กลิ่นลมหายใจของเขาเหมือนกัน สีหน้าของเธอบ่งบอกว่าอย่างนั้นและนั่นมันทำให้คนตัวสูงต้องพิงสะโพกกับโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เพื่อให้ลำตัวสูงใหญ่ลดต่ำลงมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเธอ
‘ฉันไม่ชอบผู้หญิงเตี้ย’ เขาเคยพูดเล่นๆ กับโดมินิคว่าอย่างนั้น
‘เกลียดอะไรก็จะได้อย่างนั้น’ เพื่อนรักของเขาพูดถูกทีเดียว
“จำเป็นสิ อย่างน้อยฉันก็ควรต้องตอบแทนเธอเรื่องสร้อยเส้นนี้” มันไม่เคยมีค่าอะไรมากไปกว่าใส่ติดคอเก๋ๆ หายก็ช่างมัน ทว่าตอนนี้มันเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะตรึงเธอให้อยู่ด้วยนานๆ
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันไม่คิดจะเรียกร้องอะไรจากคุณ”
“ก็ฉันอยากให้ อย่างน้อยก็ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อเป็นไง”
“คือว่า...” ถ้าเธอต้องไปนั่งจ้องตากับเขาโดยมีโต๊ะอาหารขวางกั้น นึกภาพของเธอในตอนนั้นไม่ออกจริงๆ นอกจากเขาจะตรึงเธอด้วยสายตาและกลิ่นลมหายใจสดชื่นนั่นแล้ว เธอคงไม่มีแรงจะก้าวเดินไปข้างหน้าแหงๆ นาดาไม่ได้บ้าผู้ชายเพราะยังไม่เจอกับคนที่ถูกใจ ยกเว้นคนตรงหน้า เธอเคยวางสเปคชายในฝันเอาไว้ประมาณนี้ เขาต้องมีรูปร่างสูงใหญ่ มีมาดนิ่งๆ แต่สายตาแพรวพราวเหมือนคนเจ้าชู้ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะถูกใจกับชายเจ้าชู้มากกว่าชายหนุ่มธรรมดาเรียบร้อยทั่วไป เพราะชายที่เจ้าชู้ย่อมรู้วิธีบริหารเสน่ห์ให้ตนเองมีอำนาจเหนือสติอันพร่าเลือนของสาวๆ
“กลัวเหรอ ก็แค่ไปนั่งกินข้าวด้วยกันเฉยๆ”
“เปล่าค่ะ แต่ฉัน...”
“บางทีฉันอาจจะต้องขออนุญาตจากผู้ปกครองของเธอก่อนกระมัง”
“คุณพ่อท่านไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ ท่านไม่เคยบังคับฝืนใจฉัน” เธอตอบตรงๆ แล้วหลบสายตาคู่คมอย่างประหม่า สายตาของเขาร้อนแรงราวกับจะทำให้ร่างของเธอลุกเป็นไฟ แค่สบตาเขาเธอก็แทบจะถูกไฟเผาไหม้จนอ่อนปวกเปียก
“งั้นก็ตกลงสินะนาดา ฉันไม่อยากได้ยินคำปฏิเสธจากปากของเธอเลย มันต้องทำให้ฉันเสียใจมากแน่ๆ”
ตากลมโตช้อนขึ้นสบนัยน์ตาสีบรูเน็ตอ่อนเชื่อม ถ้าเขาจะมากล้นไปด้วยเสน่ห์ชวนขึ้นเตียงขนาดนี้ เธอควรจะอยู่ให้ห่างเอาไว้ไม่ดีกว่าหรือ นาดารู้สึกได้ถึงความอันตราย ผู้ชายคนนี้เต็มไปด้วยความอันตรายร้ายกาจ ซึ่งเธอไม่ควรจะเข้าใกล้รัศมีเกิน 10 เมตร แต่ทว่า...
“ก็ได้ค่ะ” ว้าย! เธอตอบรับออกไปได้ยังไง ต้องปฏิเสธสินาดา เขาอันตรายขนาดนี้ควรอยู่ให้ห่างจะดีที่สุด
“โอเค้ ฉันดีใจที่เธอตอบรับคำเชิญของฉันสาวน้อย”
“แต่วันนี้ฉันคงไม่สะดวกเท่าไหร่ค่ะ” เธอกดตามองสารรูปการแต่งกายง่ายๆ ของตัวเองแล้วแทบส่ายหน้า กับเขาที่ใส่สูทผูกเน็คไทแทบจะคนละเรื่องกันเลย คงเดินคู่กันไม่ได้แน่ เธอคิดอย่างว้าวุ่นใจเพราะอย่างน้อยการได้ควงคู่หนุ่มหล่อมาดร้ายอย่างนี้ก็น่าจะทำให้คนมองเห็นความเหมาะสม มากกว่าจะเล็งเห็นความเป็นผู้ใหญ่กับเด็ก
“ไม่เป็นไร” แล้ววินเซนโซ่ก็ถอดเสื้อนอกออกเหลือแต่เสื้อเชิ้ตสีขาว เขาพับแขนเสื้อขึ้นเหนือข้อศอกให้ดูง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองและเหมาะจะให้เธอได้ควงแขน “แค่นี้ก็พอแล้วมั้ง” พร้อมกับรูดเน็คไทออกจากคอแล้วปลดกระดุมลงสักสองเม็ด
“เอ่อ...” เซ็กซี่เป็นบ้าเลยผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ เธอแทบจะหลุดปากบอกออกไปตามที่คิด แต่ที่ทำได้ก็คือกัดริมฝีปากนุ่มจนแน่นแล้วรีบหันหน้าหนีเมื่อผสานสายตาคมวาวที่มีแววยั่วเย้าอยู่ในที
“ฉันจะไม่กลับเข้ามาอีกนะนิค” วินเซนโซ่พูดขึ้นโดยไม่มองหน้าเพื่อน หญิงสาวตรงหน้าทำให้เขาถอนสายตาจากเธอยากเต็มที
“ตามสบายเลย” โดมินิคลุกขึ้นเปิดยิ้มบางๆ ให้เพื่อนรักทันที
“เชิญ” วินเซนโซ่ผายมือให้หญิงสาวเดินนำออกไปก่อน ส่วนเขายักคิ้วหลิ่วตาทิ้งท้ายให้กับเพื่อนรักแล้วค่อยตามเธอไปติดๆ
โดมินิคยืนล้วงกระเป๋าอมยิ้มแม้ประตูห้องทำงานจะปิดสนิทไปนานแล้ว เขาก็ยังคงมีรอยยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น ถึงวินเซนโซ่จะเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ แต่วินเซนโซ่ไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนด้วยสายตาแบบนั้น คงรู้ว่ายังไงสาวน้อยคนนั้นก็คงไม่รอดพ้นกำมือ เลยคิดจะหยอกเล่นก่อนจะจับใส่กรงขังเพื่อเรียนรู้กันและกันไปตลอดชีวิต โดมินิคแน่ใจว่าต้องเป็นเช่นนั้น แม่สาวน้อยน่ารักนั่นก็จะทำเมินได้เสียที่ไหน เธอน่ารักน่าปรารถนาไปทั้งเนื้อทั้งตัวขนาดนั้น บอกตรงๆ ถ้าวินเซนโซ่ไม่เอา เขายินดีที่จะกินน้ำใต้ศอกเพื่อนก็คราวนี้
ภายในลิฟต์สำหรับผู้บริหารโดยเฉพาะ นาดายืนตัวเกร็งอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มรูปงามนามว่าวินพวิน ชื่อของเขาแปลกแต่ไพเราะมาก ‘วินพวิน’ แปลว่าอะไรหนอ เธอคิดถึงแต่ชื่อไม่ได้จดจำนามสกุลแปลกๆ ของเขาเลยสักนิด จะมีสักกี่คนบนโลกนี้ที่ชื่อวินพวิน
“คิดอะไรอยู่หรือสาวน้อย ฉันเห็นเธออมยิ้มตั้งนานสองนานแล้วนะ”
ที่จริงวินเซนโซ่แอบมองเธอตลอดเวลาต่างหาก แอบมองพวงแก้มนุ่มที่แต้มสีระเรื่อได้อย่างน่ารัก มองริมฝีปากสีกุหลาบอิ่มเต็มและชอบใจที่จะเห็นมันถูกขบเม้มนิดๆ เหมือนเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอย่างเคร่งเครียด พอเห็นปลายลิ้นเล็กๆ ที่เผลอแลบออกมาเลียยามกลีบปากสวยแห้งตึง เขาแทบคำรามก้องในทรวงอกปรารถนาจะเห็นมันไปนานๆ ไม่อยากให้เธอหดถอยหนีเอาเสียเลย
“กำลังสงสัยค่ะ” เพราะความสงสัยจึงทำให้รอยยิ้มบางๆ นั้นค้างไว้ยามที่เธอตอบกลับ
“สงสัยอะไรหรือ” เขาเองก็ชักสนุกที่ได้คุยกับเธอเหมือนกัน
“สงสัยว่าชื่อของคุณมีความหมายว่าอะไรหรือคะ วินพวินชื่อแปลกดีนะคะ”
“ไม่รู้เหมือนกันสิ ไม่เคยถามคุณแม่ซะด้วย แล้วเธอล่ะ ชื่อนาดาหมายความว่าอะไร” เขาถามกลับ
“น้ำค้างค่ะ นาดาเป็นชื่อภาษาอาหรับแปลว่าน้ำค้าง คุณพ่อเคยไปเที่ยวประเทศในแถบภาคตะวันออกกลางและมีเพื่อนคนหนึ่งที่นั่น มีลูกชื่อนาดาค่ะ แต่คุณพ่อชอบก็เลยเอามาตั้งชื่อให้”
“นาดาเรียกง่ายกว่าน้ำค้างนะ” เขาออกความเห็น แม้จะพูดไทยค่อนข้างชัดเพราะมีแม่เป็นคนไทย แต่เขาก็ชอบเรียกชื่อที่มันพูดง่ายกว่าชื่อเรียกยาก
“คุณพ่อคุณแม่และเพื่อนๆ ไม่ค่อยมีใครเรียกนาดาหรอกค่ะ ส่วนใหญ่จะเรียกน้ำค้าง”
“เอ้า! งั้นฉันก็ควรจะเรียกเธอว่าน้ำค้างล่ะสินะ จะได้ไม่แปลกปลอมจากคนอื่นๆ”
“ตามสะดวกเลยค่ะ ฉันยังไงก็ได้” เธอตอบพร้อมกับเผลอส่งยิ้มหวานใส่นัยน์ตาคมกริบของเขา ทำเอาวินเซนโซ่ถึงกับตาพร่ามัวไปในบัดดล ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นสักนิดเพื่อกลับมาจ้องหน้าเธอใหม่อีกหน เขาไม่รู้ว่าเวลานี้ความประหม่ากับความพอใจอะไรจะรุนแรงมากกว่ากัน
“เธออายุเท่าไหร่แล้วน้ำค้าง” เปลี่ยนคำถามชวนคุยเรื่องใหม่ๆ สร้างความสนิทสนมและย่นระยะห่างระหว่างกันให้น้อยลง
“22 ค่ะ” หญิงสาวลอบยิ้มนิดๆ ไม่บอกว่าอีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดของเธอแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของเธอมากเกินไป ท่องจำไว้ อย่าให้เขาเข้ามาแทรกแซงในชีวิตอันปกติสุขของเธอได้ทีเดียว
“แล้ว... คิดยังไงกับผู้ชายที่อายุมากกว่า 10 ปี” เธอพยายามบ่ายเบี่ยงแต่เขากลับพยายามจูนเข้าหากันให้เร็วที่สุด อย่างไม่คิดจะเสียเวลาอีกต่อไป
“อยู่ที่ว่าคนๆ นั้นเป็นใครค่ะ”
“แล้วถ้าคนๆ นั้นเป็นฉันล่ะ เธอจะว่ายังไง”
นาดากวาดตามองไปทั่วร่างสูง เขาเองก็ดูไม่แก่เลยสักนิด ผู้ชายอายุ 32 ยังไม่แก่เท่าไหร่หรอก โดยเฉพาะผู้ชายตรงหน้า ถึงระยะห่างจะมากถึง 10 ปี แต่คงเป็นเธอที่ยังเด็กเกินไปส่วนเขายังไม่แก่เลยสักนิด
“ว่าไง สำรวจฉันจนพอใจหรือยังฮึน้ำค้าง”
“คุณยังไม่แก่เลยนะคะ”
“ห่างกว่ากันตั้ง 10 ปี เธอยังจะพอรับไว้พิจารณาได้ไหม” แต่แล้วเขาก็จู่โจมกำแพงบางๆ ของเธอเต็มแรง ทำเอานาดาหน้าเห่อร้อน เขาดูอันตรายเหลือเกินกับการทำอะไรรวดเร็วขนาดนี้ ดูเป็นคนไม่น่าไว้วางใจเลยจริงๆ พอเห็นเธออึกอักแถมยังขยับห่างไปถึง 2 ก้าว วินเซนโซ่ก็ลอบถอนใจ “ฉันล้อเล่นน่ะ ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอกนะน้ำค้าง”
“ขอโทษค่ะ” เธอก้มหน้าจนคางจรดอก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกเลย กลัวจะได้ยินเรื่องที่ทำให้ใจแกว่งเหมือนชิงช้าสวรรค์
น่าเสียดายปากเร็วไปนิด เลยทำให้เธอปฏิบัติตัวต่อเขาไม่เหมือนเดิม เวลานี้วินเซนโซ่จึงไม่เห็นดวงตาสวยใสเหมือนดาวบนท้องฟ้าอีกเลยจนกว่าจะได้ออกจากลิฟต์
ให้ตายสิ! เขาไม่เคยรู้สึกต้องการใครมากขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ เธอทำให้ร่างกายของเขาเกิดความผิดปกติ บุรุษที่เคยควบคุมอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยมมาตลอด แม้จะอยู่ต่อหน้าผู้หญิงสวยหยาดฟ้ามาดินก็ยังเก็บงำความรู้สึกนั้นไว้ได้ดีเสมอมา แต่นาดา... สาวน้อยคนนี้ทำให้เขาอยากทำลายกำแพงปรารถนาแล้วจับเธอคุกเคล้าอยู่กับพื้น อยากทำทุกอย่างให้หนักหน่วงพอๆ กับทะนุถนอมเธอยิ่งกว่าไข่ในหิน
