บทที่สี่ ห้องหมายเลขสิบเจ็ด
เช้าวันใหม่ในหอจิ้งเหอเริ่มต้นด้วยความเงียบผิดปกติ
บรรยากาศที่เคยครึกครื้นยามเช้ากลับนิ่งงันกว่าทุกวัน
ขนาดบรรดาสาวใช้บางคนที่มักจับกลับคุยกันในเช้านี้ยังพากันหลุบตามองต่ำ ไม่กล้าพูดจากันมากนักเช่นเคย
ข่าวลือเรื่องการเสียชีวิตปริศนาในห้องหมายเลขสิบเจ็ดเมื่อคืนวานยังคงแพร่กระจายไปทั่ว ไม่มีใครพูดถึงออกมาตรง ๆ แต่ทุกสายตากลับหันไปทางปีกตะวันตกของเรือนหลักด้วยความหวาดหวั่น
ซืออิ๋นเดินก้มหน้าเงียบเฉกเช่นปกติ นำผ้ามาขัดพื้นจากห้องครัวหลังเรือน ตั้งใจจะจัดการพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบให้เรียบร้อยก่อนเที่ยงวันนี้ เนื่องจากซืออิ๋นยังจำได้แม่นว่าแม่เล้าเหม่ยฮวาได้สั่งเอาไว้ว่าจะส่งคนมารับนางไปยังเรือนหลางหลิน นอกเมือง เพื่อดูอาการของบุตรสาวในช่วงบ่าย
ฉะนั้นหญิงสาวไม่มีเวลามาก ต้องรีบสะสางหน้าที่ของตนให้เสร็จ…ก่อนจากหอนี้ไปทำงานสำคัญอีกหน้าที่หนึ่ง
“ซืออิ๋น เจ้ามานี่หน่อย”
เสียงเรียกของเสี่ยวซิน สาวใช้รุ่นพี่ดังขึ้นจากด้านหลัง
ใบหน้าของนางยังคงแต้มรอยยิ้ม แต่ดวงตาเย็นเฉียบและแฝงความพอใจบางอย่าง
สาวใช้ผู้นี้เป็นคนสนิทของไป๋ฮวา คณิกาคนดังที่เพิ่งมีเรื่องกับซืออิ๋นเมื่อวานก่อน
ไม่รู้วันนี้มาไม้ไหนจึงได้เรียกกันไปเช่นนี้ทั้งที่เมื่อวานไม่แม้แต่ทักทายกันเลยด้วยซ้ำ
“มีคำสั่งให้เจ้าไปทำความสะอาดห้องแขกฝั่งตะวันตก… ห้องหมายเลขสิบเจ็ดน่ะ” นางว่าเสียงเบา แต่ชัดเจน ซืออิ๋นชะงัก
มือนางที่กำลังถือผ้าหยุดกลางอากาศ เงยหน้าขึ้นอย่างระวัง
“ห้องนั้น…ข้าได้ยินว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องขึ้นนี่นา”
“เจ้าคิดมากไปเองหรือไม่ เกิดเรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้นมีคำสั่งจากหัวหน้าบอกให้จัดการให้เรียบร้อยก่อนเที่ยงนี้… ถ้าไม่ทำ เจ้าอาจถูกมองว่าละเลยหน้าที่ข้าไม่เกี่ยวด้วยนะ”
ซืออิ๋นนิ่งไป ความลังเลวูบหนึ่งไหลผ่านในใจ บอกตามตรงซืออิ๋นรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
ทั้งสายตาของเสี่ยวซินวาววับผิดปกติและน้ำเสียงหวานเกินจำเป็น
“แล้วเหตุใดจึงไม่ใช่เจ้าขึ้นไปทำเล่า ชั้นนั้นเป็นชั้นของสาวใช้เช่นพวกเจ้ามิใช่หรือ”
“ข้าเองมีงานด่วนอื่นที่ต้องทำ” เสี่ยวซินยิ้ม ยัดผ้ากับน้ำยาในมือซืออิ๋นอย่างรวดเร็ว
“ถ้าเจ้าไม่ไป...อย่าหาว่าข้าไม่บอกก็แล้วกัน”
ซืออิ๋นมองผ้าขัดพื้นในมือ นางไม่อยากเสียเวลาเถียง ไม่อยากถูกกล่าวหาว่าละเลยงาน เพราะนั่นหมายถึงถูการกตัดสิทธิ์ไม่ให้ออกจากหอในช่วงเที่ยงนี้
นางต้องไปที่เรือนหลางหลินให้ทัน…และข้าจะไม่ปล่อยให้แผนของข้าเสียไปเพียงเพราะกับดักเล็ก ๆ พวกนี้ไม่ได้
ร่างบางสูดลมหายใจเงียบ ๆ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันหลังเดินตรงไปยังปีกตะวันตกของเรือน มุ่งหน้าไปยัง ห้องหมายเลขสิบเจ็ดที่ไม่มีใครอยากเฉียดใกล้
เสียงฝีเท้าของซืออิ๋นดังเบา ๆ ไปตามระเบียงไม้ของปีกตะวันตก ท้องฟ้ายามสายเริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ แต่พื้นที่แถบนี้กลับยังคงมืดครึ้มราวกับแสงไม่อาจส่องถึงได้
ร่างบางถือถังน้ำและผ้าขัดพื้นเต็มสองมืออย่างมั่นคง สายตาเบนมองสองข้างอย่างเงียบ ๆ
หืม...ขึ้นมาก็ได้กลิ่นบางอย่างในอากาศผิดปกติ
ไม่ใช่กลิ่นเน่า ไม่ใช่กลิ่นเลือดแต่เป็นกลิ่นของสิ่งไร้ชีวิตที่มักมีพลังบางอย่างอยู่ในตัวมันลอยปะปนอยู่ในม่านอากาศชั้นนี้
ซืออิ๋นไม่พูดอะไร แต่ในใจเริ่มระแวดระวังยิ่งขึ้น
เมื่อเดินมาถึงกลางทาง บริเวณชั้นสองก่อนถึงห้องหมายเลขสิบเจ็ด…
สายตานางก็เริ่มเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น
วูบหนึ่งหญิงสาวเห็นร่างของหญิงสาวผมยาวในชุดสีเทา เดินผ่านช่องว่างระหว่างห้องไปอย่างไร้เสียง ก่อนจะหายวับไปที่ปลายโถง
อีกวูบหนึ่งชายชราร่างโค้งค่อม ยืนพิงเสาไม้ มองนางด้วยดวงตาเศร้าโศกแล้วก็สลายไป
พวกเขาไม่ใช่แขก ไม่ใช่สาวใช้ แต่คือวิญญาณล่องลอยที่นางคุ้นเคยดี พวกเขาคือเหล่าวิญญาณในหอจิ้งเหอ
บางดวงเป็นวิญญาณเก่าแก่ที่นางเคยเห็นแค่ผ่าน ๆ กระจายออกไป
แต่วันนี้แปลกมากที่ดันมาเห็นพวกเขาพร้อมใจกันมารวมตัวกันที่ชั้นนี้
นางกวาดตามองอย่างแนบเนียน พบว่า…ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสอง
แต่มีมากกว่าห้าเจ็ดดวง กระจายอยู่รอบชั้นนี้
นี่มันอะไรกัน... ทำไมพวกเขาถึงรวมตัวกันอยู่ที่นี่
บางดวงยืนพูดคุยกันเบา ๆ
บางดวงมีท่าทางเร่งรีบ เหมือนกำลังหารือสิ่งสำคัญ
แต่ที่สะดุดตาคือ…วิญญาณเหล่านี้ ตายไม่เหมือนกันเลย
บางคนรอยเชือกพันคอ
บางคนมีดปักอก
บางคนไร้แขน ไร้ขาด้วยซ้ำ
ซืออิ๋นสูดลมหายใจลึก พยายามควบคุมจังหวะก้าวเดินให้มั่นคง มือที่ถือผ้ากำแน่นขึ้นเล็กน้อยแสร้งเดินผ่านทำเป็นมองไม่เห็นดวงวิญญาณพวกนั้น
อย่าได้เผลอ...สบตาหรือพูดด้วยเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นวิญญาณที่ไม่ไปสู่สุขคติพวกนี้จะรู้ว่านางสามารถสื่อสารกับพวกเขาได้และไม่เกรงใจที่จะมาขอความช่วยเหลือให้ปลดปล่อยพวกเขา
ขณะเดินผ่านโถงไปอีกสามห้อง เสียงกระซิบเบา ๆ ก็ดังขึ้น
“แม่นางผู้นั้นจะไปที่ใดกัน”
“หรือจะเป็นที่นั่น...เมื่อคืนเพิ่งมีคนถูกฆ่า”
“เจ้าคิดว่าแม่นางนี่เห็นพวกเราไหม”
“นั่นสิ คงไม่เห็นหรอกกระมัง...คงเหมือนมนุษย์คนอื่น”
เสียงเหล่านั้นลอยวนรอบตัว
ต้องไม่ตอบ ต้องไม่สบตา
นางต้องไม่ทำให้พวกเขารู้ว่านางเห็นพวกเขา
ประสบการณ์จากโลกก่อน…ยังหลอกหลอนนางไม่ห่าง เมื่อใดก็ตามที่พวกวิญญาณรู้…ว่ามีคนเห็น พวกเขาจะพุ่งเข้าหา ขอความช่วยเหลือ ไม่สนว่าคนผู้นั้นจะช่วยได้หรือไม่
และนั่นแหละ…คือจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายไม่รู้จบ
ซืออิ๋นยังคงเดินต่อ
ห้องหมายเลขสิบเจ็ดอยู่ตรงหน้า
ประตูปิดสนิท มีผ้าดำผูกอยู่ที่ลูกบิด
ซืออิ๋นวางถังน้ำลงหน้าห้อง สูดลมหายใจเข้าออกเพื่อทำใจลึก ๆ ก่อนที่มือของนางค่อย ๆ เอื้อมไปแตะที่จับบานประตูอย่างช้า ๆ ลมหายใจในอกนิ่งสงบ นางเตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องเผชิญสิ่งใดก็ตามที่อยู่ด้านหลังบานประตูนั่น
หากเป็นผีนางก็จะแสร้งทำเป็นไม่เห็นไปเสีย
แต่แล้ว…
"อย่าเปิด!"
เสียงตะโกนแหลมสูง เสียงแหบพร่า เสียงร้องเตือนจากวิญญาณบางตนยืนอยู่ด้านหลังนางไม่กี่ก้าว วิญญาณชราร่างผอมโก่ง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
“อย่าเปิดประตูนั่น… อย่าเข้าไป…”
ซืออิ๋นชะงักมือในทันที หัวใจเต้นแรงวูบหนึ่ง แต่นางยังไม่แสดงอาการอะไรออกมาให้ใครเห็น
นางไม่หันกลับ ไม่แม้แต่ขานรับได้แต่ตั้งคำถามสงสัยในใจ
แต่เหตุใดจึงตะโกนห้ามนางด้วยเล่า... หรือมีบางสิ่งที่แม้แต่วิญญาณเองก็ไม่กล้าเผชิญ...
และก่อนที่นางจะทันได้ตัดสินใจอีกครั้ง…
แกร๊ก
เสียงกลอนประตูดังขึ้นจากด้านในอีกฝั่งของบานประตู
ก่อนที่บานประตูไม้จะเปิดออกก่อน ราวกับคนที่อยู่ด้านในเฝ้ารออยู่แล้ว
“อะ…”
วึบ!
ข้อมือของซืออิ๋นถูกกระชากอย่างรวดเร็ว แรงไม่มากแต่เพราะนางไม่ทันตั้งตัว ร่างทั้งร่างถูกดึงเข้าไปภายในห้องในคราวเดียว
“ว๊าย”
เสียงหลุดจากปากนางด้วยความตกใจก่อนที่บานประตูจะปิดลงดัง ปัง!
