ตอนที่ 5 (ep1.)
ดร.ดุริยะ ดร.นิลรัตน์และชญานี นั่งอยู่ในภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง ด้วยความกลัดกลุ้มและต่างก็เสียใจผิดหวังและได้ปรับทุกข์พูดคุยกัน ได้ระบายความอัดอั้นและความผิดพลาดในการเลี้ยงลูกของตน ซึ่งไม่ต่างจากอรวรรยามากเท่าไหร่นัก ที่ลูกสาวของตนกลับกลายเป็นชาย ความหวังทั้งหลายมลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี ในขณะที่ทุกอย่างเงียบนิ่งราวกับท้องทะเลลึกในยามไร้คลื่น ก็เกิดมีคลื่นโหมกระหน่ำมาอย่างแรง
เมื่อเจ้าของบริษัทจัดหาคู่ หรือที่เรียกตัวเองว่าแม่สื่อก็เดินเข้ามา ชาตบุษย์ กระเทยตัวแม่ แต่ไม่ได้แปลงเพศ เดินโยกย้ายส่ายสะโพกเข้ามา แล้วมองเห็นอรวรรยา เพื่อนสนิทนั่งอยู่ยังยังโต๊ะอาหารมุมหนึ่ง
ชาตบุษย์เตรียมเดินเข้าไปทักทายอรวรรยา หากไม่ติดว่าสายตาตวัดไปเห็นชญานีเข้าเสียก่อน ครั้งหนึ่งชญานีเคยเปรยให้หล่อนหาเป้าหมายเพื่อมาเป็นสะใภ้ให้ และหล่อนทราบมาว่า ชลธิศบินกลับเมืองไทยมาหมาด ๆ ทำให้ชาตบุษย์ตัดสินใจที่จะหาลูกค้าก่อนหาเพื่อน
“สวัสดีค่ะคุณนีขา”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกชญานีก็หันไปหาแต่แล้วหัวใจของหล่อนก็แทบหยุดเมื่อเห็นชัดว่าเป็นใคร
“ตาย! โลกคงถล่มลงทับฉันตายแน่วันนี้”
ชญานีบ่นพึมพำพลางยกมือปิดหน้าแล้วระบายลมหายใจออกมา ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มหวานต้อนรับชาตบุษย์ที่เยื้องย่างเข้าไปถึงพร้อมกับพุ่มมือไหว้หล่อนงาม ๆ
“สวัสดีค่ะคุณนี”
ชญานีหันมายิ้มแล้วยกมือรับไหว้
“อุ๊ยตาย!”
เพียงแค่ชญานีอ้าปากเตรียมเอ่ยทักตอบ แต่สายตาของชาตบุษย์ก็ตวัดไปเห็นดร.ดุริยะที่นั่งเงียบอยู่ใกล้ ๆ ภรรยา ทำให้กระเทยรุ่นแม่เบิกตากว้างราวกับเจอของดีอะไรที่โดนสุด ๆ เข้าอย่างจัง
“ดร.ดุริยะ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
ไม่จำเป็นต้องให้ใครแนะนำ เมื่อชาตบุษย์เรียกชื่อของเขาออกมาได้อย่างถูกต้อง และยังไม่ทันที่ใครจะได้ขยับอีกเหมือนกัน ชาตบุษย์ก็โผเข้าไปหาดร.ดุริยะแล้วยกมือก้มลงกราบที่อกของเขาแล้วเลยลงไปถึงตัก ทำให้ดร.ดุริยะรีบลุกขึ้นทันที
แต่แทนที่ชาตบุษย์จะหยุดเมื่อเขาลุกขึ้นด้วยความตกใจ หล่อนกลับโผเข้ามากอดเขาแล้วหอมแก้มเขาอย่างไม่อายใคร
“ดีใจจังเลยค่ะท่านปลัด เคยเห็นแต่ในทีวี ตัวจริงหล่อมาก นี่แทบไม่รู้เลยนะคะว่าอายุใกล้วัยเกษียณแล้ว”
ชญานีหันมองไปรอบตัวด้วยสีหน้าที่ยิ้มบ้างหุบบ้าง รู้สึกอับอายอย่างมาก ซึ่งตรงข้ามกับดร.นิลรัตน์ที่ยังนั่งนิ่ง ราวกับว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์อะไรสักอย่าง
“ครับ”
ดร.ดุริยะยิ้มเก้อ ๆ แล้วนั่งลงใกล้ภรรยาของเขา
“มีอะไรหรือคะคุณบุษย์”
ชญานีเอ่ยถามเพื่อตัดบท ทำให้ชาตบุษย์เลื่อนเก้าอี้ออกแล้วนั่งใกล้กับชญานีแต่ตรงข้ามกับดร.ดุริยะ นั่งจ้องหน้าเขาพลางยิ้มแล้วทำตาเยิ้มส่งให้อย่างเชิญชวน ชญานีเห็นสายตาของชาตบุษย์ก็รีบผายมือไปที่ดร.นิลรัตน์
“นี่ดร.นิลรัตน์ ภรรยาของท่านปลัดค่ะคุณบุษย์”
เมื่อชญานีแนะนำอย่างนั้นทำให้ชาตบุษย์ปรายตาไปมองหน้าของหญิงที่นั่งอยู่เคียงข้างดร.ดุริยะแล้วก็ทำให้หล่อนตะลึงไปชั่วขณะ เพราะดร.นิลรัตน์จัดเป็นผู้หญิงที่สวยและสง่างามอย่างมาก
“สวัสดีค่ะด็อกเตอร์”
เมื่อชาตบุษย์ส่งเสียงทักทาย เหมือนปลุกให้ดร.นิลรัตน์หลุดออกมาจากภวังค์ที่ดิ่งลึก หล่อนยิ้มให้ชาตบุษย์
“เออนี่คุณนี เรื่องที่เคยคุยกันไว้ ฉันหาให้ได้แล้วนะ”
คำพูดของชาตบุษย์ทำให้ชญานีรู้สึกเจ็บแปลบ หล่อนเมินหน้าไปอีกทาง ไม่รู้จะบอกอย่างไรว่า ลูกชายของหล่อนไม่จำเป็นต้องหาภรรยาอีกแล้ว แต่คงต้องเปลี่ยนเป็นหาสามีแทน
“เอาไว้คุยกันคราวหลังนะคะ คือวันนี้ เรามีเรื่องต้องคุยกันเป็นการส่วนตัวค่ะ”
ชญานีตัดสินใจพูดออกมาแม้จะรู้ว่ามันเหมือนเป็นการไล่ชาตบุษย์อยู่กลาย ๆ ก็ตาม
“อ๋อ ได้ค่ะ วันหลังนะคะ”
\ชาตบุษย์ยิ้มแล้วหันไปมองหน้าดร.ดุริยะ
“ได้ข่าวว่า ดร.มีลูกสาวที่จบปริญญาโทมา สวยมากใช่ไหมคะ หากสนใจอยากจะใช้บริการบริษัทหาคู่ของบุษย์ก็เชิญติดต่อมาได้นะคะ”
เจ้าหล่อนพูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปหาอรวรรยา ทำให้ดร.ดุริยะ ภรรยาและน้องสาว ต่างถอนใจออกมาอย่างโล่งอก แต่กลับสร้างความกดดันให้อรวรรยาเมื่อชาตบุษย์โผล่หน้าไปแล้วพูดเรื่องการหาคู่ให้ลูกสาวของหล่อน ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องหาสามี แต่ต้องหาภรรยาแทน
หลังจากประชุมที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสร็จ ปรมัตถ์อาศัยความคุ้นเคยกับรองปลัดกระทรวงขอเข้าพบดร.ดุริยะ ปลัดกระทรวงเป็นการส่วนตัว เนื่องจากปรมัตถ์เป็นผู้ผลิตปุ๋ยรายใหญ่ที่สุดในภาคใต้และยังได้รับการเสนอชื่อให้เข้าโครงการร่วมกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้เกษตรกรหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์และมีการสร้างโรงงานผลิตปุ๋ยจัดวิทยากรไปสอนเกษตรกรถึงวิธีการผลิต
ซึ่งปรมัตถ์อาศัยความรวดเร็วและความใกล้ชิดกับคนในวงในจนได้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการเทคโนโลยีโรงงานต้นแบบผลิตปุ๋ยอินทรีย์ให้แก่เกษตรกร
“สวัสดีครับ ผมปรมัตถ์ครับ”
ทันทีที่ปรมัตถ์ได้พบดร.ดุริยะ ชายวัยไล่เลี่ยกับพ่อของเขา ปรมัตถ์ก็ไม่อ้อมค้อมกับจุดประสงค์ของเขา
“ผมต้องขอบคุณท่านปลัดมากครับที่กรุณามอบความวางใจให้ผมได้ร่วมโครงการนโยบายของรัฐ ถ่ายทอดเทคนิคการผลิตปุ๋ยให้เกษตรกร”
น้ำเสียงทุ้มกังวานดังขึ้นอย่างน่าฟัง ชัดถ้อยชัดคำประกอบกับบุคลิกลักษณะที่บ่งบอกว่าเป็นคนมีความรู้และมีสมองอีกทั้งเขายังดูหล่อเหลาโดดเด่น ทำให้ดร.ดุริยะรู้สึกถูกชะตากับเขาอย่างมาก
“ผมมาเพื่อเสนอโรงงานผลิตปุ๋ยของผมเป็นที่อบรมและให้เกษตรกรได้ใช้ โดยไม่ต้องเสียงบประมาณในการสร้างขึ้นใหม่”
ปลัดรุ่นพ่อมองหน้าเขากับข้อเสนอ
“ผมขอแค่ ให้ผมได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทางกระทรวงสามารถไว้วางใจเสนอสินค้าของผมให้กับเกษตรกรทั่วทุกภาค ทั้งในเรื่องของปุ๋ยชีวภาพและปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพที่นอกเหนือจากปุ๋ยเคมีครับ”
เมื่อเข้าเรื่องแล้วปรมัตถ์ไม่ยอมละทิ้งโอกาสอันดีนี้ เขาใช้วาทะศิลป์ในการพูด เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือและไว้วางใจ ตามหลักการค้า หากเราจำเป็นต้องเสียหนึ่งเพื่อจะได้มาสองก็ควรทำ ปรมัตถ์ใช้หลักนี้เพื่อโน้มน้าวดร.ดุริยะ ที่ยอมรับปากว่าจะคิดดูแล้วจะให้คำตอบผ่านทางรองปลัดหรือไม่ก็จะติดต่อเขาเองโดยตรง
“คุณพ่อของผมท่านเป็นเจ้าของที่ดินในโครงการหนึ่งที่ทางรัฐบาลกำลังติดต่อขอซื้ออยู่ หากท่านปลัดต้องการให้ผมช่วยอะไรก็บอกนะครับ”
ดร.ดุริยะเลิกคิ้วสูง
“ชื่ออะไรหรือครับ”
“เต็มยศครับ คุณพ่อของผมท่านเป็นราชาที่ดิน ทั่วทุกภาคของไทยในทำเลที่ดีทั้งในแหล่งท่องเที่ยวในเขตเทศบาล พ่อของผมเป็นเจ้าของครับ และที่ดินที่ทางกระทรวงต้องการจะทำโรงงานผลิตปุ๋ยเพื่อให้เกษตรกรได้ใช้เพื่อลดต้นทุนในเขตภาคอีสาน ก็เป็นที่ดินของพ่อผมเองครับ แต่เห็นว่ายังไม่สามารถตกลงราคากันได้”
ดร.ดุริยะพยักหน้าช้า ๆ เมื่อรู้ว่าพ่อของเขาคือใคร
“ผมต้องการพบพ่อของคุณ”
ปรมัตถ์มองหน้าปลัดกระทรวงนิ่ง
“ผมรู้สึกคุ้นชื่อและนามสกุลของพ่อคุณมาก เหมือนกับว่า ผมจะเคยสนิทสนมคุ้นเคยมาก่อน”
เพียงแค่ดร.ดุริยะพูดจบปรมัตถ์ก็ยิ้มกว้างออกมา
“ได้ครับ ผมจะเรียนคุณพ่อของผมและนัดวันให้ครับ”
“ขอบใจมาก”
เพียงเท่านั้นปรมัตถ์ก็สามารถหายใจได้เต็มปอด เขาไม่เสียเวลาที่ลงมากรุงเทพฯจริง ๆ งานของเขายังขยายออกไปได้อีก เขาสามารถเข้าร่วมกับรัฐบาลซึ่งสามารถขายปุ๋ยได้ทั่วประเทศในทุกภูมิภาค
