บทที่ 7 เกิดอะไรขึ้น 3
ซูลี่จูหมดสติไปหลายวัน และบัดนี้นางก็ฟื้นแล้วทว่าช่วงเวลาที่นางหลับลึกนั้นในอีกโลกหนึ่งชีวิตอันเลวร้ายของนางยังดำเนินต่อไป
นางก้มมองมือของตนเองที่ยังเนียนนุ่มด้วยไม่เคยจับต้องสิ่งใดเลยสักหน ทว่าชีวิตบั้นปลายของชาติที่แล้วมือนี้หยาบกร้าน นางต้องหลบหนีคนจากทางการ ใช้มือนี้ขุดหาหัวมันเพื่อเอามาเผากิน ประทังชีวิตด้วยการนอนอยู่ในที่เย็นและสกปรกร่วมกับอาเจินผู้แสนดี
“ข้าได้กลับมาอีกครั้ง ข้าจะไม่ทำพลาดอีกแล้ว ส่วนเขาจะทำสิ่งใดข้ายอมหลีกทางให้ทั้งหมด”
อาเจินคิดว่าในความฝันนั้นคงน่ากลัวไม่น้อย แต่จะน่ากลัวเพียงพอที่จะทำให้คนผู้หนึ่งเปลี่ยนนิสัยได้หรือ
“คุณหนู นอนนะเจ้าคะ ท่านเหมือนจะตัวร้อนกว่าเดิมแล้ว บ่าวจะเช็ดตัวให้ท่านเจ้าค่ะ”
ซูลี่จูยิ้มอย่างอบอุ่นครานี้อาเจินสามารถรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนของนางแล้ว นางจับมือของอาเจินเอาไว้
“อาเจิน เจ้าอยู่ตรงนี้ไม่ต้องเช็ดตัวแล้ว ข้าไม่เป็นอะไร ข้าเพียงแต่อยากจะอยู่กับเจ้า ให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เจ้ายังอยู่ตรงนี้จริง ๆ”
อาเจินมองนางนิ่ง ความสงสัยล้นพ้นอยู่ในอก
หรือว่าคุณหนูหลังจากล้มป่วยวิญญาณจะออกจากร่างแล้วมีเทพเซียนมาเข้าร่างนี้แทน
ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ดียิ่งแล้ว
ทันใดนั้นซูลี่จูก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ลำคอ ซูลี่จูไอแหบแห้งออกมาจากนั้นจึงยกมือขึ้นจับลำคอของตนเอง
อาเจินมองตามและบัดนี้นางก็ตกใจยิ่งนัก
“คุณหนูเจ้าคะ ลำคอของท่านไยจึงได้แดงน่ากลัวเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้น ยังคล้ายกับถูกเชือกรัดมาเช่นนี้”
ซูลี่จูเบิกตากว้าง
“จริงหรือ”
“เจ้าค่ะ”
นางลุกพรวดขึ้นมาแล้วผวาไปที่หน้ากระจกอย่างรวดเร็ว และภาพที่นางเห็นในยามนี้ล้วนเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ
นางลูบลำคอที่ยังรู้สึกเจ็บแสบพร้อมกับรอยแผลนั่นเบา ๆ
“อาเจิน ข้าแน่ใจแล้วเรื่องทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ความฝันแม้แต่น้อย”
“คุณหนูรอยยาวเช่นนี้คงเจ็บปวดไม่น้อย เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ”
ซูลี่จูเอ่ยว่า
“เจ้าอย่ารู้เลย ไม่ใช่เรื่องที่น่าฟังเท่าใด อาเจินอย่าถามข้าอีก”
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”
แม้จะสงสัยกับรอยแดงรอบลำคอขาวของซูลี่จู อาเจินก็ไม่เอ่ยปากถามคำใดอีก แม้ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออกว่ารอยนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เพราะที่ผ่านมานางถูกสอนมาให้เชื่อฟังและห้ามปากมากอาเจินจึงได้หุบปากเสียสนิท
“บ่าวจะทาขี้ผึ้งให้ท่านนะเจ้าคะ หรือจะให้บ่าวไปตามท่านหมอ รอยแผลนี้แม้จะไม่ลึกเท่าใดแต่อาจทิ้งแผลเป็นให้ท่าน”
อาเจินเอ่ยด้วยความรู้สึกห่วงใย หากเป็นเมื่อก่อนซูลี่จูคงกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้วเผลอ ๆ ยังกังวลจนลงมือตบตีนางอีกทว่าครานี้นางกลับดูสงบยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ร้ายแรงเพราะแผลเป็นสำหรับสตรีนั้นเปรียบประดุจตราบาปที่ประทับอยู่ในร่างกาย
“รอบ่าวสักครู่นะเจ้าคะ บ่าวจะดูว่ามีขี้ผึ้งทาแผลหรือไม่”
อาเจินลุกขึ้นไปค้นหาขี้ผึ้งในกล่องยาอย่างกังวล
“อยู่นี่เอง คุณหนูเจอแล้วเจ้าค่ะ”
อาเจินกลับมาก็พบว่าซูลี่จูกำลังนั่งเหม่อลอยนิ้วเรียวยังคงลูบไล้ลำคอของตนเองแผ่วเบาเช่นเคย
“คุณหนูบ่าวทาขี้ผึ้งให้เจ้าค่ะ”
ซูลี่จูนั่งนิ่งคล้ายรูปปั้นรูปหนึ่ง โดยไม่ขยับแม้แต่น้อย นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ยากคาดเดา ไม่อาจรู้ได้ว่าบัดนี้นางกำลังคิดสิ่งใดกันแน่
ความรู้สึกของอาเจินในยามนี้ดูจะผ่อนคลายลงไม่น้อย ซูลี่จูไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ทั้งสีหน้าและแววตาเปลี่ยนไปราวกับสตรีที่ผ่านโลกมาถึงบั้นปลายชีวิต
เพียงแค่ตากฝนจนล้มป่วยเพื่อเรียกร้องให้สามีที่ไม่ไยดีสงสาร ก็ทำให้คุณหนูเปลี่ยนไปเพียงนี้หรือ
หรือว่าคุณหนูจะเจ็บช้ำน้ำใจจนสติของนางได้เพี้ยนไปแล้ว
กระทั่งซูลี่จูเอ่ยคำที่ทำให้อาเจินตกตะลึง
“อาเจินพวกเรากลับบ้านกันเถิด ต่อไปพวกเราจะใช้ชีวิตให้ดีไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนสกุลเกาอีก ข้าไม่ชอบเขาแล้วไม่อาจชอบได้อีกต่อไป ข้าจะขอหย่ากับเขาในวันพรุ่งนี้”
“คุณหนู! ทะท่านหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
ซูลี่จูแย้มเย็น สายตามุ่งมั่นแน่วแน่
“ข้าจะหย่ากับเขา ชาตินี้จะไม่ข้องแวะกับเขาอีก ส่วนพวกเราก็มาใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขเถิดนะ”
