8. ไม่เป็นดังเก่าก่อน
ชาติก่อน...
แม้ลั่วซินจะเป็นที่โปรดปรานของรุ่ยอ๋อง ทว่านางก็ยังได้อยู่แค่ตำแหน่งอนุเขา ซึ่งรุ่ยอ๋องให้เหตุผลว่า เขาไม่ต้องการให้นางถูกเพ่งเล็งเกินไป รอให้ชิงบัลลังก์ได้ก่อน ถึงยามนั้นเขาจะมอบตำแหน่งฮองเฮาให้นางเป็นของขวัญ
ด้วยความรักที่นางมีต่อเขา ลั่วซินก็โง่งมงายเชื่ออีกฝ่ายจนหมดใจ ความรู้ที่พอมีในยุคปัจจุบันจึงถูกนำออกมาช่วยเขาจนหมด นำพาให้นางเป็นที่โปรดปรานของรุ่ยอ๋องมากขึ้น
ยามนั้นนางมีความสุขมาก รุ่ยอ๋องแม้จะคิดชั่วหมายชิงบัลลังก์จากพระเชษฐา และเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์มากมาย ทว่ายามเมื่อเขาอยู่กับนาง กลับเป็นบุรุษที่อบอุ่นและอ่อนโยน
ทว่าช่วงปีหลัง ท่าทีเขากลับเริ่มเปลี่ยนไป ซึ่งมันเกิดขึ้นพร้อมกับการมาของหวังอินเฟย บุตรสาวเสนาขวา และมันเป็นช่วงเดียวกันที่เขาเริ่มให้นางดื่มน้ำแกงพิษทุกเดือน
กว่าจะรู้ตัว...ลั่วซินก็ต้องจบชีวิตลงเสียแล้ว
ทว่า...แล้วเหตุใดกัน ชาติภพนี้เขาถึงได้เหนี่ยวรั้งให้นางอยู่ข้างกายเกินความจำเป็น และยังแต่งเข้ามาเป็นชายาอีก
“หลี่จิ่งเทียน ท่านคงมิได้ซ่อนแผนการร้ายอย่างอื่นเอาไว้อีกหรอกนะ” พึมพำในสิ่งที่ตนครุ่นคิดออกมา
“ใครมีแผนการร้ายหรือเพคะพระชายา” ม่านชิงเอ่ยถามในขณะที่เดินเข้ามาเพื่อรอรับใช้ผู้เป็นนาย นางเพิ่งมาถึงเมื่อครู่
“ม่านชิง เจ้าก็มาด้วยหรือ” ลั่วซินยิ้มดีใจ
“เพคะ คนของท่านอ๋องพาบ่าวมา”
“ก็ดี อย่างน้อยข้าก็มีเจ้าอยู่เป็นเพื่อนด้วย”
ม่านชิงชะงักไปเล็กน้อย เพราะแต่ก่อนผู้เป็นนายนั้นถือตัวมาก ทว่าช่วงหลังมานี้กลับมีท่าทีเปลี่ยนไป
“เช่นนั้น เจ้าได้เอาพวกของใช้และตำราข้ามาด้วยหรือไม่”
“เอามาเพคะ คนของท่านอ๋องจัดการขนสิ่งที่คิดว่าสำคัญมาให้ทั้งหมด” ม่านชิงเอ่ยบอก ก่อนจะหันไปยังมุมห้อง ซึ่งมีคนงานกำลังขนของเข้ามา แต่ของนั้นมีไม่มากครู่เดียวก็หมด
“รุ่ยอ๋องทรงคิดรอบคอบมากเลยนะเพคะ บ่าวว่าพระองค์คงสั่งบ่าวไพร่ให้เตรียมจัดการทุกอย่างตั้งแต่ก่อนมาประกาศราชโองการอีก หลังพระชายาออกมา คนของรุ่ยอ๋องจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยหมดเลยเพคะ” ม่านชิงบอกกล่าวเสียงใส
“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ” ลั่วซินถามเสียงเบา
“เพคะ แม้แต่สินสอด พ่อบ้านซูยังบอกเลยว่ารุ่ยอ๋องเป็นคนเลือกสรรเอง แต่มีอะไรบ้างบ่าวไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ น่าจะถูกใจคนจวนโม่มากเพคะ ถึงได้ส่งเสียงหัวเราะดีใจกันใหญ่” ม่านชิงคว่ำปากลงในช่วงหลัง เพราะรู้สึกไม่ค่อยพอใจคนเรือนใหญ่เท่าใดนัก
แม้ผู้เป็นนายจะเอาแต่ใจ และโมโหร้ายในบางครา
ทว่าบางสถานการณ์โม่ลั่วซินกลับน่าสงสารนัก ถูกรับกลับมาเพราะบิดาต้องการใช้ประโยชน์จากการแต่งงานของนาง หาได้มีใจคิดถึงบุตรไม่ หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือโม่จางเหลียน รับเอาบุตรสาวคนเล็กกลับมาก็เพื่อเร่ขายแลกกับสินสอด มิได้มีใจอยากรับนางกลับมาอยู่ในตระกูลโม่เลยสักนิด
ลั่วซินยิ้มอ่อนให้กับท่าทางสาวใช้ “เอาน่า พวกเขามีความสุขก็ดีแล้ว จะได้ไม่ยุ่งกับข้าอีก เจ้าไปเอาตำราที่ข้าชอบอ่านออกมาให้ที ได้แล้วตามไปที่ศาลาตรงนั้นนะ” สั่งแล้วร่างอรชรก็เดินออกจากห้อง มุ่งหน้าไปยังจุดที่ตนกล่าว
ท่ามกลางสายตาของบ่าวไพร่ที่ยืนทำงานตามมุมต่าง ๆ บางคนยืนนิ่งจนลืมขยับมือ บางคนส่งเสียงซุบซิบชื่นชมความงามที่แสนละเมียดละไมของว่าที่พระชายา
ลั่วซินรู้ดีว่าตนเองถูกจับจ้อง ถึงกระนั้นนางก็ยังทำเฉยชาเหมือนไม่เห็นสิ่งใด นางไม่อยากวางตัวว่าตนคือพระชายารุ่ยอ๋อง เพราะตำแหน่งนี้มันไม่มีทางอยู่ได้ยืดยาว ใครเคารพก็เคารพ ส่วนใครไม่เข้าหา นางก็ไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วย
แต่ในขณะที่นางกำลังนั่งเล่นอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีสาวใช้หน้าตาหมดจดเดินเข้ามา หากจำไม่ผิดนางคือหนิงเหอองครักษ์หญิงมือดีของรุ่ยอ๋อง และเป็นคนรักของหานฟู่ องครักษ์มือขวา
“ถวายพระพรพระชายาเพคะ บ่าวรับคำสั่งให้มาคอยรับใช้พระองค์เพคะ” สตรีตรงหน้าเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ข้ามีสาวใช้คอยดูแลอยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องลำบากมาอยู่กับข้าหรอก กลับไปในที่ของเจ้าเถิด” ลั่วซินปฎิเสธอย่างอ่อนโยนที่สุด เพราะไม่อยากให้คนของรุ่ยอ๋องอยู่ข้างกายนัก
“หากพระชายาไม่ยอมรับบ่าวไว้ เช่นนั้นบ่าวคงต้องลงโทษตนเองโดยการรับโทษโบยยี่สิบไม้แล้วเพคะ”
‘หลี่จิ่งเทียน นี่ท่านคิดจะใช้วิธีนี้บังคับข้าหรือ’ ลั่วซินนึกในใจอย่างเคืองขุ่น หากเป็นชาติก่อนแน่นอนว่าคนเห็นแก่ตัวอย่างนาง ไม่มีทางยอมให้ใครบังคับแน่ โดยเฉพาะสาวใช้
ทว่าหากชาตินี้ตนทำเหมือนเมื่อก่อน นางก็ไม่ต่างจากคนชั่วอย่างรุ่ยอ๋อง ที่เห็นความเจ็บปวดของผู้อื่นเป็นเพียงความสนุก
“เอาเถิด เจ้าอยากอยู่ก็อยู่” นางตอบรับเพื่อตัดปัญหา และขณะนั้นม่านชิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับตำราจำนวนหนึ่ง
สาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาพักใหญ่มองคนมาใหม่อย่างสนใจ
“นี่ม่านชิงสาวใช้คนสนิทของข้า แล้วเจ้าล่ะมีนามว่ากระไร ภายหน้าข้าจะได้เรียกถูก” ลั่วซินเอ่ยถามเสียงเรียบใบหน้าเผยยิ้มบาง ท่าทีนางไม่ได้มีการวางอำนาจแต่อย่างใด
“บ่าวมีนามว่าหนิงเหอเพคะ”
“นามเพราะดีนะ” ลั่วซินเอ่ยแค่นั้นก็หันมาสนใจม้วนตำราที่ถูกยกมา แต่ก็ยังปรายตามองไปรอบเรือน บ่าวไพร่ที่พากันทำงานก็ยังหันมามองนางในบางครา ริมฝีปากอิ่มจึงเผยยิ้มเล็กน้อย
แต่เพียงไม่นานมันก็ต้องหุบลง เมื่อมองเห็นร่างของใครบางคนกำลังก้าวเดินตรงมาหานาง คนผู้นั้นคือหวังอินเฟย
