บทที่ 4
ข้าเดินเข้าห้องนอนด้วยท่าทางเกียจคร้านเต็มทน ก่อนเข้าห้องข้าไม่ลืมบิดขี้เกียจให้พวกนางดูอีกสองรอบ ขยิบตาให้อีกหนึ่งรอบเพื่อไล่พวกนาง
ถงเอ๋อร์ที่เห็นการกระทำทั้งหมดของข้าถึงกับอั้นหัวเราะไม่อยู่
นับตั้งแต่เราสองคนเดินทางด้วยกันตลอดหลายวันท้ายที่สุดนางก็กลายเป็นคนของข้าอย่างเต็มรูปแบบ
นางเป็นคนซื่อสัตย์คิดอย่างไรก็พูดหรือทำเช่นนั้น ประจบเจ้านายไม่เก่งและมือเท้าทำงานได้อย่างรวดเร็วทันใจ ซึ่งข้าชอบนิสัยเหล่านี้ของถงเอ๋อร์ยิ่งนัก
ในทางกลับกันนี่ก็เป็นเหตุผลที่นางเป็นนางกำนัลในวังผู้ไม่ก้าวหน้านักก็เป็นเพราะนิสัยเหล่านี้เช่นกัน
“ท่านผู้วิเศษเฟยเจิน หากท่านต้องการพบผู้วิเศษคนอื่น พรุ่งนี้ช่วงสายมีนัดดื่มน้ำชาที่ห้องโถงตำหนักเจ้าค่ะ ท่านถึงแม้จะเป็นผู้มาใหม่ก็สามารถเข้าร่วมได้”
“งั้นหรือ ถึงเวลาแล้วมาเตือนข้าแล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากนั้นข้าก็โบกมือไล่ถงเอ๋อร์ออกไป ส่วนข้าก็เดินสำรวจห้องหับหลังนี้
วันรุ่งขึ้น
เพลานี้ยามซื่อ (9:00-10:59 น.) อันเป็นเวลานัดดื่มน้ำชาร่วมกันของตำหนักนี้ ข้าเดินตามถงเอ๋อร์ออกมาเพื่อมุ่งไปยังห้องโถงที่เอาไว้ทั้งต้อนรับแขก ห้องทานอาหาร และห้องประชุมแบบมิใช่ทางการ
ข้ามาถึงก็มีบุรุษและสตรีนั่งอยู่ก่อนแล้วสองคนเบื้องหลังไม่ไกลมีสาวใช้สี่คน
ข้าเดาว่าน่าจะคือสองผู้วิเศษผู้เยาว์วัยพอ ๆกับข้า
วันนี้คงมีคนร่วมดื่มน้ำชาตอนสายเพียงเท่านี้กระมังเพราะนี่เป็นเพียงธรรมเนียมมิใช่กฎข้อบังคับ หากใครประสงค์อยากมาจึงมา ไม่อยากมาก็มิผิด
สตรีผู้หันหน้าออกมายังประตูเห็นข้าก่อน นางมีใบหน้าขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือ คิ้วโก่งนัยน์ตาเรียวสวย รูปคางไม่แหลมไม่มนจนเกินไปยิ่งทำให้รูปโฉมยิ่งคมคาย นางคงรู้ว่าตนมีรูปปากที่เรียวสวยได้รูปจึงแต่งแต้มด้วยชาดสีแดงไม่สดมากก็สามารถช่วยขับเน้นความงามให้นางได้
อาภรณ์ดูไกล ๆก็รู้ว่าตัดเย็บอย่างปะณีตจากผ้าเนื้อดี สีฟ้าตัดครามช่างตัดและขับเน้นผิวนวลขาวให้เปล่งประกายมากยิ่งขึ้น
ข้าเดาว่านางคือเลี่ยงซูเมิ่ง นางเอกนิยายเล่มนี้นั่นเอง คนเขียนบรรยายว่านางงดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์วันนี้ข้าเพิ่งได้เห็นด้วยตา
ยอมรับตรงนี้เลยว่านางงดงามจริง ๆ ดูสิ แล้วยิ่งยามนางมองอย่างเป็นมิตรมาให้ข้า ในขณะที่นางยิ้มข้าแทบละลาย
ไม่แปลกที่บุรุษมากมายในเมืองหลวงต่างขนานนามให้นางว่าเป็นนางสวรรค์บนดิน
นอกจากความงามภายนอก ภายในนางก็มิด้อยไปกว่าผู้ใด นางคือผู้วิเศษที่มีพลังรักษา สมานรอยแผล ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่หากได้นางช่วย แผลเหล่านั้นจะหายไปในไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเลยด้วยซ้ำ
รอยแผลก็มิเหลือทิ้งไว้ให้รกสายตา
หากพูดถึงชาติตระกูล นางคือคุณหนูรองตระกูลเลี่ยง บิดาของนางเป็นถึงแม่ทัพปราบบูรพา ผู้สร้างผลงานมากมาย เทียบได้กับขุนนางขั้น 2 เลยทีเดียว
“แม่นางผู้นี้คงเป็นท่านผู้วิเศษที่เพิ่งถูกค้นพบใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เสียงกังวานใส สายตามองมาที่ข้าไร้ความดูแคลน เห็นเช่นนั้นข้าจึงส่งยิ้มน่ารักกลับตอบแทนนาง
“เจ้าค่ะ ท่านคือ....”
ข้าแสร้งไม่รู้จักนามอีกฝ่าย ดวงหน้าขาวดุจหิมะของข้าเผยความไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อยที่มิรู้เรื่องรู้ราว
“ข้าเลี่ยงซูเมิ่งเจ้าค่ะ ปีนี้อายุสิบห้าแล้ว คงเป็นพี่สาวท่านกระมัง หากมิรังเกียจเรียกข้าว่าพี่ซูเมิ่งก็ได้”
“ข้า เซียวเฟยเจิน อายุสิบสี่ย่างสิบห้า งั้นข้าเรียกท่านว่าพี่ซูเมิ่งแล้วกัน”
ข้านี่รีบเลือกเรียกอีกฝ่ายว่าพี่เลยทีเดียว ก็แหม ใครจะอยากเรียกอีกฝ่ายด้วยสรรพนามยาว ๆ ที่น่าขนลุกนั่นกันเล่า
ท่านผู้วิเศษเจ้าคะ ท่านผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์เจ้าขา
ขนาดอยู่ได้มิถึงวันก็รู้สึกเอียนแล้ว
“ส่วนข้าชื่อ เฟิงหยาง อายุมากกว่าเจ้าทั้งสองคน อืม หากอยากเรียกว่าพี่เฟิงหยางย่อมได้”
บุรุษผู้นี้คือคุณชายรองตระกูลใหญ่เฟิง บิดาเป็นถึงเสนาบดีกรมโยธา ท่านเฟิงเค่อ ขุนนางขั้น 2 ผู้ซื่อตรงต่อองค์ฮ่องเต้ หากเป็นในประวัติศาสตร์ผู้ที่ดำรงตำแหน่งเกี่ยวกรมโยธามักเป็นผู้ที่โดนจับได้ว่าคดโกงเงินจากงบประมาณการก่อสร้างอยู่เป็นนิจ
ทว่าคนผู้นี้กลับมือสะอาด จัดสรรเงินในแต่ละโครงการไม่มากจนเกินไป ยินยอมให้มีการตรวจสอบการทำงานของตนเองอยู่เสมอ
โดยปกติขุนนางที่หน้าซื่อใจสะอาดเช่นนี้คงยากที่จะก้าวหน้าในหน้าที่การงานจนมาถึงจุดนี้ได้
แต่มิใช่สำหรับเฟิงเค่อผู้นี้ที่มีบุตรเป็นถึงผู้วิเศษผู้มีพลังในการอ่านอดีตของผู้คนได้ เขาได้ใช้ประโยชน์ข้อนี้ของบุตรตนในการเลือกคบค้ากับผู้คน
ทุกคนในเมืองหลวงรู้ว่าเพียงสัมผัสตัวเรื่องราวต่าง ๆของผู้ใดก็ตาม บุตรผู้นี้ก็สามารถอ่านเรื่องราวที่หลั่งไหลเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
แต่ข้ารู้ดีกว่านั้น ข้ารู้ความลับข้อหนึ่งของเฟิงหยางที่ในหนังสือกล่าวถึง เจ้าตัวเจ้าของพลังเก็บไว้เป็นความลับของตน ไม่บอกผู้ใดแม้กระทั่งบิดาของตน หรือแม้กระทั่งองค์ฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำ
เมื่ออายุสิบห้าพลังของชายหนุ่มพัฒนาก้าวขึ้นอีกขั้น
ไม่ต้องสัมผัส เพียงสบตาก็สามารถอ่านอดีตของอีกฝ่ายได้แล้ว
และบัดนี้ข้ากำลังสบสายตาดุจเหล็กกล้าของผู้วิเศษผู้นี้อยู่ ข้าแย้มยิ้มเป็นมิตรส่งไปให้
เราสองสบตากันเนิ่นนาน ข้าไม่หลบตาเขา เขาก็มิหลบตาข้า จนท้ายที่สุดข้านี่แหละคือฝ่ายกำชัย
เฟิงหยางขมวดคิ้วมุ่น หลบสายตากลับไปนั่งท่าปกติของตนด้วยจิตใจไม่เป็นสุข
ข้ายิ้มมุมปาก
“เจ้าค่ะ งั้นข้าเรียกว่าพี่เฟิงหยางแล้วกัน เรียกง่ายดี”
หลังจากนั้นข้าก็เดินเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะ ถงเอ๋อร์รู้หน้าที่ตนไม่ลืมเดินเข้ามารินชาให้ข้าหนึ่งจอก
“ชาโม่ลี่”
เพียงได้จิบข้าก็สามารถเดาชนิดของชาได้ เพราะที่หมู่บ้านข้ามีดอยปลูกต้นชา ฤดูหนาวจัด ข้ามักดื่มชาร้อนเพื่อคลายหนาวเป็นประจำ
ด้วยความต้องดื่มชาอยู่เป็นนิจที่หมู่บ้านข้าจึงทำชากลิ่นดอกไม้เป็นประจำ ข้าฟันธงเลยว่าชาผสมบุปผาแทบทุกชนิดข้าเคยดื่มมาแล้วเกือบหมด
ข้านั่งจิบอย่างสบายอารมณ์ ดวงตาเล็กกลมโตของข้าไม่วายเนียน ๆ เหลือบมองใบหน้าเคร่งขรึมของเฟิงหยาง
เฟิงหยางโดยนิสัยปกติเป็นบุรุษที่เป็นมิตร คุยง่าย ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาสีน้ำตาลดูใจดีรับกับจมูกโด่งที่ส่งให้ชายหนุ่มดูหล่อเหลาผสมหน้าหวานมิแพ้สตรี ยังดีที่มีกรามคมชัดทำให้แท้จริงแล้วชายหนุ่มเป็นหนุ่มรูปงามที่หวานก็เท่านั้น สตรีน้อยใหญ่ในเมืองจึงหมายปองเขาเจ้านวนมาก
ทว่าบัดนี้ที่นางลอบมองอีกฝ่ายเป็นเพราะ ใบหน้านั่นกำลังฉายแววเครียด เรียวคิ้วขมวดมุ่นไม่คลายราวกับมีเรื่องค้างคาในใจ
ข้ารู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด ข้าว่าข้าเดาได้ไม่ยากนัก
เขากำลังสงสัยว่าทำไมการสบตาเมื่อครู่จึงไม่สามารถอ่านความทรงจำข้าได้กระมัง
ข้ายิ้มกริ่มขณะจิบชาจอกใหม่
ข้ารู้ทันเขานี่นะ ไยข้าต้องโง่ให้เขาอ่านใจข้าด้วยเล่า
เมื่อครู่ข้าได้ทำการสร้างม่านกำแพงป้องกันตนเองเรียบร้อยแล้ว
จ้องข้าให้พรุนอย่างไรก็ไม่สามารถทะลุเข้ามาอ่านอดีตของข้าได้หรอก
ผู้ที่เคยอ่านผู้อื่นออกหมดเมื่อถึงคราวที่เจอเรื่องไม่เป็นไปตามที่ตนคาดคิด
ข้าอยากรู้นักว่าคนผู้นี้จะทำเช่นไร
“น้องเฟยเจินมีพลังอะไรหรือ”
“สร้างม่านเกราะเจ้าค่ะ ป้องกันจากอันตรายได้ โตมาจนสัตว์สี่ขาเลียก้นไม่ถึงข้ายังใช้ไม่ค่อยเป็นเลยนะ พี่ทั้งสองล่ะ”
“เฟยเจิน พี่ขอแนะเจ้าสักนิด คำพูดคำจาเจ้าสงบเสงี่ยมลงให้มากกว่านี้หน่อย สตรีเมืองหลวงมิพูดจาโผงผางเช่นเจ้าหรอกนะ....เอาเถอะ ข้ามีพลังรักษา ส่วนพี่เฟิงหยางมีพลังอ่านความทรงจำ”
“เจ้าค่ะ”
ข้าพยักหน้ารับคำสอนของพี่ซูเมิ่งอย่างขอไปที โดยไม่คิดจะเก็บนำมาใส่ใจสักเท่าไหร่นัก
“ในไม่กี่วันนี้วังหลวงอาจจะวุ่นวาย เจ้าอยู่ที่นี่อย่าได้เดินออกไปเพ่นพ่านข้างนอกมากนัก ผู้อื่นยังไม่คุ้นตาเจ้าอีกทั้งบัดนี้เจ้ายังมิได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เดี๋ยวจะโดนจับเข้าคุกเอา ข้าอยากเตือนไว้ก่อน”
“วังหลวงจะมีงานอะไรหรือเจ้าคะ”
“งานแข่งขันล่าสัตว์ระหว่างองค์ชายน่ะ เห็นฝ่าบาทบอกว่าครั้งนี้พิเศษกว่าทุกปีจึงให้จัดงานยิ่งใหญ่....นี่ก็เตรียมมาหลายวันแล้ว อีกราวหกวันให้หลังจะถึงวันงาน”
เฟิงหยางที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยคุยกับข้า สีหน้าของชายหนุ่มดีขึ้นเยอะ
“ข้ารับทราบ”
หลังจากนั้นพวกเราทั้งสามก็อยู่คุยต่อกันสักพักพอเป็นพิธีจึงค่อยแยกย้าย
ข้าเดินกลับเข้าห้อง ในสมองก็รำลึกถึงเนื้อหาในหนังสือนิยายลึกลับที่ข้าเคยอ่านเล่มนั้น
งานแข่งขันล่าสัตว์งั้นหรือ
ข้าพอจำเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ได้จะมีลืมก็ตรงลำดับเวลาของเหตุการณ์ต่าง ๆ
งานครั้งนี้น่าจะเป็นงานล่าสัตว์ที่องค์ฮ่องเต้มีจุดประสงค์แฝงเรื่องอยากแต่งตั้งผู้วิเศษที่ยังมิได้มอบตำแหน่งหน้าที่ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ให้อย่างข้า เฟยหยาง และเลี่ยงซูเมิ่ง และใช้อุบายในการบอกว่ามีของรางวัลพิเศษกว่าทุกปีโดยการมอบพวกข้าให้กับผู้ชนะที่หนึ่งถึงที่สามให้ไปช่วยงานเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว
พระองค์จะได้รับทั้งกระแสในแง่ดีเรื่องการกระจายตัวผู้วิเศษ ไม่ทรงกั้กไว้เพียงผู้เดียวแต่มอบให้อ๋องทั้งหลายเพื่อสร้างประโยชน์ให้แผ่นดิน
แต่ข้ารู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของพระองค์
ต้องการใช้พวกข้าซึ่งเป็นคนของพระองค์เป็นเสมือนตาสอดส่องความประพฤติของบุตรตน
หากใครคิดไม่ดีต่อพระราชบัลลังของพระองค์จะสามารถจัดการได้ทันท่วงที
ส่วนเรื่องพระองค์จะใช้วิธีไหนควบคุมผู้วิเศษให้เป็นของตนนั้นเดี๋ยวจะได้เห็นชัดเจนในงานแข่งขันล่าสัตว์นั่นแหละ
