บทที่ 3
การเดินทางจากดินแดนทางตอนเหนือสิ้นสุดลงเมื่อขบวนเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงของแคว้น พวกทหารพาข้ามาส่งถึงในเขตวังหลวงบริเวณที่อนุญาติให้รถม้าเข้ามาได้ มีเจ้าหน้าที่ทั้งชายและหญิงยืนรอตรวจคนก่อนเข้าวังซึ่งข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เป็นเรื่องปกติก่อนเข้าวังซึ่งเป็นเขตที่ใกล้โอรสสวรรค์มากที่สุด หากมีคนหวังปองร้ายคงมิใช่เรื่องดีนัก
ไม่นานข้าก็ถูกปล่อยตัวออกมา ทั้งข้าวของส่วนตัวข้า อาหารที่นำมาเยอะจนเหลือถูกทหารที่เดินทางมาในขบวนเดียวกับข้าอาสาช่วยยกเดินตามข้ามา
“เดี๋ยวพวกข้าช่วยนะขอรับท่านผู้วิเศษ”
น้ำเสียงอ่อนหวานผิดกับตอนแรกที่เจอกันทำให้ข้าหยักยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ตลอดหลายวันที่เดินทางอาหารที่ข้านำมาเยอะแยะพร่องไปหมดจนเหลือไม่กี่ถุงก็เพราะพวกเขานี่แหละ
เรียกได้ว่าข้าใช้วิธีซื้อใจทหารโดยการใช้ของกินที่ทั้งอร่อยและช่วยทำให้สบายตัวแก่พวกนั้นนั่นเอง
อย่างน้อย ๆข้าต้องการแค่ให้พวกเขาดูแลช่วยเหลือข้าในขบวนให้ดีก็เท่านั้น
ข้ามิคิดว่าของเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนั้นจะขนาดซื้อใจได้ถาวรหรอก
เช่นเดียวกับขันทีทั้งสองที่ปกติอยู่ในวังอย่างสบายเมื่อไปเจอสถานการณ์ลำบากย่อมไม่ชิน ของเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ช่วยเหลือได้มีหรือพวกเขาจะไม่รับ
ดูนั่นสิข้านึกว่าพวกเขาแยกตัวออกไปแล้วเมื่อเสร็จจากการส่งข้าที่หน้าตำหนักพัก แต่พวกเขายังอุตส่าห์ส่งตัวนางกำนัลมาช่วยเพิ่มอีกสองคน
“ข้าน้อย ซิงอีเจ้าค่ะ”
“ข้าน้อย ซิงเยียนเจ้าค่ะ”
“จากนี้พวกเราสองคนรับหน้าที่ดูแลท่านผู้วิเศษในตำหนักนี้นะเจ้าค่ะ”
“เดี๋ยวข้าน้อยนำทางไปตำหนักหลันเป่าอันเป็นตำหนักที่ฝ่าบาททรงมอบให้เหล่าผู้วิเศษอยู่เจ้าค่ะ”
เท่าทีข้าจำได้ในนิยายกล่าวไว้ว่าตำหนักแห่งนี้อยู่เขตวังนอกสุด เป็นที่รวมตัวผู้วิเศษที่ถูกเชิญให้เข้ามาที่วัง เป็นทั้งที่พักผ่อน ที่ทำงานหลัก ๆ
ฮ่องเต้ใช้คำว่าเชิญแต่ในความคิดว่าข้าคือการบังคับทางอ้อม เพราะหากไม่รับคำเชิญก็มิได้ไม่ใช่หรือ เหอะ ๆ
ข้าพยักหน้าอย่างว่าง่ายทั้งก้าวเท้าเดินตามนางกำนัลผู้มาใหม่ทั้งสอง พวกนางก้าวเดินช้ายิ่งนัก หากไม่ติดว่าข้าไม่รู้ทางข้าคงเดินแซงพวกไปแล้ว
ไม่นานข้าก็มาถึงที่หมาย ตำหนักด้านหน้ากินเนื้อที่ไม่น้อย เรือนตกแต่งหรูหราสมกับการตั้งอยู่ในวัง อาณาบริเวณแบ่งออกเป็นหลายเรือนตั้งเรียงกับเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีช่องว่างตรงกลาง
เรือนข้าอยู่ในสุด จากการที่ช้าเดินผ่านหลาย ๆเรือนมาตั้งแต่ประตูเข้าตำหนักจนมาถึงเรือนหลังนี้
ข้าค้นพบสัจธรรมจริงของโลกใบนี้อีกข้อหนึ่ง
เรือนข้าหลังเล็กสุด
หรูหราน้อยสุด
ตั้งอยู่ในสุดหลืบสุด
เพราะอะไรน่ะหรือ?
ข้าจำสิ่งที่ตนเองอ่านในหนังสือนิยายก่อนตายมาโผล่ที่โลกนี้ได้ว่า ผู้วิเศษที่เจอทั้งหมดจนถึงตอนนี้มีทั้งหมดสี่คนรวมข้าอีกหนึ่งเป็นห้า
สี่คนก่อนหน้าล้วนเจอก่อนข้าและที่สำคัญทุกคนล้วนมีพื้นฐานครอบครัวที่ดีมีหน้ามีตาในสังคม
ยกเว้น....ข้า ไยสวรรค์ไม่ส่งข้ามาเกิดในตระกูลใหญ่ ๆ บ้างนะ ข้าจะได้สบายกว่านี้
แต่ช่างมันเถอะข้ามิอยากมีชีวิตอยู่ในกฎเกณฑ์เช่นคุณหนูตระกูลขุนนาง ความใฝ่ฝันสูงสุดของข้าหลังจากปฏิบัติภารกิจสำเร็จคือการท่องเที่ยวอย่างอิสระเสรี
อย่างน้อยเรือนแห่งนี้ก็ใหญ่กว่าบ้านในป่าของข้าราวสิบเท่าได้ ข้าวของเครื่องใช้ส่วนใหญ่ล้วนทำจากทองเหลืองเชียวนะ
“ที่ตำหนักแห่งนี้เพลานี้มีผู้วิเศษผู้อื่นอยู่หรือไม่”
“มีเจ้าค่ะ หนึ่งท่านคือท่านผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์อาวุโสจิวฮุ่ยเจ้าค่ะ ท่านคือ ผู้วิเศษที่มีอายุมากที่สุด และเป็นผู้วิเศษที่ได้รับตำแหน่งคนแรกเจ้าค่ะ ตอนนี้เป็นผู้วิเศษประจำตัวขององค์ฮ่องเต้เจ้าค่ะ”
ข้าทำทีเป็นสนใจในสิ่งที่นางพูดราวกับข้ามิรู้เรื่องนี้มาก่อน ทั้ง ๆที่ข้ารู้ดี รู้ลึกกว่านางเสียอีก
เพราะข้าบอกแล้วว่าข้าเคยอ่านนิยายเรื่องนี้มาก่อน
ข้ายังรู้อีกว่า ท่านจิวฮุ่ยมีพลังในการทำนายอนาคตจากการดูก้อนเมฆ หลายภัยพิบัติทางธรรมชาติที่กำลังจะเกิดขึ้นที่ฮ่องเต้จัดการได้ก็เป็นเพราะคนผู้นี้ช่วยเนี่ยแหละ
ไม่แปลกเลยที่ได้รับความไว้วางใจให้รับใช้ใกล้ชิดกับพระองค์
คนผู้นี้ข้าไม่รู้ลึกเท่าไหร่นักเพราะในหนังสือกล่าวถึงไม่กี่หนเท่านั้น
ก็ถามไปอย่างนั้นแหละ ทำเป็นมิรู้เรื่องรู้ราว หน้าซื่อตาใสให้ได้มากที่สุดเพื่อจะได้ไม่เป็นภัยให้ตน
“หากท่านผู้วิเศษอยากทำความรู้จักคนอื่น ๆ วันนี้คงมิใช่โอกาสเจ้าค่ะ ผู้วิเศษอีกสามคนส่วนใหญ่มิได้พักแรมที่นี่เจ้าค่ะเนื่องจากจวนของพวกคุณหนูคุณชายอยู่ในเมืองหลวงจึงเดินทางไปกลับสะดวก”
“อืม ข้าอยากพักแล้ว ขอข้าเข้าไปเอนหลังสักครู่แล้วกัน พวกเจ้ามีอะไรจะไปทำก็ทำเถิด เหลือถงเอ๋อร์ไว้กับข้าผู้เดียวพอ”
