บทที่ 8 งานเลี้ยงน้ำชา 2/2
ภายในห้องโถงนั้น นอกจากจะมีจ้าวฮูหยิน จ้าวเยว่และผิง¬ผิงแล้ว ยังมีมีสตรีอีกนางหนึ่งอยู่ด้วย ที่โต๊ะข้าง ๆ นางมีอุปกรณ์สำหรับวัดขนาดอยู่หลายชิ้น และในมือก็ถือเชือกสำหรับวัดขนาดอยู่
“ท่านแม่ให้ช่างตัดเสื้อมาทำไมหรือเจ้าคะ” จ้าวเยว่ถาม พลางทำหน้างุนงงเล็กน้อย
“มาตัดชุดให้เจ้า” จ้าวฮูหยินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
จ้าวเยว่ได้ยินก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีก เมื่อช่วงต้นปีนาง-เพิ่งตัดชุดใหม่ไป เนื่องจากส่วนสูงของนางเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว แต่นี่ก็เพิ่งจะเดือนสอง นางคงไม่ได้โตเร็วถึงขนาดนั้นกระมัง ถึงได้ต้องเรียกคนมาตัดชุดใหม่
“ข้าเพิ่งตัดชุดใหม่ไปเมื่อต้นปีเองนี่เจ้าคะ เหตุใดจึงต้องตัดอีก” จ้าวเยว่ถามขึ้นอย่างสงสัย
“ชุดนี้ตัดเพื่อให้เจ้าใส่ไปงานเลี้ยง วันพระราชสมภพของไท¬เฮา” จ้าวฮูหยินตอบกลับด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มที่มุมปาก
“งานเลี้ยงอีก...” จ้าวเยว่กำลังจะเอ่ยปากบ่น แต่ก็ถูกมารดาตัดบทขึ้นมาเสียก่อน
“งานนี้เจ้าขัดขืนไม่ได้ อย่างไรก็ต้องไป หากเจ้าไม่ไป จะมีโทษฐานขัดพระราชเสาวนีย์ เจ้าจะรับโทษนั้นไหวหรือไม่”
จ้าวฮูหยินเอ่ยอย่างเนิบช้า ทว่าแววตาช่างดูดุดันและจริงจัง
จ้าวเยว่เห็นเช่นนั้น จึงทำได้เพียงแค่ตอบว่า “เจ้าค่ะ”
ช่างตัดเสื้อทำการวัดขนาดและความยาวบนตัวจ้าวเยว่ วัด-ไปก็จดไปว่าส่วนต่าง ๆ ว่ามีขนาดเท่าไร
ส่วนผิงผิงก็ช่วยคุณหนูของตนจัดท่าทาง เพื่อให้ช่างตัดเสื้อทำงานง่ายขึ้น ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูปทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย ช่าง¬ตัด¬เสื้อจึงได้ขอตัวกลับร้านไป
“ผิงผิง เจ้ามานี่” จ้าวฮูหยินเรียกผิงผิงให้เข้าไปหา
“เจ้าค่ะ” ผิงผิงตอบ
จ้าวฮูหยินส่งถุงเงินให้ผิงผิงถุงหนึ่ง ในนั้นน่าจะมีเงินอยู่หลายตำลึง พอส่งถุงเงินให้แล้ว ก็สั่งผิงผิงให้ออกไปซื้อของข้างนอก
“เจ้านำเงินนี้ไป แล้วไปซื้อแป้งผัดหน้า ชาด แล้วก็น้ำมันประทินผิวมา นับตั้งแต่วันนี้ เจ้าต้องดูแลความงามของนางทุกวันอย่าได้ขาด อย่าให้ข้าต้องขายหน้า ว่ามีบุตรสาวที่ไม่งาม”
“เจ้าค่ะ” ผิงผิงตอบ นางรับเงินแล้วก็เดินออกจากประตูไป
“เจ้าเองก็ไปได้” เสร็จธุระแล้ว จ้าวฮูหยินก็บอกให้จ้าวเยว่กลับห้อง
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” จ้าวเยว่ตอบรับแล้วรีบเดินออกมาจากห้อง¬โถงที่นางรู้สึกอึดอัดทันทีเช่นกัน
เมื่อถึงวันงาน
จ้าวฮูหยินสั่งคนให้มาช่วยแต่งองค์ทรงเครื่องจ้าวเยว่ โดยชุด¬ที่สั่งตัดใหม่ของหญิงสาวเพิ่งมาถึงเมื่อยามเว่ย เป็นชุดเกาะอกยาวสีชมพูอ่อน ผ้าพลิ้วไหวบางเบา สวมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสี-เดียวกัน ผ้าคาดเอวเป็นสีขาวไม่ขัดกับสีชมพูของชุด เครื่องประดับที่ใส่คู่กับชุด เป็นปิ่นปักผมที่ประดับด้วยหยกสีชมพู และกำไลที่ทำจากหยกสีชมพูเช่นกัน
จ้าวฮูหยินสั่งให้คนมาช่วยกันแต่งหน้าทำผมให้จ้าวเยว่ ช่าง¬แต่งหน้าพวกนี้มาจากหอโอบจันทร์ สำนักนางโลมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในแคว้นฉางอัน พวกเขาเหล่านี้แต่งหน้าผู้คนมามากมายขึ้น¬ชื่อว่าสามารถเปลี่ยนหญิงธรรมดาให้เป็นนางโลมที่งาม จนต้องตะลึงได้ และเมื่อพวกเขามาแต่งหน้าให้จ้าวเยว่ที่งามอยู่แล้ว บัดนี้ก็¬ถึงกับงดงามดุจดั่งเทพเซียน
ทุกคนต่างก็แต่งตัวกันเสร็จแล้วและมารอที่รถม้าหน้าจวนพอจ้าวฮูหยินเห็นจ้าวเยว่ นางก็ต้องพยักหน้าและอมยิ้ม
ส่วนพี่ชายทั้งสองนั้น ถึงกับตะลึงจนแทบจะหงายหลัง
“น้องสาม นี่เจ้าไปกินลูกท้อสวรรค์มาหรืออย่างไร”
จ้าวอวี้เฉินเอ่ยเป็นเชิงหยอกล้อ จ้าวหลู่เจินเองก็มองน้องสาวของตนเองอย่างเอ็นดู
“เจ้านี่ถ้าจะทำให้ดี ก็ออกมาดีไม่น้อย”
“ท่านพี่ทั้งสองเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ปกติแล้วข้าไม่¬งามอย่างนั้นหรือ” จ้าวเยว่เอ่ยพร้อมถลึงตาใส่พี่ชายทั้งสองคน
“ไม่ใช่เจ้าไม่งาม แต่ว่าพวกข้าเพิ่งจะเคยเห็นเจ้างามเช่นนี้”
จ้าวอวี้เฉินรีบเอ่ยขึ้นก่อนที่น้องสาวคนเล็กจะไม่พอใจ
“ท่านคิดว่าข้าชอบนักหรืออย่างไร ข้าอึดอัดจะตายอยู่แล้ว รีบ¬ไปกันเถอะ” เอ่ยจบจ้าวเยว่ก็ทำหน้าตาบูดบึ้ง เดินนำหน้าขึ้นรถ¬ม้าไป พี่ชายทั้งสองจึงตามขึ้นไปเช่นกัน
เมื่อไปถึงงานเลี้ยง สามพี่น้องก็เดินตามท่านเจ้ากรมการคลังและจ้าวฮูหยินเข้าไปในงาน บรรดาบุรุษที่มองมา ต่างก็มองตามจ้าว¬เยว่กันเป็นแถว เพราะตั้งแต่เข้างานมาก็ไม่พบผู้ใดงามถึงเพียงนี้มาก่อน
ก่อนหน้านี้บุตรีของท่านเจ้ากรมทะเบียนราษฎร์ซูหลิงเจียวที่¬มาถึงสักพักว่างามแล้ว แต่เมื่อจ้าวเยว่เดินเข้ามา ซูหลิงเจียวก็-หมองลงและหมดความโดดเด่นไปทันที
เจ้ากรมการคลังและฮูหยินพร้อมกับบุตรทั้งสามเดินไปที่หน้าพระที่นั่งของฮ่องเต้และไทเฮา
“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมไทเฮา” ทุกคนเอ่ยพร้อมกัน จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปนั่งที่ของตน
ตามธรรมเนียมของงานเลี้ยงแล้ว ขุนนางจะนั่งที่บริเวณเดียวกันกับฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ เพื่อที่จะสนทนากันเรื่องจวนเมืองได้สะดวก ด้านฮูหยินของบรรดาขุนนาง ก็จะถูกจัดให้นั่งอีกที่หนึ่ง ส่วนบุตรของขุนนาง ก็จะถูกจัดให้นั่งแยกกันระหว่างชาย¬หญิง เพื่อให้พวกเขาได้สมาคมกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน
จ้าวเยว่เองก็เดินไปนั่งที่ของตน โดยที่มีสาวใช้นำทางไป ระหว่างทางก็ผ่านที่นั่งของเหล่าบุรุษ ซึ่งบุรุษเหล่านั้นก็ต่างซุบซิบถามกัน
“แม่นางผู้นี้เป็นใครกัน พวกเจ้ารู้จักหรือไม่”
บุตรของเจ้ากรมผู้หนึ่งถามขึ้นมา
บุรุษสี่ห้าคนต่างตอบมาว่า
“ไม่รู้จัก / ข้าก็ไม่รู้จัก / นางเป็นใครงั้นหรือ”
“นางคนนั้นน่ะหรือ” จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง ซึ่งเขาผู้นั้นก็กำลังเดินมานั่งที่ของตนเช่นกัน
“นางมีนามว่าจ้าวเยว่ เป็นบุตรีของเจ้ากรมการคลังจ้าวฝู่”
เซียวเฟิงตอบออกไปอย่างภาคภูมิใจ ริมฝีปากของเขายกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นนางเดินผ่านไป แต่ทว่านางไม่ทันได้เห็นเขา
“อ๋อ แม่นางที่ได้ฉายาว่าหญิงเกียจคร้านแห่งแคว้นฉางอัน น่ะ¬หรือ” บุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
“ช่างน่าเสียดายความงามของนางยิ่งนัก งามขนาดนี้ ไม่น่ามีชื่อเสียงไม่ไม่ดีเลย” บุรุษคนเดิมเอ่ยเสริมอีกครั้ง
เมื่อทุกคนรู้ว่านางคือจ้าวเยว่ จากที่ตกตะลึงในความงามกลับกลายเป็นเสียดายความงามของนางแทน
มีเพียงแต่เซียวเฟิงเท่านั้นที่ยังคงมองนางอย่างชื่นชม ต่อให้ผู้อื่นจะว่านางเป็นหญิงเกียจคร้านอย่างไร เขาก็ได้หาสนใจ ยิ่งบุรุษอื่นไม่อยากได้นางเป็นภรรยาสิยิ่งดี เขาจะได้มีโอกาสแต่เพียงผู้เดียว
