บทที่ 10 เรื่องของข้าไปหนักหัวคนอื่นหรือไร 2/2
ศาลาชมดาวมักเป็นที่ประจำสำหรับสตรีทั้งหลายเวลามีงาน¬เลี้ยงเช่นนี้ แล้วตอนนี้บุตรีของขุนนางราวยี่สิบกว่าคน ก็มาชุมนุมกันอยู่ที่นี่ พวกนางมักจะสนทนากันเรื่องสัพเพเหระ หรือไม่ก็สนทนาถึงเรื่องของบุรุษที่ตนหมายปอง
ประเด็นของวันนี้ก็หนีไม่พ้นการเอ่ยถึงบุตรชายของท่านเซียวโหว นามว่าเซียวเฟิง ที่ตอนนี้กำลังหาบุตรีจากจวนตระกูลใหญ่มาแต่งงานด้วย
“ข้าว่าคงจะมีพวกขุนนางส่งบุตรสาวไปให้ท่านเซียวโหวเลือกอยู่ไม่น้อย เป็นถึงบุตรชายท่านโหว ใคร ๆ ก็ย่อมต้องการเกี่ยว¬ดองด้วยทั้งนั้น” หวังเว่ยเถียนเอ่ยขึ้น
น้ำเสียงของนางแม้ดูจะประชดก็จริง แต่ว่าในใจก็อยากจะได้เซียวเฟิงมาครอบครองเช่นกัน
สตรีนางหนึ่งเดินแทรกเข้ามาตรงกลางแล้วเอ่ยว่า
“ใครจะไปสู้พี่หลิงเจียวของเราได้เล่า พี่หลิงเจียวออกจะเพียบพร้อม งามราวกับเทพเซียน ทั้งยังเป็นกุลสตรีมีกิริยาเรียบร้อย ชาติตระกูลก็ดี เหมาะสมกับบุตรชายของท่านโหวเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าก็เอ่ยเกินไปเสี่ยวเพ่ย ข้ามิได้ดีงามถึงขนาดนั้นหรอก”
ซูหลิงเจียวเอ่ยยิ้ม ๆ ทั้งที่ในใจก็พึงพอใจกับถ้อยวาจายกยอ
“แต่ก็ไม่มีใครงามเสมอท่านพี่จริงๆ นะเจ้าคะ ยกเว้น....จ้าว¬เยว่” นี่คือคำเอ่ยของซูหนิง น้องสาวตัวดีของซูหลิงเจียว นางเอ่ยออกมาอย่างลืมตัว
“ซูหนิง เจ้าอย่าได้ขัดจังหวะได้หรือไม่ เสียบรรยากาศหมด”
หวังเว่ยเถียนเอ่ยอย่างหัวเสีย
“ข้าเอ่ยความจริงก็ไม่ได้หรืออย่างไร” ซูหนิงเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลางทำหน้างุนงงขึ้นมา ว่าทำไมนางจะเอ่ยความจริงไม่ได้ล่ะ
“จะว่าไป ข้าได้ยินมาว่าคุณชายเซียวสนิทกับจ้าวเยว่มาตั้งแต่เด็ก ถึงขั้นวิ่งเล่นในจวนด้วยกันเลยนะ ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่”
ฟ่านถงถงเอ่ยขึ้นถึงข่าวที่นางได้ยินมา
สตรีนางหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลัง ตอบขึ้นมาว่า
“อาจจะเป็นจริงเช่นนั้นก็ได้ เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเจ้ากรมจ้าวกับท่านเซียวโหวทำงานใกล้ชิดกัน พวกเขาอาจจะไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ”
“แต่ข้าว่านะ คุณชายเซียวคงเป็นสหายกับนางไปอย่างนั้นเพราะจำใจ คงมิได้อยากจะใกล้ชิดกับนางสักเท่าไร หญิงเกียจคร้านอย่างนั้น ใครอยากจะสนิทสนมด้วยกันเล่า” หวังเว่ยเถียนกล่าวเสริม พร้อมกับแสยะยิ้มเป็นเชิงดูถูกหญิงสาวที่พวกนางเอ่ยถึง
ซูหนิงที่นิ่งฟังไปสักพักเอ่ยโพล่งขึ้นมาอีก
“แต่ข้าได้ยินข่าวมา ว่าท่านเคยไปขอนางเป็นสหาย แล้วถูกนางปฏิเสธกลับมามิใช่หรือ”
หวังเว่ยเถียนได้ยินก็โมโหจนโวยวายเพื่อกลบเกลื่อนความจริง “ซูหนิง ถ้าเจ้าเอ่ยอีกคำละก็...ข้าจะเอาสายรัดเอวยัดปากเจ้า”
พอได้ยินดังนั้น ซูหนิงจึงยอมสงบปากสงบคำแต่โดยดี
แล้วหวังเว่ยเถียนก็ได้ทีเอ่ยต่อ
“งั้นก็แสดงว่าท่านเจ้ากรมจ้าวนั้น วางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะสิ ว่าจะผูกมัดสกุลเซียวกับสกุลจ้าวไว้ให้แน่น จึงได้เสนอบุตรสาวเข้าไปตั้งแต่ยังเป็นวัยแบเบาะ”
“พวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ได้” ฟ่านถงถงเอ่ยแย้ง
“ถงถง คนที่เอาแต่คิดในแง่ดีอย่างเจ้า จะไปทันคนอื่นเขาได้¬อย่างไร เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเรื่องของการเมืองเป็นอะไรที่ซับซ้อนยิ่ง หากผูกมิตรกับขุนนางใหญ่โตได้ ก็ควรจะทำเอาไว้ แล้วเหตุใด สกุล¬จ้าวจะไม่ทำเล่า ข้าว่าทั้งเจ้ากรมจ้าวแล้วก็ฮูหยิน ต้อง-วางแผนเอาไว้แล้ว ดูท่าน่าจะเจ้าเล่ห์กันอยู่ไม่น้อย” หวังเว่ยเถียนหยุด กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้าเองก็ระวังไว้เถอะ หากนางพลาดจากคุณชายเซียวเมื่อไร และบิดามารดาของนางหันมาหมาย¬ปองคุณชายหลิวของเจ้า เจ้าจะลำบากเอา”
เอ่ยจบหวังเว่ยเถียนก็หันหน้าไปประจบสอพลอกับซูหลิงเจียวต่อ “ข้าว่านะ ถ้าคุณชายเซียวได้เห็นหลิงเจียวของเรา อย่างไรก็ต้องลืมจ้าวเยว่เป็นแน่ ใช่ไหมพวกเรา”
นั่นทำให้ทุกคนพยักหน้ารับอย่างจำใจ
จ้าวเยว่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ได้ยินที่พวกบุตรสาวขุนนางทั้งหลายเอ่ยกันมาสักพักอย่างชัดถนัดหูทีเดียว
ซึ่งสาเหตุที่นางเดิน¬มาที่ศาลาชมดาวแห่งนี้ ก็เพราะว่าอยากจะออกมาสัมผัสบรรยากาศนอกงานเลี้ยง แต่ว่าพอมาถึงกลับ¬ได้พบกับเรื่องไม่น่าพึงใจเข้าเสียนี่ จึงได้เดินแหวกผู้คนเข้าไปกลางวงสนทนาอย่างไม่พอใจ
ทุกคนเห็นว่าเป็นจ้าวเยว่ ก็พากันตกใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่¬คิดว่านางจะมาถึงที่นี่ และเรื่องที่พวกนางเอ่ยกันเมื่อสักครู่นี้ นาง¬ก็คงได้ยินแล้วเป็นแน่
หลายคนถึงกับหน้าถอดสี แอบหลบไปแล้วก็มี แต่ว่าคู่สนทนาหลักอย่างหวังเว่ยเถียนกับซูหลิงเจียวนั้น ไม่สามารถหลบ-หน้าได้ จึงได้พากันทำใจดีสู้เสือ รอดูว่าจ้าวเยว่จะทำอย่างไรต่อไป
เดิมทีถ้าบรรดาสตรีเหล่านี้จะนินทานาง จ้าวเยว่ก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้พวกเขากลับนินทาว่าร้ายไปจนถึงบิดามารดาของ¬นาง ซึ่งเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ มือสองข้างของหญิงสาวกำแน่นจนซีดขาว และเจ้าตัวก็ต้องพยายามสูดลมหายใจเบา ๆ เพื่อระงับโทสะไว้
“ข้าเพิ่งจะรู้ว่าเรื่องของข้านั้นหนักศีรษะพวกเจ้า แล้วพวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าในสมัยกวนหมิงฮ่องเต้ พวกเขาทำการลงโทษหญิงปากมากกันอย่างไร” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา พลางปรายตามองสตรีแต่ละนางอย่างคาดโทษ
และผู้ที่ยกมือขึ้นตอบคือซูหนิง
“ข้ารู้ ๆ พวกเขาจะจับตัวนางไว้ แล้วก็บีบให้อ้าปาก จากนั้นก็เอาถ่านร้อน ๆ แนบลงไปที่ลิ้น”
“ซูหนิง!” ทั้งซูหลิงเจียวและหวังเว่ยเถียน ต่างก็ตวาดขึ้นมาพร้อมกัน
สตรีทุกนางในที่นั้น พอได้ยินก็ถึงกับขนลุกเกรียว ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วก็ซีดเข้าไปอีก ได้แต่ยืนรอกันอย่างสงบเสงี่ยม ถึงแม้จะกลัว แต่ว่าก็ไม่มีใครคิดที่จะจากไป เพราะว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดตรงหน้าดูแล้ว น่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
