บทที่ 9 สหายของท่านพี่
บทที่ 9
สหายของท่านพี่
“ท่านเป็นสหายสนิทของท่านพี่อย่างนั้นหรือ”
จางหนิงฮวาทวนคำของชายหนุ่มอย่างสงสัย
หลังจากใส่ยาลงในแผลของชายหนุ่มเสร็จ ก็ถอยกลับมานั่งตรงข้ามอีกฝ่ายให้เรียบร้อย
ขณะนี้หลินอี้ฟางได้กลับออกไปประจำตำแหน่งคิดเงินและดูแลลูกค้าในโรงน้ำชาแล้ว ทั้งห้องรับรองแห่งนี้จึงมีแค่จางหนิงฮวาและตงเฟยเทียนอยู่กันเพียงลำพังเท่านั้น
“อืม เจ้าเป็นน้องสาวของอาหลงจริงหรือ เหตุใดข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน” ตงเฟยเทียนตอบคำถามของนางในลำคอ ก่อนจะถามหญิงสาวกลับด้วยความแคลงใจ
เขาจำได้ว่าก่อนที่จะไปชายแดนครั้งล่าสุด เคยเห็นน้องสาวของจางหนิงหลงอยู่ครั้งหนึ่ง แต่นางเป็นเด็กสาวที่เนื้อตัวมอมแมม ใบหน้าก็เต็มไปด้วยตุ่มหนองไม่น่ามอง แต่เด็กสาวคนนั้นกลับมีรอยยิ้มสดใสให้กับพี่ชายของตนเสมอ นิสัยของนางอ่อนโยน
น่าเอ็นดู ไม่ได้ใจกล้าบ้าบิ่น พูดจาหาเรื่องคนเก่งอย่างเช่นเวลานี้
“จริงสิเจ้าคะ ข้าคือจางหนิงฮวา บุตรสาวคนเล็กของท่านหมอจางหนิงเหอ น้องสาวคนเดียวของท่านพี่จางหนิงหลงเจ้าค่ะ” จางหนิงฮวายืนยันอีกครั้ง พร้อมกับแนะนำตัวอย่างละเอียด
“ข้าก็ไม่ได้ว่าเจ้าไม่ใช่คุณหนูจาง เพียงแต่เจ้าดูเปลี่ยนไปจากที่ข้าเคยพบนัก” ชายหนุ่มกล่าวออกไปตามตรง
“ท่านพี่เฟยเทียนเคยพบข้าด้วยหรือเจ้าคะ” หญิงสาวถามกลับอย่างแคลงใจเช่นกันเหตุใดในความทรงจำของนาง จึงไม่เคยมีเงาร่างของบุรุษตรงหน้าปรากฏเลยสักครั้ง
“ไม่แปลกหรอกหากเจ้าไม่เคยรู้จักข้า ก่อนที่อาหลงจะไปชายแดนครั้งล่าสุด เจ้าเพิ่งสิบขวบได้กระมัง ตอนนั้นข้าพาอาหลงกลับไปลาครอบครัว จึงรออยู่นอกจวนไม่ได้เข้าไปด้วย แต่ที่ข้าเคยเห็นเจ้าเป็นเพราะเจ้าวิ่งตามรถม้าที่พวกข้านั่งอยู่เสียจนล้มลุกคลุกคลาน อาหลงทนไม่ไหวจึงได้ลงไปปลอบใจเจ้าอย่างไรล่ะ” ตงเฟยเทียนบอกกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่ดูอบอุ่นขึ้น
ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้นด้วยเช่นกัน
วันนั้นพวกเขาสองสหายได้รับคำสั่งด่วนให้ไปประจำการที่กองทัพทางชายแดน ทั้งสองจึงต้องเร่งออกจากเมืองหลวงทันทีในคืนนั้น เขาที่เป็นคนพาสหายกลับจวนสกุลจางเพื่อไปเก็บของ ก็ได้เจอกับน้องสาวของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก
เด็กสาวที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดเก่า เนื้อตัวมอมแมม ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยตุ่มหนอง แต่นางกลับมีรอยยิ้มสดใสชวนมอง แววตาอ่อนโยนน่าเอ็นดู คำพูดอวยพรกับการออดอ้อนพี่ชายของนางในวันนั้น ชวนให้ชายหนุ่มที่ได้เห็นรู้สึกเอ็นดูตามไปด้วย
“เช่นนั้นท่านก็เป็นทหารด้วยหรือ” จางหนิงฮวาถามกลับอย่างสงสัย
“ใช่” ชายหนุ่มเพียงตอบรับนางสั้น ๆ แล้วไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ เนื่องจากดวงตาคมกำลังจับจ้องริมฝีปากเล็กที่ช่างเจรจาได้ไม่หยุด
‘กิริยาน่ารักของนาง ช่างดึงดูดสายตาของเขายิ่งนัก ช่างแตกต่างจากสตรีบ้าบิ่นเมื่อครู่นี้ลิบลับ’ ตงเฟยเทียนได้แต่คิดในใจ
“อาเฟย!! ใครมันกล้าหาเรื่องเจ้า มันผู้นั้นเบื่อชีวิตสงบสุขแล้วหรืออย่างไร”
ระหว่างที่จางหนิงฮวาและตงเฟยเทียนกำลังสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างกันและกันอยู่นั้น เสียงทะเล้นที่เป็นเอกลักษณ์ของจางหนิงหลงก็ดังขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึงเสียอีก ทำให้บทสนทนาของสองหนุ่มสาวหยุดลงกลางคัน
จางหนิงหลงได้ความจากเสี่ยวเอ้อที่หลินอี้ฟางส่งไปตามที่เหลาสุราว่าทางโรงน้ำชาเกิดเรื่อง แล้วคนที่อยู่ในเรื่องนั้นดันเป็นสหายคนสนิทของเขาอีกด้วย
เมื่อได้ยินดังนั้นจึงได้รีบควบม้ากลับมาที่โรงน้ำชาแห่งนี้ทันที แต่ก็ไม่ได้รีบมาด้วยความห่วงสหายรักแต่อย่างใด เขากลับอยากรีบมาดูเสียมากกว่าว่าใครมันคิดสั้นอยากจะมีเรื่องกับสหายของตน
“อาหนิง เจ้ามาได้อย่างไร”
เมื่อเดินเข้ามาในห้องรับรอง และได้เห็นว่าคู่สนทนาของสหายคือน้องสาวตนเองก็เปลี่ยนเป้าหมายจากสหายไปหาน้องสาวของตนทันที
“ท่านพี่!!” จางหนิงฮวาที่เห็นหน้าพี่ชายเต็มตาโผเข้ากอดเขาไว้ด้วยความคิดถึง ซึ่งนี่อาจจะเป็นความรู้สึกส่วนหนึ่งของเจ้าของร่างนี้ที่ยังหลงเหลืออยู่
อีกทั้งพี่ชายคนนี้ก็เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของนางในเมืองหลวง แม้จะบอกว่านางเปลี่ยนไปเป็นคนที่เข้มแข็งมากแค่ไหน แต่มนุษย์ทุกคนก็ยังหนีไม่พ้นความกลัว และความอ่อนแอกันทั้งนั้น ซึ่ง
จางหนิงฮวาเลือกจะแสดงด้านเหล่านั้นให้ผู้ใดได้เห็นก็เป็นอีกเรื่องเช่นกัน
“โอ๋ ๆ พี่อยู่นี่แล้ว ใครมันทำร้ายเจ้า พี่จะไปเอาคืนมันให้เอง”
จางหนิงหลงเอ่ยกับน้องสาวอย่างอ่อนโยน และตั้งใจจะไปคิดบัญชีให้นางจริง ๆ โดยมือข้างหนึ่งลูบหลังปลอบประโลมคนที่อยู่ในอ้อมกอดของตนอย่างอ่อนโยน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาไม่เคยนิ่งนอนใจเรื่องราวในอดีต จางหนิงหลงได้ติดตามสืบความ เรื่องของคนที่ใส่ร้ายบิดาของเขาไม่เคยขาด โดยที่ชายหนุ่มก็ได้รับความช่วยเหลือจากสหายสนิทคนนี้ซึ่งเป็นถึงแม่ทัพไร้พ่ายประจำกองทัพหลวงเป็นอย่างดี ช่วยให้เขาสืบความที่เป็นประโยชน์มาได้อยู่ไม่น้อย
จางหนิงหลงที่เติบโตขึ้นจากวันวาน พร้อมแล้วกับการปกป้องบิดาและน้องสาวของตน ในเวลานี้นับว่ามีกำลังและอำนาจมากพอจะปกป้องคนที่ตัวเองรักได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดเช่นกัน
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ โชคดีที่ท่านพี่เฟยเทียนมาช่วยไว้ได้ทันท่วงที แต่กลับทำให้สหายของท่านพี่บาดเจ็บ” นางตอบพี่ชาย พร้อมกับมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฝั่ง
“น้องสาวเจ้าใจกล้าใช้ได้ กล้าไปหาเรื่องได้แม้แต่สตรีเสียสติในสกุลจ้าน” ตงเฟยเทียนเอ่ยตอบกับสหายด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
แท้จริงสตรีสกุลจ้านที่มีเรื่องกับจางหนิงฮวาไปเมื่อชั่วยามก่อน เป็นเพียงหญิงหม้ายสติไม่ดีคนหนึ่งในสกุลจ้านเท่านั้น เพราะขบวนขนสินค้าของสามีนางถูกโจรภูเขาดักปล้น ทำให้ทุกคนที่ติดตามสินค้าขบวนนั้นไปถูกโจรฆ่าตายทั้งหมด นางเสียใจจนสติฟั่นเฟือนอารมณ์ของคุ้มดีคุ้มร้าย หาทางแก้ไม่ได้เสียที
เดิมทีสตรีนางนี้ก็เป็นเพียงสะใภ้ที่ไร้บ้านเดิม จึงไม่เหลือที่พึ่งอื่นใดอีก แต่จ้านตงกลับยังให้นางอยู่ในจวนสกุลจ้านต่อไป โดยให้นางอยู่ในฐานะป้าสะใภ้เช่นเดิม นางจึงรักและเคารพจ้านตงมาก เพราะเขาเป็นผู้มีพระคุณกับนางไม่น้อย
“เหตุใดเจ้าจึงไปมีเรื่องกับนางได้” พอได้ยินสหายกล่าวมาเช่นนั้นจางหนิงหลงจึงเอ่ยถามน้องสาวออกไปอย่างสงสัย
“ท่านพี่ แท้จริงแล้วที่ข้ามาที่เมืองหลวงนั้นเพราะว่า...”
จางหนิงฮวาเอ่ยเล่าจุดประสงค์ในการมาตามคิดบัญชีกับสองแม่ลูกอสรพิษ และบุรุษนิสัยหยาบช้าอย่างจ้านตง รวมถึงเล่าวีรกรรมที่นางได้ไปทำเอาไว้ที่ร้านของสามีภรรยาคู่นั้นเมื่อเช้านี้ด้วย
เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากน้องสาว จางหนิงหลงจึงรีบเอ่ยออกมาด้วยความตกใจ พร้อมกับยื่นคำขาดกับน้องสาวไม่ให้ไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นอีก
“อาหนิง เจ้าจะเอาตัวเองไปเสี่ยงแบบนี้อีกไม่ได้นะ หากไม่มีพี่หรือเฟยเทียนอยู่ด้วย เจ้าห้ามไปพบสองคนนั้นตามลำพังอีก เข้าใจหรือไม่”
“อาหนิงเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพี่เฟยเทียนอีกครั้งนะเจ้าคะที่ช่วยข้าวันนี้” หญิงสาวตอบรับพี่ช่ย และหันไปกล่าวขอบคุณตงเฟยเทียนอีกครั้ง ก่อนจะส่งยิ้มหวานจนดวงตาโค้งลงอย่างน่าเอ็นดู
“ว่าแต่... ท่านพี่มีกิจการใหญ่โตถึงเพียงนี้ ไม่คิดจะบอกข้าเลยสักคำหรือเจ้าคะ” หญิงสาวหันมาเอ่ยถามพี่ชายด้วยน้ำเสียงแง่งอน ในตอนนี้สองแขนเล็กไม่เกาะแขนออเซาะเขาอย่างเมื่อครู่แล้ว
“เอ่อ...อาหนิง อันที่จริงพี่ก็ไม่คิดจะปิดบังเจ้าแม้แต่น้อย เพียงแต่ตอนที่พี่ได้กิจการโรงน้ำชานี้มา บ้านเราก็เริ่มจะมีเรื่องไม่ดีแล้ว หากสองแม่ลูกปลิงดูดเลือดนั่นได้รู้เรื่องนี้เข้า เจ้าคิดว่าพี่จะได้เปิดกิจการนี้อย่างเป็นสุขมาจนถึงทุกวันนี้หรือ” จางหนิงหลงให้เหตุผลกับน้องสาวด้วยเสียงที่อ่อนลงอย่างที่ไม่เคยกล่าวกับผู้ใด
“เรื่องกิจการข้าก็พอจะเข้าใจได้ แล้วเรื่องพี่สะใภ้เล่าเจ้าคะ เมื่อใดท่านพี่จะพานางไปคารวะท่านพ่อหรือ” จางหนิงฮวาเอ่ยเย้าพี่ชายเสียงใส จนอีกฝ่ายหูแดงไปหมด
“เจ้าดูออกด้วยรึ” ชายหนุ่มถามกลับเสียงแผ่ว ไม่คิดว่าน้องสาวที่เพิ่งมาถึงจะมองออกด้วย
“คงเหลือแค่ท่านพี่แต่งนางเข้าสกุลแล้วล่ะเจ้าค่ะ ถึงจะเป็นการยอมรับตรง ๆ” หญิงสาวเอ่ยตอบพี่ชายอย่างปลง ๆ สงสัยพี่ชายของนางคงคิดว่าปิดบังเรื่องนี้มิดชิดแล้ว
