ตอนที่ห้า เบาหน่อยเถิด
ตอนที่ห้า
เบาหน่อยเถิด
ถังลี่หงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ถูกเหยียดหยามอย่างที่สุดแต่นางจำต้องอ่อนข้อเมื่อคิดถึงความทุกข์ยากของคนในครอบครัวและสถานการณ์ที่ไม่อาจย้อนกลับ
นางเป็นคนขอความช่วยเหลือจากเขาเอง ขณะที่เขาก็รับปากจะช่วยดูแลท่านแม่กับคนอื่นๆแล้ว หากนางไม่ยอมรับและไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างโดยดี คงไม่อาจสู้กับท่านอ๋องที่มีอำนาจมากมายผู้นี้
หญิงสาวจึงรีบส่งเสียงอ้อนวอนแม้จะโดนกึ่งลากกึ่งประคองเข้าไปจนเกือบถึงหน้าประตูด้านใน
“ท่านอ๋องโปรดเมตตาด้วย”
“ข้าเคยเมตตาเจ้ามาแล้ว ตั้งแต่ปีก่อน ถึงกับคิดมอบตำแหน่งชายาเอกให้ แต่เจ้ากลับไม่เหลือบแลกล้าปฏิเสธ
เชอะ...คงคิดหวังสูงปืนป่ายไปเป็นสนมของเสด็จพี่สินะ
คงไม่คิดว่าจะมีวันตกจากที่สูงถึงขั้นนี้ ฮ่า ฮ่า ยามนี้แม้แต่ตำแหน่งสาวใช้ของข้า เจ้ายังไม่คู่ควรด้วยซ้ำ” คำถากถางของอ๋องเจิ้งทำให้ใบหน้างามส่ายรัว
“หม่อมฉันไม่เคยคิดเช่นนั้น”
“ปากแข็งนัก ช่างเถอะ ข้าไม่ใส่ใจเรื่องในอดีตอีก เอาเป็นว่า นับจากนี้เจ้าจะเป็นเพียงของเล่นในยามค่ำคืนของข้าและต้องเชื่อฟังข้าทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่การหายใจ
ส่วนข้าจะเชยชมเจ้าจนกว่าพอใจ จากนั้นค่อยส่งกลับไปให้ผู้ดูแลสำนักสังคีตหลวงจัดการก็แล้วกัน”
ได้ยินประโยคนี้ใบหน้าที่ซีดขาวอยู่แล้วกลับไร้สีเลือดยิ่งขึ้นไปอีก ถังลี่หงรู้สึกราวกับลมหายใจแทบหยุดด้วยความสับสนและหวาดกลัว
เท้าทั้งสองเหมือนจะยืนไม่มั่นคงยามเงยหน้าขึ้นมองไปยังผู้ที่ประกาศชะตากรรมนี้
“ไม่นะเพคะ ท่านอ๋องจะทำเช่นนี้ไม่ได้ หม่อมฉันเพียงต้องโทษกักขังใช้แรงงานด้วยความผิดของบิดาที่ยังสอบสวนไม่แล้วเสร็จ หม่อมฉันไม่ควรต้องโดนกระทำเช่นนี้” หญิงสาวยังคงพยายามยืนหยัดแม้จะรู้สึกปวดร้าว
“เจ้าเป็นคนขอร้องข้าเองมิใช่หรือ”
ถึงตอนนี้ถังลี่หงจึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดอ๋องเจิ้งจึงรับปากนางง่ายดายนัก
นี่คงเป็นแผนที่เขาวางไว้แต่แรก การที่เขาไปแสดงตัวให้คนสกุลถังได้เห็นก็เพื่อให้นางเป็นฝ่ายมาขอร้องเขา
“ใช่เพคะที่หม่อมฉันเป็นฝ่ายไปขอร้องขอความเมตตาจากท่านอ๋อง แต่หม่อมฉันยินยอมให้ท่านอ๋องใช้งานอย่างไรก็ได้ มิใช่นำตัวมาย่ำยีกลายเป็นของเล่นเยี่ยงนี้”
เห็นสีหน้าและแววตาที่ยังคงไม่ยอมแพ้ของถังลี่หง อ๋องจ้าวเจิ้งหลงจึงยิ่งยิ้มร่าชอบใจ สายตาคมเข้มกวาดมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ราวกับจะตอกย้ำสถานะของนาง
“เจ้ายังคิดว่าจะหลุดพ้นอีกหรือ สำนักสังคีตหลวงคือสถานที่ใดใช่ว่าเจ้าจะไม่รับรู้ สตรีที่ถูกส่งเข้าไปหรือจะเหลือชื่อเสียงใดให้เชิดชู ไม่ว่าเจ้าหรือน้องสาว นับจากนี้ก็เป็นได้เพียงของเล่นบนเตียงของเหล่าชายหนุ่มเท่านั้น”
“ไม่จริง พวกเราเพียงทำงานตามที่ได้รับมอบหมายให้แล้วเสร็จ ไม่ได้ต้องขายเรือนร่าง” แววตาที่บิดเบี้ยวจากความผิดหวังและความโกรธที่อัดแน่นอยู่ในใจยิ่งมองยิ่งสาแก่ใจนัก
“ตอนนี้อาจจะยัง แต่อีกไม่กี่วันพวกเจ้าทั้งพี่ทั้งน้องก็ต้องแขวนป้ายขายร่างกายเพื่อแลกความสุขสบายอยู่ดี จะเร็วจะช้าเจ้าก็เป็นได้แค่สตรีที่ใช้ปลดเปลื้องกามารมณ์เท่านั้น”
“ไม่เพคะ หม่อมฉันจะไม่ยอมทำเช่นนั้นแน่” ท่าทางขบเม้มปากอย่างไม่ยอมลดศักดิ์ศรียิ่งท้าทายให้จ้าวเจิ้งหลงอยากเอาชนะ
“คิดว่ายังเป็นเหมือนเมื่อก่อนที่เชิดหน้าเป็นคุณหนูชั้นสูงสามารถเลือกคู่ครองได้เช่นนั้นหรือ เผชิญความเป็นจริงเถิด ถังลี่หง ยามนี้เจ้าคือของเล่นบนเตียงของข้า หากเบื่อแล้วก็จะกลายเป็นของเล่นของชายอื่นต่อไป
จงคิดว่าตนเองโชคดีที่ยังมีรูปโฉมเหนือกว่าผู้อื่น หาไม่คงต้องไปเทกระโถนทำงานชั้นต่ำตั้งแต่วันแรกแล้ว”
ถังลี่หงส่ายหัวไม่อาจยอมรับ
แต่นางจะไม่ยอมรับได้หรือ ในเมื่อที่เขาพูดคือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ
“เอาล่ะ เสียเวลามามากแล้ว พวกเราไปหาความสุขกันดีกว่า ไม่แน่เจ้าอาจติดใจจนเรียกร้องให้ข้าทำอยู่บ่อยคราก็เป็นได้”
ถังลี่หงส่ายหน้าคิดเอ่ยปากออกมา แต่เมื่อตระหนักได้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่เป็นผลจึงกลั้นใจยอมเดินตามการกระชากอย่างแรงเพื่อไม่ต้องเจ็บตัวมากไปกว่านั้น
นางย่างเท้าเข้าปากเสือแล้ว เขาคงไม่มีวันคายออกแน่ ไม่ว่าขัดขืนอย่างไรก็คงไม่อาจหลุดพ้น มีแต่ต้องก้มหน้ายอมรับเท่านั้น
หวังเพียงให้เขาเมตตานางบ้าง อย่ารุนแรงจนนางเจ็บปวดมากเกินไป
เอาเถอะ...หากมอบให้เขาแล้วได้ช่วยท่านแม่กับน้องหญิงรอง ก็ยังดีกว่าถูกเร่ขายอย่างไร้ค่าในสำนักสังคีตหลวง
