บทที่ 1 ชะตาที่ถูกพันธนาการ
บทที่ 1 ชะตาที่ถูกพันธนาการ
ในฤดูเหมันต์อันหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาปกคลุมทั่วทั้งจวนอ๋อง แต่ความเยือกเย็นนั้นไม่อาจเทียบได้กับบรรยากาศอันตรึงเครียดที่ลอยอวลอยู่ภายในเรือนใหญ่ของตระกูลหลี่
ท่านอ๋อง “หลี่จื่ออวี่” บุรุษผู้สูงศักดิ์ซึ่งมีใบหน้าหล่อเหลาแต่แฝงไว้ด้วยความเย็นชา กำลังนั่งจิบชาอยู่ริมหน้าต่าง พลางมองออกไปยังลานหิมะที่ขาวโพลน ดวงตาคมกริบของเขาไม่ได้สะท้อนความงดงามของหิมะ แต่เต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจน
เสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวังดังขึ้น “ท่านอ๋องขอรับ พระชายาเฉิงอันมาขอพบ” องครักษ์เงาซานรายงานด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หลี่จื่ออวี่วางถ้วยชาลงอย่างเนิบช้า “ให้นางเข้ามา” เสียงทุ้มต่ำของเขาสั่งการ
ร่างอรชรของโม่เฉิงอันเดินเข้ามาในห้อง นางสวมชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนที่ตัดกับผิวขาวนวล ใบหน้าสวยหวานที่มักจะประดับด้วยรอยยิ้มสดใสในยามปกติ บัดนี้กลับซีดเผือด นางก้าวเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าเขาอย่างนอบน้อม “คารวะท่านอ๋อง”
“เจ้ามีเรื่องอันใด” หลี่จื่ออวี่เอ่ยถามโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง
โม่เฉิงอันเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ข้ามาขออภัยเรื่องที่น้องสาวของข้าที่ก่อความวุ่นวายในจวนเมื่อวันก่อน” น้ำเสียงของนางสั่นเครือ “นางไม่รู้จักกาลเทศะจนทำให้ท่านอ๋องต้องเสียหน้า ข้าจึงมาขอรับโทษแทนทุกอย่าง”
ดวงตาของหลี่จื่ออวี่หรี่ลง “แม้เฉิงหนิงจะเป็นน้องสาวของเจ้า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องมารับผิดแทน” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา ท่าทางนิ่งเฉยอย่างไม่ไยดี “หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเจ้าที่เป็นชายาของข้า ข้าคงลงโทษน้องสาวเจ้าไปแล้ว”
โม่เฉิงอันนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ท่านอ๋องโปรดให้โอกาสนางอีกครั้งเถิด นางเป็นเพียงเด็กที่ขาดการอบรม”
“เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของตระกูลโม่...ไม่ใช่ของข้า” หลี่จื่ออวี่พูดเสียงหนักแน่น “ข้าจะให้นางเข้าจวนมาเป็นอนุภรรยาได้ก็ต่อเมื่อเจ้าทำใจได้แล้วเท่านั้น”
โม่เฉิงอันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหลี่จื่ออวี่จะพูดเช่นนี้ นางคิดมาตลอดว่าเขาจะไม่ยอมให้น้องสาวของนางเข้ามาในจวนอย่างเด็ดขาด
“ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจว่าเฉิงหนิงเป็นหญิงสาวที่เสด็จพ่อหมายตาให้ข้า...ข้าเองก็มิอาจปฏิเสธได้” เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงเฉยชา “แต่หากว่าเจ้าไม่ยินยอม ข้าก็จะไม่ฝืนทำเช่นกัน”
“แต่เฉิงหนิงเป็นเด็กสาวที่ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ นางไม่คู่ควร...” โม่เฉิงอันแย้งด้วยความเจ็บปวด
“แล้วเจ้าคู่ควรหรือ” หลี่จื่ออวี่ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงความประชดประชัน “อย่าลืมสิว่าตำแหน่งพระชายาของเจ้าได้มาเช่นใด พวกเราต่างรู้กันดีว่าความสัมพันธ์ของเราก็ไม่ได้มาด้วยความรัก”
คำพูดของเขาราวกับคมมีดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจของโม่เฉิงอัน นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพยายามทำใจ...”
ขณะเดียวกันในเรือนใหญ่ของจวนอ๋องอีกหลังหนึ่ง “มู่หรงเยว่” พระชายาที่ถูกลดตำแหน่งลงมาเป็นพระชายารองกำลังนั่งปักผ้าอยู่ริมหน้าต่าง นางสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดาที่ดูเรียบง่าย แต่ใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาดของนางกลับไม่ได้สะท้อนความหม่นหมองใดๆ นางเป็นหญิงสาวที่ถูกคลุมถุงชนเข้ามาในจวนแห่งนี้ด้วยเหตุผลทางการเมือง และถูกท่านอ๋องรังเกียจตั้งแต่แรกเห็น
เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้มู่หรงเยว่ละมือจากงานปักและเงยหน้าขึ้นมองหว่านเอ๋อร์ สาวใช้คนสนิทเดินเข้ามาพร้อมถ้วยน้ำแกงร้อนๆ “ท่านหญิง ข้าทราบมาว่าท่านอ๋องให้โม่เฉิงอันเข้าเฝ้าอีกแล้ว”
มู่หรงเยว่รับถ้วยน้ำแกงมาถือไว้ในมือ “ข้ารู้แล้ว” นางตอบด้วยน้ำเสียงที่สงบ “เรื่องของพวกเขาไม่ใช่เรื่องที่พวกเราควรสนใจ”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าท่านอ๋องกำลังจะให้น้องสาวของนางเข้ามาในจวนเจ้าค่ะ” หว่านเอ๋อร์กล่าวอย่างเป็นกังวล “หากโม่เฉิงหนิงเข้ามา พวกเรายิ่งไม่มีที่ยืนนะเจ้าคะ”
มู่หรงเยว่เงยหน้าขึ้นมองหว่านเอ๋อร์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเมตตา “ไม่ว่าจะมีใครเข้ามาหรือไม่ สถานะของพวกเราก็ไม่เปลี่ยนแปลง” นางเอ่ย “หน้าที่ของข้าคือการใช้ชีวิตในจวนแห่งนี้อย่างสงบสุขและไม่สร้างปัญหาให้ผู้อื่น”
ในขณะที่มู่หรงเยว่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษภายในเรือนของตนเอง “ไป๋เฟิง” องครักษ์ส่วนตัวของหลี่จื่ออวี่กำลังยืนเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกเรือนของโม่เฉิงอัน ใบหน้าที่หล่อเหลาและดุดันของเขาฉายแววครุ่นคิด
ไป๋เฟิงเป็นองครักษ์ข้างกายและเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่หลี่จื่ออวี่ไว้ใจที่สุด แต่ลึกๆ ในใจของเขากลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เขาได้เฝ้ามองดูโม่เฉิงอันมาโดยตลอด เขารู้ดีว่านางต้องอดทนกับความเย็นชาของท่านอ๋องมากเพียงใด
“ไป๋เฟิง ท่านยืนตากหิมะอยู่ด้านนอกได้อย่างไรเจ้าคะ” เสียงหวานใสของสาวใช้คนหนึ่งดังขึ้นจากด้านในเรือน
ไป๋เฟิงหันไปมองหว่านเอ๋อร์ สาวใช้คนสนิทของโม่เฉิงอันที่กำลังเดินออกมาพร้อมกับร่มกระดาษ “พระชายาให้ข้านำร่มมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
ไป๋เฟิงรับร่มมาถือไว้ในมือ “ขอบใจเจ้ามาก” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าปกติ “นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“พระชายาไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หว่านเอ๋อร์ตอบ “เพียงแค่รู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่นางก็เข้มแข็งเสมอ”
“นี่เป็นยาสงบใจ เจ้านำไปให้นางทานก่อนนอนจะช่วยให้นางสดชื่นขึ้นได้บ้าง” ไป๋เฟิงยื่นขวดยาให้กับหว่านเอ๋อร์
หว่านเอ๋อร์รับขวดยานั้นมาไว้กับตัว ก่อนจะย่อกายขอบคุณ “ขอบคุณท่านยิ่งนัก...แล้วท่านมีสิ่งใดจะให้ข้าแจ้งแก่พระชายาหรือไม่”
ไป๋เฟิงเม้มปากแน่น ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่มีอะไรแล้ว เจ้ากลับไปเถิด”
หว่านเอ๋อร์ย่อกายอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในเรือน
ไป๋เฟิงยังคงยืนจ้องมองเข้าไปในเรือนใหญ่ของโม่เฉิงอันด้วยความรู้สึกที่สับสน เขารู้ดีว่าโม่เฉิงอันไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่หว่านเอ๋อร์พูด แต่ที่นางทำได้เพียงยอมรับทุกสิ่งก็เพราะนางไม่มีทางเลือกอื่น
