ตอนที่7.อย่างนี้เอง
“อย่างนี้เอง” นางพยักหน้ารับเข้าใจ “พี่หวังหมิ่น ข้าอยากเดินเล่น พี่ไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่”
หวังหมิ่นเคยทำงานในบ้านเศรษฐีตระกูลใหญ่โตตั้งแต่เด็ก นางเข้าใจกฎระเบียบเป็นอย่างดี คุณหนูในห้องหอหากจะออกนอกบ้านย่อมต้องมีบ่าวรับใช้ติดตาม แต่หลินอวี้เจินไม่มีหญิงรับใช้ข้างกาย นางรู้ดีว่าตระกูลหลินเพิ่งสร้างฐานะได้ไม่นาน แต่กระนั้นก็ไม่เหมือนพวกเศรษฐีใหม่ที่มักโอ้อวด และรังแกบ่าวไพร่ หลินเหิงอี้เป็นนายที่ดี แม้พูดจาเสียงดังและนิสัยโผงผางไปบ้าง แต่ไม่เคยดูแคลนผู้ใด หากใครทำผิดจึงลงโทษ หากทำดีสัตย์ซื่อก็ตบรางวัลให้ทำให้ผู้ที่ทำงานด้วยล้วนทำอย่างเต็มที่
“ถ้าแค่ใกล้ๆ ละแวกนี้ บ่าวไปเป็นเพื่อนคุณหนูได้เจ้าค่ะ” นางยิ้มบางๆ อดเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้
“ตอนที่นั่งรถม้าเข้าเมืองมา ข้าเห็นร้านขายภาพเขียนมีคนเข้าออกจำนวนมาก ข้าอยากไปร้านนั้นจะได้หรือไม่”
หวังหมิ่นนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ ร้านที่ว่าอยู่ไม่ไกลนัก เดินไม่นานก็ถึงที่หมาย ตอนนี้ยังแดดไม่ร้อนจัด ก็เหมาะสมกับการไปข้างนอกได้อยู่
“บ่าวจะให้คนเตรียมรถม้าก่อนนะเจ้าค่ะ”
“ไกลมากหรือ? เราเดินกันไปได้หรือไม่”
หวังหมิ่นมองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง หลินอวี้เจินแม้ไม่ได้งดงามปานล่มเมือง แต่นางมีโครงหน้ารูปไข่ ดวงตาสุกใส ริมฝีปากจิ้มลิ้ม ผิวขาวราวหยกใส ท่าทางกระตือรือร้นของนางดูมีชีวิตชีวาแตกต่างจากหญิงสาวผู้อื่น
“เกรงว่าจะไม่เหมาะสม คุณหนูนั่งรถม้าไปเถิดเจ้าค่ะ”
“เวลาที่ข้าอยู่ที่จู้หยาง ก็เดินจากบ้านไปดูแลร้านขายผ้าของท่านลุงใหญ่เอง ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
“นั่งรถม้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะให้คนเตรียมรถ คุณหนูเปลี่ยนเสื้อดีไหมเจ้าคะ”
“เปลี่ยนทำไม ข้าแต่งแบบนี้ออกไปข้างนอกมิได้หรือ”
นางเบิกตากว้าง ก้มมองเสื้อผ้าที่สวมอยู่ นางสวมชุดสีเขียวบงกชแบบเรียบๆ แต่ตัดเย็บประณีต บนศีรษะประดับเพียงปิ่นหยกชิ้นเดียวแต่กระนั้นกลับขับเน้นให้นางดูงดงามน่ามองไม่น้อย
“เช่นนั้นสวมเสื้อคลุมอีกชั้นเถิดเจ้าค่ะ แดดแรงนัก”
หลินอวี้เจินเพียงแค่ยิ้มรับ นางเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนต่างถิ่น เกรงว่าจะทำอะไรไม่เหมาะสมจึงเอ่ยถามออกไปก่อน หวังหมิ่นเดินเร็วๆ สั่งบ่าวรับใช้ให้เตรียมรถม้าและเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาคลุมร่างบอบบางของหญิงสาว จากนั้นสั่งงานบ่าวรับใช้แล้วจึงพาหลินอวี้เจินขึ้นรถม้า ขณะที่รถม้าผ่านร้านรวงต่างๆ มือเรียวเล็กยื่นไปแง้มผ้าม่านมองออกไปด้านนอกด้วยความสนใจ
“ที่นี่คึกคักยิ่งนัก”
“เจ้าค่ะ แต่พอถึงฤดูหนาวจะเงียบเหงานัก ปิดบ้านอยู่กันเงียบเชียบ ช่วงฤดูหนาวพ่อค้ามักหยุดเดินทางที่นี่จึงไม่ค่อยมีคนอยู่”
“แต่ท่านลุงใหญ่มิค่อยได้กลับบ้านที่จู้หยางนัก เขามิได้อยู่ที่ตันหยางหรือ?”
“นายท่านเดินทางตลอดเจ้าค่ะ แต่ปีที่ผ่านมานายท่านอยู่ที่นี่”
หลินอวี้เจินไม่ได้ถามอะไรอีก นางนึกถึงที่เคยพูดคุยกับบิดา บิดาเคยเล่าว่าที่ท่านลุงใหญ่มิใคร่กลับบ้านเพียงเพราะไม่อยากคิดถึงภรรยาและลูกที่ไม่มีโอกาสได้ลืมตา จึงไม่ค่อยกลับมาที่จู้หยางบ่อยนัก นางเข้าใจดี แม้ความเจ็บปวดที่นางได้รับมิอาจเทียบกับท่านลุงใหญ่ แต่นางเองยังต้องการเวลาสำหรับรักษาบาดแผลในหัวใจ ไม่คิดถึงเรื่องราวที่จำต้องหลบหนีมาถึงที่นี่อีก
ไม่นานนักรถม้ามาถึงที่หมาย หวังหมิ่นลงจากรถก่อนแล้วประคองหญิงสาวก้าวลงมา วันนี้ผู้คนไม่มากนัก ทำให้หลินอวี้เจินสามารถเดินดูภาพวาดในร้านได้อย่างสบายใจ นางมักยืนมองภาพแต่ละภาพนิ่งงันและครุ่นคิด สงบจิตใจแล้วจ้องมองรอยตวัดฝีแปรง น้ำหนักอ่อนเบา บ่งบอกถึงจิตใจของจิตกรผู้นั้น บิดาของนางชื่นชอบการวาดภาพแต่ไม่เชี่ยวชาญนัก จึงเชิญอาจารย์ท่านอื่นมาสอนที่สำนักศึกษาของตน นางเองก็พลอยได้ฝึกฝนไปด้วย นางไล่ดูแต่ละภาพ อ่านโคลงกลอนที่ปรากฏเหล่านั้น ภาพทิวเขาสูงตระหง่านมีธารน้ำตกใส นางหมุนตัวหันไปหาหวังหมิ่น หวังจะถามหาที่ตั้งของภาพนี้ เป็นสถานที่จริงในตันหยางหรือเป็นเพียงจินตนาการของจิตกรกัน
