ตอนที่6. กัวอี้เซียว
“อืม” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา “ข้าหิวแล้วอยากกินของหวานๆ พี่ใหญ่ไปกินกับข้านะ”
“พี่ไม่ชอบของหวาน” กัวจื่อหรานถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไปกินเถอะ”
“อืม”
กัวจื่อหรานได้แต่มองร่างของน้องชายต่างมารดาด้วยสายตาที่เหนื่อยอ่อน ปีนี้กัวอี้เซียวอายุสิบสี่แล้ว ตอนที่กัวอี้เซียวอายุเจ็ดขวบเคยถูกโจรลักพาตัวไป ตอนนั้นบิดาล้มป่วยอยู่ก่อนแล้ว เป็นเขากับกองทหารไล่ล่าจนพากัวอี้เซียวกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นกลับนิ่งเงียบไปหลายวัน
คราแรกหมอเข้าใจว่าเป็นเพราะตกใจอย่างหนัก แต่เมื่อค่อยๆ ดูอาการต่อมาจึงรู้แน่ชัดว่า กัวอี้เซียวได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง จนเหมือนสติปัญญาจะหยุดการเจริญเติบโต เขากลายเป็นเด็กเจ็ดขวบที่ไม่ประสีประสาและเอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ แม้ในขณะนี้เขาจะเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีแล้วก็ตาม
บิดาของของเขามีลูกมากมายก็จริง แต่มีเพียงไม่กี่คนที่บิดารับมาอยู่ในจวนและมอบฐานะให้ สำหรับกัวอี้เซียวก็เป็นหนึ่งใน ‘ลูกรัก’ ที่บิดาเป็นกังวล ก่อนที่จะสิ้นใจทรงย้ำหนักหนาให้เขาดูแลกัวอี้เซียวอย่างดีที่สุด
ภาระและหน้าที่มันช่างแสนหนักหน่วงจนชายหนุ่มรู้สึกเหมือนไหล่ทั้งสองถูกกดทับด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น อีกนานเท่าไหร่ที่ภาระหน้าที่เหล่านั้นจะเบาบางลงเสียที
จะมีสักวันไหมที่เขาจะได้ยิ้มหรือหัวเราะเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป
หลังจากได้พักผ่อนเต็มที่หลินอวี้เจินก็พร้อมที่จะออกไปผจญภัย แต่เพราะหลินเหิงอี้ยุ่งกับการตระเตรียมของขวัญสำหรับท่านเจ้าเมือง หลินอวี้เจินไม่มีหญิงรับใช้ข้างกาย แม้ครอบครัวของนางมิได้ขัดสน ฐานะของท่านลุงใหญ่ค้ำชูครอบครัวให้มีความเป็นอยู่สุขสบาย แต่ที่บ้านมีบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คน หลังจากมารดาตายไป นางรับหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในบ้านด้วยตนเอง และเมื่อบิดาอนุญาตให้นางเดินทางไกลเป็นครั้งแรก ท่านลุงใหญ่เป็นผู้จัดการตระเตรียมรถม้าและคนดูแลนางไว้พร้อมสรรพ ด้วยเป็นช่วงที่ส่งสินค้ากลับมาที่เมืองจู้หยางพอดี นางจึงได้อาศัยเดินทางกลับมาที่ตันหยางพร้อมกัน
หลินอวี้เจินเดินออกมาจากห้องนอนของตนเองแล้วเดินเล่นในบริเวณบ้าน บ้านหลังนี้ของท่านลุงใหญ่ตบแต่งเรียบง่ายผิดกับบ้านจู้หยางนัก ยิ่งเทียบกับบ้านของท่านลุงรองมิได้เลย แต่กลับคล้ายบ้านของบิดาของนางยิ่ง บิดาของนางเน้นความเรียบง่ายและประโยชน์ใช้สอย โต๊ะไม้เรียบง่ายแต่แข็งแรงคงทน ภาพประดับส่วนใหญ่เป็นฝีมือนางกับบิดาเอง นางชอบศึกษาการค้าขายมากพอๆ กับที่ฝึกฝนตนเองเรื่องการวาดภาพ ท่านลุงใหญ่มิใคร่รู้เรื่องพวกนี้นัก หากแต่ถ้ามีหนังสือดีหรือสมุดภาพน่าสนใจก็มักส่งมาให้นางเสมอ ร้านขายผ้าที่ท่านลุงให้นางดูแลนั้น บางครั้งบางคราว นางวาดลวดลายให้คนนำไปปักเพิ่มมูลค่าให้ผ้าของทางร้านได้อีกด้วย
“คุณหนูเจ้าค่ะ”
หวังหมิ่นเรียกน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ หญิงสาวหันมาตามเสียงเรียกเห็นท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวของอีกฝ่ายทั้งที่อายุมากกว่านาง หลินอวี้เจินส่งยิ้มกว้างแล้วเดินไปจับท่อนแขนของอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม
“อย่าเรียกข้าคุณหนูเลย เรียกอวี้เจินก็พอแล้ว”
“บ่าวมิกล้า”
“ท่านลุงใหญ่เข้มงวดมากหรือ?”
“ไม่เจ้าค่ะ นายท่านดูแลพวกเราดียิ่ง”
หลินอวี้เจินยิ้มกว้าง “เช่นนั้นข้าเรียกท่านว่าพี่หวังหมิ่นนะ”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าไปมา
“ได้ซิ ข้าจะเรียกพี่หวังหมิ่น” นางหัวเราะเบาๆ “พี่หวังหมิ่นอยู่ที่นี่นานแล้วหรือ”
“บ่าวเป็นคนเมืองตันหยาง” นางเอ่ยเสียงเบาข่มความขื่นขมในอก “บ่าวเคยเป็นหญิงรับใช้ที่บ้านหลังหนึ่ง ถูกขับไล่ออกมา คราวนั้นนายท่านซื้อตัวบ่าวไว้จึงได้มาอยู่ที่นี่ ทำงานรับใช้นายท่านได้สามปีแล้วเจ้าค่ะ”
