ตอนที่2.รู้สึกเจ็บปวด
หลินอวี้เจินยกมือทาบหน้าอก ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นเข้ามาจนเจ็บปวดหัวใจไปหมด แค่คิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น ร่างกายนางแทบจะแบกรับความเจ็บปวดไม่ไหว หญิงสาวสะบัดศีรษะไล่ความคิดที่วิ่งวนในศีรษะ รับรู้ได้ว่ารถม้าหยุดนิ่งสนิทแล้ว นางจึงก้าวลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่ว แม้นางจะเป็นเพียงสตรี แต่บิดาสอนเรียนเขียนอ่านด้วยตนเอง
“ท่านลุงใหญ่” ให้นางดูแลร้านขายผ้า ทำให้นางออกนอกบ้านไปดูกิจการที่ร้านบ่อยๆ นางไม่ใช่คุณหนูที่ถูกเลี้ยงในห้องหอ บิดาให้อิสระแก่นาง แต่อยู่ในกรอบจารีตประเพณีอันดีงาม ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เดินทางไปต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้
“เจินเอ๋อร์!!”
“ท่านลุงใหญ่”
หญิงสาวยิ้มกว้างแล้วเร่งเดินไปหาชายร่างสูงใหญ่กำยำที่ปีนี้อายุสี่สิบปีแล้ว หลินเหิงอี้เบิกตามองหลานสาวที่ไม่ได้เจอกันปีเศษ แต่กระนั้นข่าวคราวความเคลื่อนในบ้านเขาย่อมรู้ดีทุกเรื่อง หลินเหิงอี้ไม่มีบุตร หลังภรรยารักตายจากเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับกิจการการค้าของตระกูล ในบรรดาหลานๆ ที่เขาพบเจอนั้น เขาชื่นชอบหลินอวี้เจินมากที่สุด
อาจเพราะนางมีความคิดอ่านแบบผู้ใหญ่และมีความดื้อรั้นเหมือนเด็กน้อย ผิดกับหลานอีกสองคนที่ถูกเลี้ยงอย่างตามอกตามใจจนแทบจะเสียคนอยู่แล้ว หลินยี่ห้านเป็นน้องชายคนเล็กของเขา มีนิสัยรักสันโดษ ใฝ่รู้ ในครั้งนั้นแม้ครอบครัวยังเป็นเพียงชาวนา แต่บิดาเห็นหลินยี่ห้านหัวดีจึงผลักดันให้ได้รับการศึกษา ต่อมาแม้สอบเป็นบัณทิตเล็กๆ ได้ก็ทำงานราชการตำแหน่งไม่ใหญ่ไม่โต แต่ด้วยความเถรตรงจึงไม่ก้าวหน้า ทำงานอยู่นานหลายปีสุดท้ายก็รวบรวมเงินที่มีอยู่เปิดสำนักศึกษา
ปีแรกๆ มีเด็กมาเรียนแค่สี่ห้าคน แต่ช่วงนั้นกิจการการค้าของเขาเป็นไปอย่างดี ได้กำไรค่อนข้างงาม ฐานะเปลี่ยนไปอย่างมากจนหลายคนไม่เชื่อว่าแต่เดิมครอบครัวนี้เป็นเพียงชาวนายากจนมาก่อน เขาช่วยเหลือหลินยี่ห้านตั้งแต่เด็ก จะว่าไปก็เลี้ยงน้องจนเหมือนเลี้ยงลูก เมื่อหลินยี่ห้านเปิดสำนักศึกษา เขาย่อมให้ความช่วยเหลือ ค่อยแนะนำชักจูงให้บุตรหลานผู้อื่นมาเรียนที่สำนักศึกษาของน้องชายคนเล็ก จากนั้นจึงเริ่มมีนักเรียนเพิ่มขึ้น สำนักศึกษาจึงดีขึ้นตามลำดับ
“เป็นอย่างไรบ้าง เดินทางมาแรมเดือนลำบากเจ้าแล้ว”
หญิงสาวส่ายหน้าไปมา แม้บิดาให้อิสระแก่นาง แต่นางไม่เคยเดินทางออกนอกเมืองเลยสักครั้ง นี่เป็นการเดินทางไกลครั้งแรก อาจเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้บิดาอนุญาตให้นางเดินทางมาหา ‘ท่านลุงใหญ่’ ที่เมืองตันหยางแห่งนี้
“ไม่เลยเจ้าค่ะ หลานตื่นเต้นมากกว่า” หญิงสาวยิ้มราวเด็กน้อยที่ได้ออกมาผจญภัย
“มาที่นี่ ลุงจะพาเที่ยวไม่ให้มีเวลาเหงาเลย”
“ท่านลุงจะมีเวลาพาหลานเที่ยวหรือคะ” นางหัวเราะออกมา ใครต่อใครรู้ดีว่าหลินเหิงอี้มีงานยุ่งมากเพียงใด
“เพื่อหลานรัก ลุงย่อมหาเวลาให้ได้อยู่แล้ว”
ทั้งสองหัวเราะกันอยู่ครู่หนึ่ง หลินเหิงอี้นึกขึ้นได้เรียกบ่าวรับใช้ให้จัดการย่ามเดินทางให้หลานสาว แต่นางกลับยื้อไว้จะถือเอง
“มีอะไรสำคัญหรือ?” หลินเหิงอี้ถามอย่างแปลกใจ
“แค่...อุปกรณ์วาดรูปเจ้าค่ะ”
หลินอวี้เจินพูดอย่างเขินอาย นางไม่ห่วงเรื่องเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับใด แต่อุปกรณ์สำหรับวาดรูปรวมทั้งเครื่องเขียน ล้วนเป็นสิ่งคัญยิ่งสำหรับนาง ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้นางรู้สึกใจสงบและนิ่งลงได้อย่างประหลาด ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์ใดก็ตาม
“ไม่ต้องกังวลไป คนของลุงจะดูแลอย่างดีดุจเดียวกับ ‘น้ำตาจันทรา’ เชียวละ” หลินเหิงอี้หัวเราะในลำคอแล้วส่งย่ามของหลานสาวให้คนสนิทถือเดินนำไปที่ห้องพักของหลานรัก
หลินอวี้เจินเอียงคออย่างสงสัย “น้ำตาจันทราคืออะไรหรือเจ้าคะ”
“ไข่มุกน้ำตาจันทรา” ชายต่างวัยมองอย่างงุนงงไม่แพ้กัน “นี่หลานไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้เลยหรือ?”
หลินอวี้เจินส่ายหน้าไปมา “หลานไม่ค่อยสนใจเรื่องเหล่านี้”
หญิงสาวตอบไปตามจริง แม้หญิงสาวทั่วไปสนใจเครื่องประดับ หรือแพรพรรณงดงาม แต่สำหรับนางกลับหลงใหลในหนังสือหรือตำรา อาจเพราะบิดาเพาะบ่มนางด้วยกลิ่นอายของกระดาษ นางจึงชอบการอ่านเป็นอย่างยิ่ง และชื่นชอบพอๆ กับการวาดรูป นางวาดรูปได้ธรรมดาสามัญ มิอาจอวดอ้างกับผู้ใดได้ แต่การวาดรูปนั้นทำให้นางผ่อนคลายที่สุดและใจสงบที่สุด
