บท
ตั้งค่า

บทที่ 4

บทที่ 4

“ไร้มารยาท ไม่เคยมีใครสั่งสอนรึไงว่าไม่ควรพูดจาแบบนั้นกับผู้ใหญ่ คุณดรัณนี่ชักยังไง ฝากฝังคนแบบนี้มาทำงานได้ยังไง เห็นทีคงต้องเรียกมาคุยกันจริงๆ จังๆ สักที” เท้าทั้งคู่ของมีนาหยุดชะงักอีกครั้งเพียงเพราะชื่อที่คุณแม่บ้านพูดถึง ซึ่งดูเหมือนเขาเองก็สังเกตเห็น

“งั้นก็เรียกมาคุยกันซะวันนี้เลยสิ” เจตต์เสริมขึ้นพลางลอบมองท่าทีของเธอ

“พี่ดรัณไม่เกี่ยว อยากด่าอยากว่าก็มาลงที่ฉันสิ พี่ดรัณเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย” มีนาหันขวับไปมองเขานัยน์ตาขุ่นขวาง แต่มันกลับยิ่งทำให้เขาหยักยิ้มชอบอกชอบใจ เมื่อได้รู้ว่าอะไรคือจุดอ่อนของเธอ

“จะไม่เกี่ยวได้ยังไง ในเมื่อเขาเป็นคนฝากเธอให้มาทำงานนี้ รู้ไหมว่ากว่าฉันจะรับเธอเข้ามา คุณดรัณเขาทั้งพูดทั้งชมเธอสารพัด ถึงขนาดใช้เกียรติตัวเองรับรองเธอ หึ! ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเขารู้ว่าเด็กฝากของตัวเองทำตัวไร้มารยาท ขาดความรับผิดชอบแบบนี้ เขาจะทำหน้ายังไง” สีหน้าอวดดีไม่ยอมคนก่อนหน้าเปลี่ยนเป็นกังวลจนเขาสังเกตได้ และใคร่อยากจะรู้นักว่าคุณดรัณที่สองคนนี้พูดถึงคือใคร แน่นอนว่าเขาไม่รู้จัก เพราะปกติไม่ว่าจะเป็นเรื่องในบ้านหรือแม้กระทั่งเรื่องของจันทร์เจ้าลูกสาวเพียงคนเดียว พริ้มเพราก็เป็นธุระจัดการให้ทั้งหมด

“ก็ได้ค่ะ ฉันจะทำงานนี้ต่อ” เสียงเธออ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

“เสียใจ เพราะฉันไม่รับคนที่ไร้มารยาทและขาดความรับผิดชอบอย่างเธอ” คุณแม่บ้านสวนกลับอย่างทันท่วงที

“นี่ ตกลงพวกคุณจะเอายังไงกับฉันกันแน่ หรือเห็นว่าฉันตัวคนเดียว เลยคิดจะรังแกยังไงก็ได้ ไม่เคยมีใครบอกรึไง…ว่าเป็นผู้ใหญ่ไม่ควรรังแกเด็ก” เธอตอกกลับอย่างไม่คิดจะยอมเช่นกัน

“นี่เธอ…” คุณแม่บ้านชักสีหน้าด้วยความโกรธกรุ่น และก่อนที่เรื่องจะบานปลายใหญ่โต เจ้าของบ้านอย่างเจตต์จึงรีบแทรกขึ้น

“เอาละๆ เอาเป็นว่าเดี๋ยวเรื่องนี้ผมจัดการเอง คุณพริ้มมีอะไรก็ไปทำเถอะ” แน่นอนว่าพริ้มเพราไม่ถูกใจสักเท่าไร

“แต่ว่า…” พริ้มเพราพยายามจะคัดค้าน แต่เมื่อเห็นสายตาประหนึ่งกำลังขอร้องของเจ้านายหนุ่ม เธอจึงยอมถอยออกไป ถึงแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม

“ส่วนเธอ…ตามฉันมา” สิ้นเสียงเขาก็เดินนำออกไป แต่เมื่อเห็นว่าคุณเธอยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาจึงหันกลับมาแล้วจับจูงแขนเธอแทน

“โอ๊ย! เดี๋ยวคุณ ฉันยังไม่พร้อม” เธอพยายามขืนตัวอย่างเต็มที่

“ไหนบอกว่าจะทำงานไง หรือคิดจะเปลี่ยนใจอีก” เขาหันมามองด้วยแววตาขุ่นมัว

“ไม่ได้เปลี่ยนใจ แต่ฉันยังไม่พร้อม คุณก็เห็นว่าเมื่อกี้ลูกสาวคุณเดินเข้าไปพร้อมกับเจ้าหมายักษ์นั่น ขอทำใจก่อนได้ไหมเล่า” เธอทำหน้าหวาดหวั่นขณะชี้เข้าไปในบ้าน

“ไม่ได้” เขาตอบโดยไม่ลังเลเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังออกแรงดึงเธอให้ก้าวตามไปอีก

“ไม่! ยังไงก็ไม่พร้อม อย่างน้อยก็ควรให้ฉันกลับไปทำใจก่อนสิ” เธอฉวยโอกาสจังหวะที่เขาเผลอสะบัดแขนแรงๆ แล้วหันหลังวิ่งทันที แต่ดูเหมือนช่วงขาที่สั้นกว่าจะไม่ช่วยให้เธอรอดจากเงื้อมมือเขาได้

“มานี่เลยยัยตัวแสบ” เขาตวัดแขนคว้าหมับที่เอวบาง แล้วกระตุกยกกระเตงพาเธอเดินดุ่มๆ ไปยังตัวบ้านท่ามกลางเสียงร้องโวยวาย กระทั่ง…

“โอเคๆ ฉันเข้าก็ได้ แต่ขอเดินเองได้ไหมเล่า เข้าไปแบบนี้นักเรียนที่ไหนจะเคารพฉันล่ะ” เมื่อเห็นว่าโวยวายไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ เธอจึงหันมาพูดด้วยดีๆ

“ถ้าเป็นฉัน ฉันก็ไม่เคารพ ครูอะไรตัวเท่าลูกหมา” เขายอมปล่อยเธอลง แต่ก็ไม่วายล้อเลียนอีก

“นี่…ความเป็นครูมันไม่ได้วัดกันที่ความสูงซะหน่อย มันอยู่ที่นี่ย่ะ” เธอจิ้มขมับตัวเอง

“งั้นเธอคงต้องทำให้ฉันเห็นแล้วละว่า เธอเหมาะจะเป็นครูอย่างที่เธอว่ารึเปล่า” คนถูกท้าทายกลายๆ ถึงกับเม้มปากแรงๆ แน่นอนว่าอุปสรรคเดียวที่ทำให้ความน่าเชื่อถือในตัวเธอลดลงคงหนีไม่พ้นเจ้าหมาตัวนั้น หรือสุดท้ายแล้ว…เธอจะต้องกลืนน้ำลายตัวเองเพียงเพราะไม่สามารถชนะใจตัวเองได้

“จันทร์เจ้าคะ ถึงเวลาเรียนแล้ว ให้ลัคกี้ออกไปกับป๊ะป๋านะคะ หนูกับคุณครูจะได้เริ่มเรียนกันสักที” ทันทีที่เข้ามาในห้อง เจตต์ก็หันไปพูดกับลูกสาวเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ไม่ค่ะ หนูจะให้ลัคกี้เรียนด้วย ถ้าลัคกี้ไม่เรียน หนูก็ไม่เรียนค่ะ” เด็กน้อยตอบโดยไม่เสียเวลาคิด

“แต่หนูก็เห็นว่าคุณครูเขากลัวลัคกี้มากแค่ไหน หนูไม่สงสารคุณครูเหรอคะ” เจตต์ยังพยายามโน้มน้าวต่อ

“หนูจะบอกลัคกี้ไม่ให้ไปยุ่งกับคุณครูเองค่ะ” เด็กน้อยบอกตามประสา

“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ค่ะ ลัคกี้เป็นหมาที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง อีกเดี๋ยวก็ต้องกระโจนเข้าไปหาครูอีก แบบนั้นหนูจะมีสมาธิเรียนได้ยังไง ให้ลัคกี้ออกไปก่อน เชื่อป๊ะป๋านะคะ” คำว่ากระโจนของเขาทำเอาคุณครูที่ยืนเงียบถึงกับผงะตาโตด้วยความตื่นตระหนก

“ไม่ค่ะ หนูไม่ยอมให้ลัคกี้ไปค่ะ ลัคกี้เป็นเพื่อนคนเดียวของหนู หนูจะอยู่กับลัคกี้” เด็กน้อยยืนกรานด้วยการนั่งลงข้างๆ หมาแล้วกอดมันไว้แน่น

“จันทร์เจ้า” เสียงเขาเข้มขึ้น ทำให้เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้าจวนจะร้องไห้ มีนาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเอ่ยแทรกขึ้น

“อะ เอ่อ…ให้ลัคกี้อยู่ด้วยก็ได้ค่ะ มีนักเรียนเพิ่มขึ้นอีกคนไม่เป็นไรหรอกเนอะ” เธอมองหน้าลูกศิษย์ทั้งสองพลางยิ้มให้ แต่ในใจกลับกำลังร่ำไห้

‘โอ๊ย! พูดอะไรออกไปเนี่ย จะทำตัวเป็นนางฟ้าเพื่อ? หาเหาใส่หัวชัดๆ เลยมัดหมี่เอ๊ย’

“แน่ใจเหรอ ก็ไหนบอกว่ากลัวหมา เดี๋ยวก็หาว่าฉันรังแกเด็กอีก ฉันว่าเอามันออกไปดีกว่า ฉันไม่อยากมีปัญหา” เขาทำท่าจะก้มลงไปลากเจ้าหมาตัวนั้นออกไปให้ได้ แต่ก็ถูกเธอฉุดแขนแล้วลากออกมาตรงมุมห้อง

“ตอนนี้ถ้าจะมีปัญหา มันก็เป็นเพราะคุณนั่นแหละ ขอร้องล่ะ ออกไปก่อนได้ไหม ฉันไม่อยากทำร้ายจิตใจนักเรียนของฉัน แล้วก็ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้คุณสองคนพ่อลูกต้องทะเลาะกันด้วย เอาเป็นว่าเดี๋ยวทางนี้ฉันจะจัดการเอง” พูดจบเธอก็พยายามจะผลักเขาให้ออกจากห้อง แต่มันกลับไม่ทำให้กำแพงมนุษย์ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด

“แต่เธอกลัวหมา เกิดเป็นลมช็อกตายคาห้องไปจะทำยังไง ฉันว่าฉันเอามันออกไปดีกว่า” เขาทำท่าจะย้อนกลับไปทางเดิม แต่เพราะถูกดึงชายเสื้อเอาไว้ จึงต้องชะงักฝีเท้าอีกครั้ง

“โอ๊ย! ฉันไม่ใจเสาะขนาดนั้นหรอกน่า กะอีแค่หมาตัวเดียว ฉันเอาอยู่น่า สบายมาก ฮ่าๆๆ” มันคงเป็นเสียงหัวเราะที่ฝืดเฝื่อนที่สุด เมื่อเธอไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิด

“แล้วเมื่อกี้ใครกันที่ทำท่ากลัวหมาจะเป็นจะตาย หรือจริงๆ แล้วเธอแค่หาข้ออ้างเพื่อลวนลามฉันมากกว่า” คนถูกกล่าวหาถึงกับกลอกตาไปมาทันที

“เหอะ! หลงตัวเองให้มันน้อยๆ หน่อย ถึงคุณจะหล่อรวยแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้ย่ะ มีลูกมีเมียแล้วยังจะทำท่าชีกอกับผู้หญิงคนอื่นอีก ฉันละเกลียดผู้ชายประเภทคุณที่สุดเลย”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel