บทที่ 3
บทที่ 3
“ก็บอกว่าไม่ได้ชอบก็ไม่ได้ชอบสิโว้ย พูดไม่รู้เรื่องรึไง” เธอขึ้นเสียงใส่ด้วยความหงุดหงิด ก็ไม่รู้ว่าระหว่างคนกับหมา อย่างไหนที่ทำให้เธอหงุดหงิดมากกว่ากัน
“ใครสั่งใครสอนให้เธอพูดจาแบบนี้กับผู้ใหญ่หายัยเด็กแก่แดด เป็นน้องเป็นนุ่งจะจับมาตีซะให้เข็ด” เขาเอ็ดคนพูดไม่เพราะเสียงเขียว
“งั้นก็คงเป็นโชคดีของฉันที่ไม่ได้เกิดเป็นน้องของผู้ชายที่พูดจาไม่รู้เรื่องอย่างคุณ”
“ฉันพูดไม่รู้เรื่องตรงไหน” เสียงเขาเข้มขึ้นอีก
“ก็ตรงที่ฉันบอกไปแล้วไงว่าไม่ได้ชอบๆ เข้าใจไหมว่าไม่ได้ชอบ” เธอแทบตะโกนใส่หน้า ด้วยหวังว่าเขาจะเข้าใจและไม่กล่าวหาเธออีก
“ถ้าไม่ชอบก็ลงไปสิ” ไม่พูดเปล่า แต่พ่อคุณยังพยายามจะดันตัวเธอออกด้วย
“คุณก็ไล่หมาของคุณออกไปก่อนสิ ไม่งั้นฉันไม่ลงจริงๆ ด้วย” เธอยืนยันเสียงแข็งพร้อมกับกอดเกี่ยวเขาแน่นขึ้นอีก
“ไม่ลงก็แปลว่าชอบ”
“ไม่ได้ชอบ”
“งั้นลง”
“ไม่ลง”
“งั้นก็แปลว่าชอบ”
“เออ! ชอบก็ชอบ พอใจรึยัง” เธอตะโกนใส่หน้าอย่างเหลืออด
“ยัง จนกว่าเธอจะลงไปจากตัวฉัน” เดี๋ยวนะ! ทำไมเธอรู้สึกเหมือนเขากำลังกวนประสาทเธอเลยล่ะ ไม่สิ! เขาจะกวนประสาททั้งๆ ที่สีหน้ายังเรียบเฉยแบบนั้นไม่ได้
“เอ้า! ก็บอกชอบไปแล้วไงจะเอาไงอีก” เพราะคิดว่าคำคำนั้นจะทำให้ตัวเองมีอภิสิทธิ์อยู่บนตัวเขาต่อ เธอจึงยอดพูดให้มันจบๆ ไป แต่ดูเหมือนมันจะไม่จบ
“ก็ไม่เอาไง เธอก็แค่ลงไปจากตัวฉันก็พอ เพราะว่าฉัน…ไม่ได้ชอบเธอ” อื้อฮือ! เหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ ประหนึ่งถูกหลอกให้สารภาพรักแล้วหักอกกันทีหลัง
“แล้วไงใครแคร์ ในเมื่อฉันก็ไม่ได้ชอบคุณจริงๆ เหมือนกัน ไม้กันหมาน่ะรู้จักไหม ไม้กันหมาที่เป็นไม้กันหมาจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้ฉันลงจากตัวคุณ คุณก็ต้องไล่หมาคุณออกไปก่อน จะไล่ไม่ไล่ว่ามา” เพราะเข้าตาจนทำให้เธอทั้งข่มขู่และคาดคั้นในคราวเดียวกัน
“ไม่ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าระหว่างฉันกับเธอ ใครมันจะอึดกว่ากัน” ดูเหมือนประโยคนี้จะทำให้เธอแน่ใจแล้วว่าพ่อคุณตั้งใจกวนประสาทเธอจริงๆ และนั่นก็ทำให้ความอดทนของเธอสะบั้นลง
“จะเอาแบบนี้ใช่ไหม จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม ได้!” สิ้นเสียงแม่คุณก็ก้มลงไปกัดที่ไหล่เขาแรงๆ
“…” เขาร้องลั่นพร้อมกันนั้นก็พยายามจะดันหน้าเธอออก
“จะไล่ไม่ไล่” เธอผละออกมาถามอีกครั้ง
“ไม่! อยากไล่ก็ไล่เองสิ” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง ทำให้เธอก้มลงกัดที่เดิมอีกครั้ง
“โอ๊ย! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะยัยหมาบ้า” เขาแหกปากร้องลั่นอีกครั้ง แต่รายนี้ก็ดื้อด้าน และเขาก็เจ็บเกินกว่าจะปล่อยไว้แบบนั้น จึงตอบโต้กลับไปบ้าง
“ชอบกัดนักใช่ไหม ได้…” สิ้นเสียงพ่อคุณก็ก้มลงไปกัดที่ไหล่เธอคืนบ้าง
“โอ๊ย!…ไอ้บ้า กัดมาได้ เป็นหมารึไงหา” เธอผละออกมาแหวเสียงเขียว
“ก็โดนหมากัด ฉันเลยกัดตอบ ถ้าไม่อยากโดนอีกก็รีบๆ ลงไปซะ ตัวหนักอย่างกับอะไรดี” คนถูกทักเรื่องน้ำหนักหันขวับมามองตาขวาง
“หน็อยแน่! หนักเหรอ ใครเขาให้พูดเรื่องน้ำหนักผู้หญิงกันหา ปากเสียอย่างคุณมันต้องโดน” สิ้นเสียงแม่คุณก็ก้มลงไปกัดที่ไหล่เขาด้วยความโกรธกรุ่นอีกครั้ง
“จะเอาแบบนี้ใช่ไหม ได้…!” สิ้นเสียงเขาก็ก้มลงไปบ้าง คราวนี้ไม่ใช่ที่ไหล่แต่เป็นที่คอขาวๆ ของเธอ
“อื้อ…!” เธอพยายามส่งเสียงประท้วง ขณะเดียวกันก็ยังกัดเขาอยู่อย่างนั้นอย่างไม่ยอมแพ้ กระทั่ง…
“ว้ายตายแล้ว! นี่มันอะไรกันคะ ปล่อยเดี๋ยวนี้ค่ะ” เสียงของคุณแม่บ้านทำทั้งคู่ชะงักนิดหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีใครยอมใคร จนคุณแม่บ้านขึ้นเสียงอีกครั้ง
“ปล่อย!” เสียงดังๆ ของคุณแม่บ้านทำให้เจตต์ยอมผละออกมา แล้วมองหน้าผู้อาวุโสตรงหน้าด้วยความประดักประเดิด ก่อนใบหน้านั้นจะบิดเบี้ยวเหยเกเพราะแรงกัดของเธอ ใช่! มีนากัดเขาแรงๆ ก่อนจะยอมผละออกมา
“มีนา เธอทำบ้าอะไรของเธอ ไปกัดคุณเจตต์เขาแบบนั้นได้ยังไง” ทันทีที่ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระ คุณแม่บ้านก็หันมาเอ็ดมีนาเสียงเขียวทันที
“ทำไมไม่ลองถามคุณผู้ชายแสนดีของคุณแม่บ้านบ้างล่ะ เขาก็กัดฉันเหมือนกัน หลักฐานก็มี เนี่ยเห็นไหม” เธอว่าพลางเอียงคอให้ดู ทำเอาหัวหน้าแม่บ้านถึงกับผงะกับรอยแดงๆ ตรงหน้า เมื่อมันไม่ใช่รอยกัดอย่างที่ควรจะเป็น แต่มันคือรอยดูดมากกว่า ครั้นพอหันไปมองหน้าคนทำ รายนั้นก็เสมองไปอีกทาง
“อะแฮ่ม! ละ...แล้วเธอขึ้นไปอยู่บนตัวคุณเจตต์แบบนั้นได้ยังไง บัดสีบัดเถลิง ลงมาเดี๋ยวนี้มีนา” คุณแม่บ้านแก้เก้อด้วยการเบี่ยงประเด็น
“ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้หมาน่ากลัวตัวนั้น ฉันก็ไม่ขึ้นมาหรอกค่ะ คุณแม่บ้านช่วยพามันไปไกลๆ ฉันหน่อยได้ไหมคะ” เธอบอกอย่างขอร้อง
“ลัคกี้เนี่ยนะน่ากลัว เป็นมิตรออกขนาดนี้ เอาอะไรมาน่ากลัว ฉันว่าเธอหาข้ออ้างเพื่อใกล้ชิดคุณเจตต์มากกว่า รีบๆ ลงมาเดี๋ยวนี้มีนา” ดูเหมือนคุณแม่บ้านจะไม่เชื่อที่เธอพูดเลยสักนิด แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกกับเรื่องพวกนี้ ผู้หญิงที่พยายามเข้าหาเจ้านายตนนั้นมีทั้งมารยาและกลอุบายสารพัด จึงไม่แปลกที่พริ้มเพราจะไม่เชื่อที่มีนาพูด
“ฉันบอกให้ลงมาเดี๋ยวนี้มีนา” ไม่พูดเปล่าแต่พริ้มเพรายังเข้ามาดึงตัวมีนาออกจากตัวเจ้านายหนุ่มด้วย
“ไม่! จนกว่าป้าจะไล่หมาตัวนั้นออกไป” เธอตะโกนลั่นพร้อมกับกอดเขาไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม ทำให้ต่างฝ่ายต่างยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา และก่อนที่คนกลางอย่างเขาจะหมดความอดทน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ไปกันเถอะลัคกี้” เสียงเล็กๆ ดึงดูดสายตาทุกคู่ให้หันไปมอง พลันได้เห็นเด็กหญิงตัวน้อยกับน้องหมาตัวโตเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกัน ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสามถึงกับมองหน้ากันแบบงงๆ
“หมาก็ไปแล้ว คราวนี้จะลงได้รึยัง” เสียงของคุณแม่บ้านดึงสติเธอให้รีบผละลงมาจากตัวเขาอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ…งั้นฉันขออนุญาตเข้าไปสอนก่อนนะคะ” เธอทำลายความเงียบด้วยการเดินผละออกมา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าถ้าเข้าไปคงไม่แคล้วต้องเจอกับเจ้าหมาตัวนั้นอีกแน่ จึงรีบถอยกลับมายืนที่เดิมอย่างช่วยไม่ได้
“ทำไมยังไม่ไป นี่มันเลยเวลาสอนมาตั้งนานแล้วนะ ให้ตายสิ! คุณดรัณส่งคนแบบไหนมาเนี่ย ทำไมถึงไม่มีความรับผิดชอบเอาซะเลย” คุณแม่บ้านตำหนิด้วยความโมโห
“รับผิดชอบหรือไม่มันอยู่ที่ตัวฉัน ไม่เกี่ยวกับพี่ดรัณ อีกอย่างทางคุณก็ไม่ได้แจ้งมาก่อนว่าจะมีหมาอยู่ในบ้านด้วย คุณก็เห็นว่าฉันกลัวหมา ฉันสอนไม่ได้หรอกค่ะ” มีนาเองก็เสียงแข็งอย่างไม่ยอมให้ตัวเองต้องถูกตำหนิฝ่ายเดียว
“ข้ออ้าง กะอีแค่หมาตัวเดียว เธอจะอะไรนักหนา ลัคกี้มันไม่เคยกัดใคร ออกจะเป็นมิตรกับทุกคนด้วยซ้ำ”
“มันอาจจะน่ารักและเป็นมิตรสำหรับพวกคุณ แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่กลัวหมาขึ้นสมองอย่างฉัน พวกคุณอาจจะคิดว่าฉันเรื่องมากหรืออะไรก็แล้วแต่ เอาเป็นว่าฉันไม่สะดวกที่จะสอน ลาละค่ะ” เธอยกมือไหว้ลา แล้วหันหลังเดินออกไปทันที
“เดี๋ยว!” เสียงทุ้มๆ ของเขาทำให้เท้าทั้งคู่ของเธอชะงัก จากนั้นก็ออกเดินต่อโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง ราวกับไม่อยากจะเสวนาด้วย กระทั่งเสียงเขาดังขึ้นอีกครั้ง
“หรือว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ได้กลัวหมา แต่ว่า…กลัวฉันมากกว่า” มีนาชะงักเท้าทันที ก่อนจะหันขวับไปมอง
“ทำไมฉันต้องกลัวคุณ” เธอตะโกนออกไปด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรนัก
“นั่นสิ ทำไมเธอถึงได้กลัวฉันล่ะ” รอยยิ้มบางๆ กับคำถามประหนึ่งกำลังเยาะเย้ย ทำคนถูกถามเลือดขึ้นหน้าจนต้องเดินเข้ามาประจันหน้าใกล้ๆ
“ก็บอกว่าไม่ได้กลัวไง คุณมีอะไรให้ฉันต้องกลัวไม่ทราบ” เธอยืนยันเสียงแข็ง
“ถ้าแค่กลัวหมา ก็ไม่เห็นจะต้องเดินหนีออกไปแบบนี้เลยนี่ นอกเสียจากว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ได้กลัวหมา แต่ว่ากลัวฉันมากกว่า” เห็นรอยยิ้มที่จุดอยู่ตรงมุมปาก คนรู้สึกประหนึ่งกำลังถูกสบประมาทถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความขุ่นเคือง
“เออ…ฉันกลัวคุณ แต่เพราะอะไรรู้ไหม เพราะคุณมันน่ากลัวกว่าหมายังไงล่ะ” สิ้นเสียงเธอก็หันกลับไปทางเดิม
