ตอนที่ 9 แต่งกับผู้ใดก็เหมือนกัน
ห้องทรงอักษรที่เงียบสงบ
"ฝ่าบาท ท่านอ๋องเย่อู๋เฉินขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ" เสียงกงกงชรา เอ่ยขึ้นที่หน้าห้อง
พรึบ! ฮ่องเต้เย่ไห่เฉิงปิดดีกาลงพร้อมกับลุกขึ้นยืน "เข้ามา"
ตรัสพลางทอดพระเนตรออกไปที่หน้าประตู พลันร่างสูงใหญ่สง่างาม น่าเกรงขาม ก็เดินเข้ามา ฮ่องเต้เย่ไห่เฉิงแย้มพระสรวญออกมาด้วยความดีพระทัย
"ถวายบังคมฝ่าบาทพะย่ะค่ะ" อ๋องเย่อู๋เฉินหรือแม่ทัพเย่ บุตรชายองค์ที่สามของพระองค์ที่เกิดจากไท่เฟยเอ่ยทำความเคารพ
ฮ่องเต้เย่ไห่เฉิงลุกขึ้นเดินมาหาผู้เป็นบุตรชายที่ไม่พบหน้ากันเลยสามสี่ปี พร้อมกับเอื้อมมือไปดึงบุตรชายให้ลุกขึ้น
" ลุกขึ้นเถิด เจ้าอย่าได้มากพิธีเลย" ฮ่องเต้ไห่เฉิงตรัสพร้อมกับดึงบุตรชายให้ลุกขึ้น
จากนั้นพระองค์ทรงทอดพระเนตรสำรวจบุตรชายคนที่สามของพระองค์อย่างละเอียดถี่ถ้วนพร้อมกับแย้มพระสรวญออกมา
"ดีดี ดูเจ้าสิช่างหล่อเหลาเหมือนพ่อสมัยยังหนุ่มๆยิ่งนัก ฮะฮะฮะ"
"เวลานี้เสด็จพ่อก็ยังคงมีพระวรกายที่แข็งแรงและยังทรงหนุ่มแน่นอยู่เลยนะพะย่ะค่ะ" อ๋องหนุ่มกล่าว
"ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ อู๋เฉินนี่เจ้าเรียนรู้การยกยอเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มามา ไปเดินหมากกับพ่อสักหน่อย"
"เสด็จพ่อ รับสั่งให้ลูกเข้าเฝ้าเป็นการด่วนมีเรื่องอันใดเช่นนั้นหรือพะย่ะค่ะ" หลังจากนั่งเดินหมากไปได้ครึ่งกระดานอ๋องหนุ่มผู้ซื่อตรงก็เอ่ยถามผู้เป็นบิดาขึ้นมา
นั่นทำให้ฮ่องเต้ไห่เฉิงชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นพระองค์ก็ทอดพระเนตรมองบุตรชายตรงหน้าด้วยสีพระพักตร์ที่ไม่สู้ดีนัก
"เห้อ..เฉินเอ๋อ ที่พ่อเรียกตัวเจ้าเข้ามาครั้งนี้มีเรื่องให้เจ้านั้นช่วยเหลือพ่อจริงๆแต่ว่า..."
"เสด็จพ่อรับสั่งมาเถิดพะย่ะค่ะ"
เมื่อเห็นพระพักตร์ที่บ่งบอกว่าทุกข์พระทัยของผู้เป็นบิดาเย่อู๋เฉินก็พอจะเดาได้แล้วว่าเป็นเรื่องอันใด แต่ในเมื่อเป็นพระประสงค์แล้วเย่อู๋เฉินก็ไม่อยากที่จะขัดเพราะไหนๆเสด็จแม่ก็มีพระประสงค์จะให้เขาแต่งงานอยู่แล้ว แต่งกับผู้ใดก็คงเหมือนๆกัน
"อู๋เฉิน ปีนี้เจ้าก็อายุยี่สิบสี่ปีแล้ว แม่ของเจ้าเองก็ต้องการที่จะให้เจ้าแต่งงาน แต่เวลานี้พ่อนั้นมีปัญหาที่แก้ไม่ตก
เดิมทีเสด็จปู่ของเจ้าได้หมั้นหมายตงเอ๋อเอาไว้ตั้งแต่ยังไม่เกิดกับบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ตระกูลหลิน แต่ว่า..." ฮ่องเต้เย่ไห่เฉิงปรายเนตรมองไปที่บุตรชายครู่หนึ่งจากนั้นพระองค์ก็ตรัสขึ้นมาอีกว่า
"แต่บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่หลินนั้นเป็นผู้ที่ไม่สามารถฝึกยุทธได้ ดังนั้นความเหมาะสมที่จะอภิเษกกับองค์รัชทายาทนั้นก็ไม่มีเลย
อีกอย่างตงเอ๋อเองก็บอกว่าเขาพบสตรีที่เหมาะสมกับเขา เพื่อเป็นการรักษาหน้าแก่ตระกูลหลิน พ่อก็เลย..."
"ตามพระประสงค์ของเสด็จพ่อเถิดพะย่ะค่ะ" เย่อู๋เฉินกล่าวโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทำให้ฮ่องเต้เย่ไห่เฉิงถึงกับจ้องมองบุตรชายของตนด้วยความไม่คาดคิด
"แต่เรื่องเสด็จปู่ของเจ้า..."
"เรื่องเสด็จปู่สักประเดี๋ยวลูกจะไปกราบทูลให้พระองค์เข้าใจเอง เสด็จพ่ออย่างได้กังวล"
เมื่อได้ฟังบุตรชายกล่าวเช่นนั้นฮ่องเต้เย่ไห่เฉิงถึงกับแย้มพระสรวญออกมาด้วยความโล่งพระทัย
"ดีดี เช่นนั้นพ่อจะประกาศราชโองการออกไปเลยแล้วกัน"
เย่อู๋เฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความงุนงง เหตุใดเวด็จพ่อต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้กัน แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่เอ่ยถามอันใดออกมา
ที่ลานการประลองพรสวรรค์เวลานี้ผู้คนมากมายคับคั่งผ่านไปครึ่งค่อนวันคนยิ่งหนาแน่นเข้าไปทุกที
“แม่นางผู้นั้นเป็นใครกัน? อายุปูนนี้แล้วยังอยากจะเข้าร่วมการทดสอบนี่อยู่อีกหรือ?"
“ฮะ ฮะ ฮะ ข้าว่าผลการประลองเมื่อหลายปีก่อนของนางคงไม่ดีนักนางถึงอยากจะลองดูว่าเมื่อเวลาผ่านไปพลังจะแกร่งกล้าขึ้นหรือเปล่า? แต่ว่าพรสวรรค์นะไม่ใช่ร่างกาย จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร?"
“แต่ว่า ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าคุ้นหน้าแม่นางคนนี้นัก เหมือนกับว่าจะเคยเจอที่ไหนมาก่อน..."
คนกลุ่มนั้นต่างพากันมองไปที่หลินซินเหยียนที่ยืนอยู่ ท่ามกลางผู้คนมากมายด้วยสายตาประหลาด ใจพลางกระซิบกระซาบ สักพักสายตาเหล่านั้นต่างมองหลินซินเหยียนด้วยความเยาะเย้ยอย่างไม่คิดปิดบัง
"อายุปาเข้าไปสิบกว่าขวบแล้วยังกล้ามาทดสอบ"
"นางช่างไม่สนใจสายตาผู้อื่นเลยหรืออย่างไร "
ไม่แปลกใจที่คนเหล่านี้จะไม่รู้จักหลินซินเหยียนถึงแม้ว่าเมื่อหลายปีก่อนนางจะได้ชื่อว่าเป็นค นไร้ค่าอันดับหนึ่งของเมืองลั่วเฉิงและเป็นคู่หมั้นขององค์รัชทายาทตงอ๋องเป็นที่รู้จักของคนทั้งเมือง
แต่จะทำเช่นไรได้เมื่อทุกครั้งที่นางปรากฏตัวกลับได้รับเพียงแค่การเยาะเย้นถากถาง หรือแม้แต่การดูถูกเหยียดหยาม ทำให้หลายปีมานี้นางไม่กล้าที่จะออกมาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนจำนวนมากเหล่านั้น
ดังนั้นความทรงจำเกี่ยวกับนางของหลายๆ คนก็เริ่มที่จะเลือนรางเสียแล้ว
"หึม ข้าจำนางได้" อยู่ๆเสียงตกอกตกใจก็ดังขึ้นมาทันที “นี่มันหลินซินเหยียนจากตระกูลหลินไม่ใช่หรือ? ไม่นานมานี้ข้าไปหาหลินเสี่ยวซินที่จวนตระกูลหลินแล้วก็ได้พบนางเข้า"
“อะไรนะ นางก็คือคนไร้ค่าอันดับหนึ่ง ความอัปยศแห่งตระกูลหลินอย่างนั้นหรือ?"
สิ้นเสียงของคนผู้นั้นสายตาทั้งหลายต่างก็สาดไปที่หลินซินเหยียนอีกครั้ง
คราวนี้เพิ่มแววเยาะเย้ยถากถางมากยิ่งขึ้นไปอีก ของไร้ค่า ต่อให้มาทดสอบใหม่อีกร้อยรอบพันรอบ อย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนความไร้ค่านั่นได้หรอก
ภายใต้สายตาที่มแทงก็คนเหล่านั้น ร่างของหญิงสาวหน้าตาน่ารักนางหนึ่งก็เดินออกมา
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง ดูท่าทางว่าผลการประลองคงไม่เป็นไปตามใจ หวังนัก
“แม่นาง ถึงตาของเจ้าแล้ว สายตาของผู้ดูแลเหลือบมองหลินซินเหยียนเพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็หันหลังเดินนำหลินซินเหยียนเข้าไปภายในห้องโถง
ภายในห้องโถงที่แสนโอ่อ่า มีหินสีออกประกายเงินวางอยู่ตรงกลางห้องหนึ่งก้อน
ตรงใจกลางของห้องปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งที่มีหนวดเคราขาวกำลังนั่งหลับตานิ่ง จนกระทั่งหลินซินเหยียนเดินเข้ามา เขาจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างไม่เร็วไม่ช้านัก
สายตาเยือกเย็นกวาดมองหลินซินเหยียนพักหนึ่ง
เขาลูบเคราขาวของตนเบาๆ เอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อนว่า "รู้วิธีโคจรพลังปราณหรือไม่? เจ้าเดินไปที่ข้างหินนั่น มือวางไว้ด้านบนหิน แล้วลองโคจรพลังปราณดู"
หลินซินเหยียนทำตามคำสั่งของชายชราผู้นั้น นางนำมือวางไว้บนหิน นางค่อยๆหลับตาลง เริ่มนำพลังปราณมาไว้ที่ฝ่ามือของตนเอง
วูบ!
ทันใดนั้นเอง
บนหินทองแดงก้อนนั้นก็ส่องแสงสีแดงออกมา การทดสอบพลังบนหิน โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งลำดับขั้นออกเป็นเพียงไม่กี่ประเภท ซึ่งจะแบ่งออกเป็นสีคือสีแดง สีแสด สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน สีคราม และสีม่วง
ในลำดับขั้นเหล่านี้สีแดงเป็นสีที่พลังปราณอ่อนที่สุด สีม่วงพลังปราณแข็งแกร่งที่สุด แต่ในตำนานนั้นยังมีอีกลำดับขั้นหนึ่งที่เป็นที่เล่าขานกันมา คือไร้สี
ใช่แล้วไร้สีก็คือไม่มีสีใดปรากฏเลย
.......
