บท
ตั้งค่า

#3

ระยะทางจากตำหนักเถาเตี้ยนไปถึงห้องเครื่องนับว่าห่างไกลพอควร ยังดีว่าตอนที่อยู่กองงาน ทุกคนได้รับการแนะนำเรื่องสถานที่ต่างๆ ในวังมาแล้ว การจะไปให้ถึงห้องเครื่องจึงมิใช่ปัญหา ทว่าปัญหากลับเกิดตอนจะรับสำรับอาหาร

ฉีซุนอี้รออยู่นาน กระทั่งนางกำนัลจากตำหนักอื่นกลับกันไปจนหมด สำรับของต้าไฉเหรินก็ยังมามิถึงมือเสียที จึงตัดสินใจเดินเข้าไปถาม “พี่สาว ไม่ทราบว่าสำรับของต้าไฉเหรินอยู่ที่ใดเจ้าคะ”

นางกำนัลที่มีหน้าที่แจกจ่ายสำรับมองฉีซุนอี้ตั้งศีรษะจรดปลายเท้า จากนั้นก็กล่าวว่า “ข้าพึ่งรู้ว่ามีตำแหน่งไฉเหรินเพิ่มขึ้นมา มิมีใครส่งรายชื่อมาบอกกล่าว ทางห้องเครื่องจึงมิได้จัดสำรับเพิ่ม ต้องขออภัยด้วย” เอ่ยจบนางกำนัลผู้นั้นก็ทำท่าจะเดินผละไป แต่ฉีซุนอี้ถลันกายเข้าไปยืนขวางหน้า กล่าวอย่างอดทนอดกลั้นว่า “ตอนนี้ มิใช่ว่าท่านรู้แล้วหรือ เหตุใดถึงมิจัดสำรับใหม่ให้ข้า!”

อีกฝ่ายมองกลับมาอย่างไม่พอใจ กล่าวเสียงดังว่า “การจัดสำรับอาหารของห้องเครื่องล้วนทำตามระเบียบอย่างเคร่งครัด จัดแบ่งตามสัดส่วนรายชื่อที่ถูกส่งมา จะมีอาหารเหลือจากที่ใดมาจัดใหม่ให้เจ้า เรื่องนี้เป็นความผิดของพวกเจ้าเอง ที่ไม่มาแจ้งแต่เนิ่นๆ จะมาให้พวกเรารับผิดชอบได้อย่างไร ก็มีแต่ต้องยอมอดมื้อนี้เท่านั้น”

ซุนอี้ได้ฟังก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ยืนเม้มปากกำหมัดแน่น ไม่กล้าตอบโต้ รอให้นางกำนัลผู้นั้นเดินจากไป ฉีซุนอี้ถึงได้เร่งฝีเท้ากลับตำหนัก

ตอนที่นางเดินผ่านประตูตำหนักเถาเตี้ยนเข้ามา ยังได้เห็นภาพเป่าไฉเหรินนั่งทานอาหารอยู่บนโต๊ะอย่างสง่างาม ยิ่งทำให้ฉีซุนอี้รู้สึกเดือดดาลมากขึ้นไปอีก จนลืมแม้กระทั่งทำความเคารพอีกฝ่าย พอนางหันหน้าเตรียมจะเดินไปทางตำหนักปีกซ้าย เสียงตวาดของว่านฉงพลันดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

ฝีเท้าของฉีซุนอี้ชะงัก หันกลับมามองสองนายบ่าว ความอดทนของนางใกล้หมดลงเต็มที จะอย่างไร ฉีซุนอี้ก็เป็นถึงธิดาข้าหลวง ย่อมมิเคยประสบพบเจอการดูถูกดูแคลนเยี่ยงนี้มาก่อน บัดนี้ใบหน้าจึงแดงก่ำ พยายามสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้อย่างเต็มกำลัง

ว่านฉงเหยียดยิ้มมุมปาก กล่าวว่า “เห็นเป่าไฉเหริน แต่มิยอมทำความเคารพ เจ้ามีเจตนาอันใด หรือว่าต้าไฉเหรินของเจ้ามิได้อบรมมา!”

ฉีซุนอี้กล้ำกลืนความโกรธอย่างยากเย็น ยอบกายคำนับไปทางเป่าไฉเหริน พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นธรรมชาติที่สุด “คารวะเป่าไฉเหรินเพคะ”

เป่าอิงจี่คีบอาหารทานด้วยท่าทางเฉยชา ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจฉีซุนอี้เลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้นางยอบกายค้างไว้อย่างนั้น ผ่านไปพักใหญ่ เวินเหยาหยาถึงเดินออกมาจากห้องปีกซ้าย

อันที่จริง ต้าเหม่ยจวงกับเวินเหยาหยาได้ยินตั้งแต่เสียงตวาดของว่านฉงแล้ว แต่ที่มิยอมออกมาตั้งแต่แรก ก็เพื่อต้องการฝึกฝนฉีซุนอี้ ร้อยเล่ห์พันศัตรูยังไม่น่ากลัวเท่าความโง่เขลาของคนใกล้ชิด หากเรื่องแค่นี้ฉีซุนอี้ผ่านมันไปไม่ได้ ก็มิควรที่ต้าเหม่ยจวงจะเก็บนางเอาไว้ข้างกาย

เวินเหยาหยาก้าวมายืนเบื้องหน้าฉีซุนอี้ ยอบกายทำความเคารพเป่าไฉเหรินด้วยรอยยิ้มนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ขอเป่าไฉเหรินอภัยให้ซุนอี้สักคราเถิดเพคะ ต้าไฉเหรินฝากวาจาให้หม่อมฉันมาบอกกล่าวแก่เป่าไฉเหรินว่า ต่อไปจะอบรมนางให้ดีกว่านี้เพคะ”

ว่านฉงกำลังจะอ้าปาก ทว่าเป่าอิงจี่กลับยกมือห้าม ก่อนจะวางตะเกียบในมือลง พลางกล่าวว่า “ครั้งนี้ ข้าจะไว้หน้าต้าไฉเหรินสักครา หวังว่านางจะจดจำไว้”

เวินเหยาหยาแย้มยิ้ม รับคำ จากนั้นก็พาฉีซุนอี้กลับเข้าห้อง พอประตูปิดลง ฉีซุนอี้ก็หลั่งน้ำตาออกมาทันที กล่าวอย่างอัดอั้นว่า “หากรู้แต่แรกว่าในวังจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่มีทางเข้ามา ฮึก ฮือ”

เหยาหยาเห็นแล้วได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ หันไปมองเหม่ยจวง รอให้นางเป็นคนเอ่ยปลอบ เหม่ยจวงยิ้มอย่างอ่อนโยน กวักมือเรียกซุนอี้เข้าไปหา รอให้นางลงนั่งคุกเข่าข้างเก้าอี้ เหม่ยจวงก็เอ่ยขึ้นว่า “อาอี้ เจ้ามารู้ตอนนี้มันก็สายไปแล้ว ทำใจเสียเถิด สิ่งที่เจ้าเจอในวันนี้ ยังนับว่าเป็นการเริ่มต้นไม่ได้ด้วยซ้ำ หากเจ้ารับมิได้ ข้าจะส่งเจ้ากลับไปอยู่กองงานดีหรือไม่”

ฉีซุนอี้รีบเช็ดน้ำตา ยกมือเกาะขาเหม่ยจวง กล่าวอย่างร้อนรนว่า “หม่อมฉันแค่พูดไปเพราะความโมโห ต้าไฉเหรินอย่าส่งหม่อมฉันกลับไปกองงานเลยนะเพคะ ต่อไปหม่อมฉันจะอดทนให้มากกว่านี้เพคะ”

เหม่ยจวงทาบฝ่ามือลงบนหลังมือซุนอี้ ตบเบาๆ เป็นการปลอบประโลม พลางกล่าวว่า “ร้อยเล่ห์พันศัตรูล้วนมิน่ากลัวเท่าความโง่เขลาของคนใกล้ชิด เจ้าเข้าใจความหมายที่ข้าพูดหรือไม่”

ซุนอี้พยักหน้ารัวๆ กล่าวว่า “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”

เหม่ยจวงลูบไปตามหลังมือบอบบางของนาง กล่าวว่า “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ข้าเองก็มิเคยคิดจะส่งเจ้ากลับไป ในวังหลังแห่งนี้ การจะหาคนไว้เนื้อเชื่อใจได้นั้นช่างยากเย็น การที่ข้าได้เจ้ากับอาหยามาอยู่ข้างกาย ถือว่าข้าโชคดีที่สุดแล้ว”

ซุนอี้รู้สึกซาบซึ้งอย่างที่สุด ถึงขั้นกล่าวคำสาบานในใจ ครั้นพอนึกถึงเรื่องสำรับอาหาร ก็รีบเอ่ยขึ้น “แย่แล้วเพคะ ห้องเครื่องมิได้จัดสำรับไว้ให้ต้าไฉเหริน”

เหม่ยจวงมิได้แปลกใจที่ได้ยิน เพียงหันมองสบตากับเหยาหยา

เวินเหยาหยาแย้มยิ้ม ก่อนจะเดินไปยกห่อผ้าที่ห่อหุ้มเถาปิ่นโตอยู่ภายในมาวางบนโต๊ะ หันไปกล่าวกับฉีซุนอี้ว่า “อาอี้ รบกวนเจ้าช่วยไปนำชามช้อนตะเกียบในหีบมาช่วยข้าจัดโต๊ะหน่อยได้หรือไม่”

ครั้นฉีซุนอี้หันมาเห็นว่าสิ่งใดอยู่ในห่อผ้าก็ทำตาโต ทว่าไม่คิดถามมากความ รีบไปนำชามช้อนตะเกียบมาช่วยเหยาหยาจัดโต๊ะ อาหารในปิ่นโตมีเพียงกับข้าวสองอย่างกับข้าวสวยชามพูน แต่เพียงพอสำหรับหญิงสาวสามคน มื้อเที่ยงเลยผ่านไปอย่างไร้กังวล

หลังจากที่เก็บจานเก็บชามไปล้างเสร็จ เหม่ยจวงก็เรียกทั้งสองมานั่งปรึกษาหารือ เพราะมีบางเรื่องที่ยังต้องบอกกล่าวกันให้เข้าใจ แต่ก่อนที่เหม่ยจวงจะเอ่ยปาก ฉีซุนอี้ที่เก็บความสงสัยมานานก็ชิงเอ่ยถามขึ้นมาก่อน “ปิ่นโตข้าวเมื่อครู่มาได้อย่างไร เหตุใดหม่อมฉันถึงไม่เห็นเล่าเพคะ”

เหม่ยจวงแย้มยิ้ม ตอบไปว่า “ก่อนจะมาที่นี่ ข้าติดสินบนห้องเครื่องในกองงาน ให้พวกเขาจัดมาให้ เป็นเจ้าที่ไม่สังเกตข้าวของให้รอบคอบเอง”

ฉีซุนอี้ได้ฟังพลันยิ้มจืดเจื่อน รู้สึกว่าตนเองสะเพร่ายิ่ง เหม่ยจวงมิได้คิดจะตำหนินางเรื่องนี้ หันไปถามเวินเหยาหยาว่า “อาหยา เจ้าคิดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการกลั่นแกล้งครั้งนี้เป็นผู้ใด มีเจตนาอันใด”

เวินเหยาหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอบไปว่า “เรื่องนี้คาดเดาได้ยากยิ่งเพคะ แต่หม่อมฉันแน่ใจ ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคงจะมีอำนาจพอตัวเลยทีเดียว”

เหม่ยจวงพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย ก่อนจะกล่าวกับทั้งสองว่า “มีบางเรื่อง ข้าต้องบอกพวกเจ้าให้รู้เอาไว้ ที่ข้าเข้าวังมาครั้งนี้หาใช่จากความเต็มใจ แต่เพราะบิดาของข้ามิอาจขัดพระเสาวนีย์ของไทเฮา เรื่องความโปรดปรานจากฝ่าบาท ตัวข้ามิเคยต้องการแย่งชิง ฉะนั้น ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าทั้งสองตั้งความหวังกับข้าเอาไว้สูงนัก บางทีตำแหน่งของข้าอาจไปได้ไม่ไกลอย่างที่คิด แต่ข้าสามารถรับรองกับพวกเจ้าได้ว่า จะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบาก พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”

“เพคะ” เวินเหยาหยากับฉีซุนอี้ขานรับพร้อมกันประสานเสียง จากนั้นซุนอี้ก็กล่าวขึ้นว่า “จากนี้ไป ไม่ว่าต้าไฉเหรินจะสูงส่งหรือตกต่ำ หม่อมฉันจะไม่เสียใจที่ได้ติดตามรับใช้เพคะ”

เหม่ยจวงรู้สึกพึงพอใจในตัวซุนอี้เป็นอย่างยิ่ง ส่วนเวินเหยาหยาทำเพียงแค่ยิ้ม มิคิดเอ่ยวาจา ทว่านางกลับมีน้ำหนักในใจของต้าเหม่ยจวงมากกว่าฉีซุนอี้หลายเท่า

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel